หลังจากนั้น เราก็ได้พบกับน้องเดส ?
ช่วงแรก ๆ ตะกุกตะกักมากค่ะ เพราะเรายังดูแลไม่เป็น กะปริมาณน้ำกับแสงแดดไม่ถูก แห้งตายไปกระจุกใหญ่ จากนั้นก็ยังดูไม่ดีขึ้นจนแอบทำใจไว้แล้วว่าคงไม่รอด
หลังจากนั้นเราก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลไปหลายวันอีก เลยคิดว่าหมดหวังแล้วจริง ๆ แต่วันที่กลับถึงห้องก็ยังรีบพุ่งไปหาน้องเพื่อจะรดน้ำ จะดูว่าเป็นยังไงบ้าง
แล้วก็พบดอกไม้ดอกแรกของน้อง
บานต้อนรับเราอยู่ริมระเบียง
มุมมองแรกที่เราได้มาคือ
ความบอบบางไม่ใช่ความอ่อนแอ ถ้าวันไหนเราต้องไปอยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ สิ่งที่ทำได้ก็อาจจะมีเพียงพยายามยึดรากของตัวเองเอาไว้ให้แน่น อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร (น้องเป็นดอกไม้~) และมาที่นี่เพื่ออะไร (น้องมาเพื่อเบ่งบาน~~)
.
ต่อให้ใครจะมองว่าเราบอบบางหรือดูร่อแร่น่าสิ้นหวังแค่ไหน
ถึงรูปกายภายนอกของเราจะไม่ได้สื่อสะท้อนถึงความแข็งแรง หรือเราจะไม่มีเสียง ไม่มีโอกาสให้พูดออกไป
แต่เราก็สามารถทำให้เขาเห็นได้ด้วยการยืนหยัดในสิ่งที่เราเป็น ✨?✨
.
ส่วนมุมมองที่สอง คือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ แล้วเราจะไม่ตายค่ะ เพราะต้นไม้ที่ยังออกดอกออกผลเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้คนปลูกรู้ว่าเรายังไม่ตาย สามารถเติบโตได้ เมื่อมีความหวังในกันและกัน ก็จะมี ‘โอกาส’ ให้กันต่อไป
นอกจากนี้ อีกอย่างที่เรารู้สึกว่าได้รับมาจากน้องเดสคือความเชื่อใจด้วยค่ะ คิดว่าการที่น้องยังไม่ตาย อดทนรอเรามาตั้งหลายวันทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แถมยังออกดอกให้เห็นแบบนี้ น้องอาจจะอยากบอกว่า น้องเชื่อว่าเราจะดูแลน้องได้ อย่าเพิ่งหมดหวังในตัวน้อง เลยตัดสินใจพยายามใหม่ แล้วน้องก็อาการดีขึ้นจริง ๆ ???
ถึงตรงนี้ เราก็ได้คำตอบของคำอธิษฐานมาบางส่วนแล้วค่ะ ที่เคยถามพระเจ้าไปว่าเคยหมดหวังในตัวเราบ้างมั้ย
เราก็คงเป็นเหมือนน้องเดส เป็นไม้ล้มลุกที่ลำต้นไม่แข็งแรง แต่ตราบใดที่เราพยายามยึดความตั้งใจที่จะเติบโตและเรียนรู้เพื่อจะเป็นคนที่ดีขึ้น พระเจ้าคงก็พร้อมที่จะให้โอกาสเราได้ลุกขึ้นใหม่เสมอ
สิ่งสำคัญคือ...เราก็ต้องไม่หมดหวังในตัวเองเช่นกัน :’)
เพราะเมื่อถึงเวลาที่ใช่ และเราพร้อมแล้วจริง ๆ
ก็จะมีโอกาสเบ่งบานได้เหมือนกัน✨?✨
.
