"พรุ่งนี้ไประยอง"
เป็นประโยคบอกเล่าแต่แฝงไปด้วยมวลคำสั่งลอยเข้ามาปะทะในโสตประสาทหูทั้งที่ยังไม่ได้ทันตั้งตัว
พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นปี 2558 เรามีแพลนนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปเค้าดาวน์ด้วยกันที่สนามหลวง ซึ่งเป็นปีแรกที่เราไม่ได้นั่งนับถอยหลังหน้าทีวีเหมือนปีก่อนๆที่ผ่านมา
เรานัดกับเพื่อนไว้อย่างดิบดีเลยว่าจะไปกันที่สนามหลวง ต่อด้วยถนนข้าวสารแล้วไปจบอย่างสวยงามที่พารากอนอย่างกะเด็กวัยรุ่นทั่วไป
แต่ฝันของเราก็ต้องแตกสลายไปต่อหน้าพร้อมกับคำว่า...
"พรุ่งนี้ไประยอง"
ดังนั้นเราเลยจำใจต้องบอกยกเลิกนัดเพื่อนไปเพราะมีคำสั่งจากเบื้องบนให้ไประยองแทน.
การไประยองครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดอย่างเป็นทางการ(ไม่นับที่มาเรียนเมืองกรุงนะ) และจะเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้อยู่บ้านตอนปีใหม่เช่นกัน
ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นมาก ภาพในหัวตอนนั้นจินตนาการไปถึงการได้นั่งดูพลุอยู่ริมชายหาดและนับ 4 3 2 1 ไปพร้อมๆกับฝรั่งหล่อๆสักคนหนึ่ง ได้แต่คิดแล้วก็นั่งอมยิ้มอยู่อย่างนั้นทั้งวัน
.......เวลาผ่านไป 3 ชม. ......
เรายังคงนั่งหน้าบูดนับจำนวนเสาไฟฟ้าไปเรื่อยๆอยู่ในรถโดยไม่มีท่าทีว่าจะจอดที่ไหน จนเวลาผ่านล่วงเลยไปประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆรถของอาก็จอดหยุดนิ่งตรงหาดหาดนึงซึ่งเราก็ไม่รู้จักว่าชื่อหาดอะไร
แต่สิ่งที่จำได้ดีก็คือภาพตรงหน้ามันติดตาเรามาก จนไม่สามารถหาคำใดมามาอธิบายได้
มันเป็นภาพดวงอาทิตย์กำลังจะตกน้ำธรรมดาทั่วๆไปที่เคยพบเห็นกันบ่อยๆจนชินตาในทุกๆวันแต่แสงสีส้มที่ระบายท้องฟ้าอยู่นั่นมันทำให้เรารู้สึกแตกต่างจากครั้งก่อนๆมาก
เราชอบมองท้องฟ้าเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับจากขอบโลกแบบนี้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวที่ทำให้เราสามารถมองดูดวงอาทิตย์ได้เต็มๆลูก(ตา)โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จนบางครั้งก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเราชอบอะไรมากกว่ากันระหว่างดวงอาทิตย์กับท้องฟ้า
แสงสีส้มนวลของมันทำให้เพลินตา ยิ่งเวลามองดวงอาทิตย์ตกขอบฟ้าที่ริมทะเลช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนักเพราะเราจะแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนขอบฟ้าหรืออันไหนขอบน้ำเพราะมันเป็นจุดเดียวกัน
หยุ่นเคยบอกกับเราว่า "คนเราจะมานั่งเสียเวลาดูอาทิตย์ตกกันทำไมวะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ" เราก็เคยคิดแบบหยุ่น
จนมาในวันนี้
วันที่เรามาลองนั่งมองดูดวงอาทิตย์ตก(น้ำ)จนลับสายตาเป็นครั้งแรกโดยไม่รู้เลยว่าเสียเวลาไปกับมันนานเท่าใด
เชื่อไหม เรากลับรู้สึกชอบมัน เรากลับรู้สึกโครตชอบช่วงเวลานี้
ช่วงเวลาที่สมองเราปลอดโปร่งไม่ได้คิดอะไรมาก
ช่วงเวลาที่ที่เราได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด
ช่วงเวลาที่เรากลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด
เหมือนเราได้ชาร์ตแบตให้กับตัวเองหลังจากใช้ร่างกายหนักจนเกินไปกับสิ่งลวงตาในชีวิตประจำวัน
เราก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นที่เดิม นั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านมาในปีนี้ ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีที่เข้ามาในชีวิต
ทั้งสิ่งที่ได้ทำลงไปและยังไม่ได้ทำในปีนี้ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่เข้ามาเเวะเวียนในชีวิต ไม่ว่าเค้าจะฝากรอยยิ้มหรือรอยแผลเป็นเอาไว้ให้นึกถึง แต่เรากลับอยากขอบคุณสิ่งเหล่านั้นเหลือเกิน
ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตของเราในปีนี้มีสีสันยิ่งนัก
ขอบคุณที่ได้ฝากบทเรียนอะไรหลายอย่างๆให้เราได้รู้จักและมีภูมิต้านทานในการจัดการ
ขอบคุณที่ทำให้โตขึ้นในเรื่องเล็กๆ
ขอบคุณที่เติมเติมส่วนที่ขาดขาย หรือ ขอบคุณที่ออกไปจากชีวิต
และ...
ขอบคุณที่มาอุดหนุนในชีวิตเรา...
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เราจึงลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างให้กับดาวดวงแรกที่ฉายแสงสว่างในค่ำคืนนี้
ปัดทรายที่ก้น
ก้มลงหยิบรองเท้า
แล้วเดินหันหลังกลับไปที่รถ
เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความทรงจำไม่ดี
ความทุกข์
สิ่งเลวร้ายๆในชีวิตให้หายไปพร้อมกับ
แสงสุดท้ายของปี.....ก็เท่านั้น
ปล.ขอบคุณอาที่ชวนมาเที่ยวระยองในวันนั้น
ปล.2 ขอบคุณท่านผู้อ่านทุกคนที่ยังคงอยู่เป็นเพื่อนกันจนถึงบรรทัดนี้
ปล.3 ใจจริงอยากไปสนามหลวงอยู่ดีนั้นแหละ 5555
ปล.4 @ หาดแม่รำพึง จ.ระยอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in