มุมมองที่สามที่เราได้มา คือ การเติบโตต้องใช้เวลาค่ะ ยังจำได้ดี ช่วงแรก ๆ ที่เราพยายามจะเรียนรู้ พยายามเข้าใจ อยากจะเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่านี้ เราเป็นคนใจร้อนก็อยากเก่งให้ได้เร็วไว จำได้เลยว่าตอนนั้นเจออะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนพระเจ้ากำลังบอกเราว่า “ค่อย ๆ เดิน อย่าวิ่ง” และพ่อของเราก็บอกเหมือนกันว่า “ค่อย ๆ ปรับ ไม่ต้องรีบ”
ตอนนั้นเราคงคิดว่าตัวเองเป็นมาม่าค่ะ ? แช่น้ำร้อน 3 นาทีก็เปลี่ยนจากเส้นหมี่แห้ง ๆ มาเป็นเส้นหนานุ่มพองฟูได้ คิดว่าการเติบโตนั้นแค่ชั่วข้ามคืนหรือไม่กี่วันก็ทำได้แล้ว แต่เอาเข้าจริง ต้องอาศัย Self Control และความชัดเจนในเป้าหมายสูงพอสมควรเลย
สุดท้าย
บางทีก็เลยเผลอวิ่ง ・・・ ล้มแอ้ก ・・・ แล้วก็ร้องไห้โยเย
แต่การได้ดูแลต้นไม้น้อย ๆ นี้ทำให้เราได้เข้าใจว่ามนุษย์เราก็ไม่ได้ต่างจากต้นไม้เลย สังคมในปัจจุบันนี้พยายามสอนให้เราคิดว่าทุกอย่างต้องเร็วไปหมด ทำอะไรก็ต้องทำได้เร็ว เรียนอะไรก็ต้องเก่งไว ๆ หลายคนก็คงจะคิดว่าการเปลี่ยนนิสัย มุมมอง หรือทัศนคติก็ต้องทำให้ได้ในเวลาอันสั้นด้วยเหมือนกัน ทำให้บางครั้งก็เผลอลืมไปว่ามนุษย์เราไม่ใช่หุ่นยนต์ เรามีธรรมชาติที่ต้องค่อย ๆ เติบโตและเรียนรู้ มีช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจและช่วงเวลาของการตรัสรู้ ทุกอย่างควรจะมาในเวลาที่เหมาะสมและไม่ควรเร่ง เพราะบางครั้ง อะไรที่ได้มาเร็วเกินไปก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายแทนที่จะเป็นผลดีได้เหมือนกัน
ถ้าการดัดหรือเกลาแผ่นไม้ที่ไร้ชีวิตจิตใจให้เปลี่ยนรูปทรงยังต้องใช้เวลา...แล้วเราจะเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งด้วยการหักแรง ๆ เร็ว ๆ ได้ยังไง จริงไหมคะ?
เพราะฉะนั้น ใครที่กำลังพยายามจะเติบโตอยู่ ก็อย่าลืมใจดีกับตัวเองให้มาก ๆ ด้วยนะ ?
.
มุมมองที่สี่ คือ ชีวิตเราต้องมีการตัดเล็มค่ะ เราคิดว่าคนกับต้นไม้มีบางอย่างที่เหมือนกัน คือเราต่างก็มีธรรมชาติที่จะต้องเติบโตไปตามสภาพแวดล้อม
ต้นไม้ส่วนใหญ่เติบโตไปอย่างไร้ทิศทางตามสภาพแวดล้อมที่มันอยู่ เราก็ต้องคอยตัดแต่งให้เป็นรูปทรง และยังเป็นการดูแลให้อยู่ในที่ในทางเพื่อความสวยงามและป้องกันไม่ให้ไปเกะกะหรือขวางทางใคร
เราคิดว่าคนก็เหมือนกันค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะอยากเป็นตัวของตัวเองหรือทำอะไรตามใจตัวเองมากแค่ไหน แต่ถ้าจะเดินอยู่บนเส้นทางของชีวิต ในฐานะประชากรโลก เราก็ต้องคอยตัดเล็มตัวเองให้อยู่ในที่ในทางด้วย เราคิดว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะระวังตัวไม่ให้ไปเบียดเบียนใครทั้งตัวเองและผู้อื่น ขั้นต้นอาจเป็นการปรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น เลิกดื่มชานมไข่มุกแก้เครียด เป็นต้น
ถ้าระดับที่ลึกลงไปหน่อยก็อาจเป็นเรื่องของจิตใจ โดยเฉพาะเวลาที่มนุษย์เรารู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้น ดีขึ้น ใจของเราก็เป็นสิ่งที่อันตราย อาจทำให้เกิดความหยิ่งยโสขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หรือบางครั้งบางคนที่เห็นคนอื่นเติบโตได้เร็วกว่าแล้วรู้สึกอิจฉาหรือไม่พอใจจนเผลอพูดจาบั่นทอนกำลังใจเขาก็มีเหมือนกัน หลาย ๆ คนคงพอจะนึกภาพออก นี่ก็เป็นธรรมชาติหนึ่งของจิตใจมนุษย์ด้วย ถ้าไม่คุมให้ดี มันก็อาจเป็นแรงขับเคลื่อนเราให้ไปเบียดเบียนคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
บางครั้ง การตัดเล็มตัวเองอาจทำให้เราต้องเจ็บปวด บางครั้งทำให้รู้สึกเปราะบางจนไม่สบายใจ รวมถึงบางครั้งก็อาจต้องตัดกิ่งที่ดูเหมือนจะออกดอกออกผลได้ของเราทิ้งไปเพราะสถานการณ์บังคับ แต่หากทำได้ เราเชื่อว่าสุดท้ายทุกคนจะสามารถเติบโตไปเป็นต้นไม้ที่ไม่ใช่แค่ “โต” ไปตามอายุขัย แต่ยังมีความสวยงามด้วยได้อย่างแน่นอน
เป็นต้นไม้ต้นนั้น ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเองให้ได้นะคะ
เราเองก็จะพยายามเหมือนกัน ?
.
มุมมองที่ห้า คือ อย่าโทษตัวเองในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เป็นความคิดที่ตกผลึกขึ้นมาตอนที่เห็นว่าชอบมี “เห็ด” มาระรานน้องค่ะ ?
บางครั้งชีวิตเราก็เต็มไปด้วยเรื่องราวไม่คาดฝัน หรืออย่างที่ฝรั่งเขากัดฟันพูดว่า ‘ชีวิตกำลังไปได้สวย...and then, life happens’ คืออยู่ดี ๆ ก็มีอะไรไม่รู้โผล่มาเฉยเลย แล้วเราก็ต้องสู้กับมัน
ข้อเสียคือ บางทีมันก็ทำให้มนุษย์เราสติแตก พยายามหาสาเหตุที่ไม่มีอยู่จริง (คือบางครั้งมันก็แค่ทอร์นาโดที่ชื่อชีวิตพุ่งเฟี้ยวเข้ามาเฉย ๆ เลยจริง ๆ ) แต่สุดท้ายก็อย่างที่ใครหลายคนเคยบอกไว้...ถ้ามัวแต่โทษตัวเอง สุดท้ายก็จะจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ จนทำให้กลัวและไม่กล้าเติบโต ดังนั้น เราเลยรู้สึกว่าการที่จะแยกแยะให้ออกว่าอะไรเป็นผลจากการกระทำของเราจริง ๆ และอะไรเป็นเพียงพายุในชีวิตก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
ทางนี้ก็กำลังฝึกแยกรากตัวเองกับรากของเห็ดในชีวิตอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ยังทำได้ไม่ดีเลยไม่มีอะไรให้คุย (ยังไงก็เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ
รากเห็ดเปื้อนดิน
ถึงจะกินไม่ได้ แต่ก็สีสวยดีค่ะ
.
ส่วนมุมมองที่หก คือ จงหันหน้าเข้าหาแสงสว่างในทุกย่างก้าวของการเติบโตค่ะ ที่จริงเราเคยได้ยินว่าในพระคัมภีร์ก็มีเขียนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่จะใช้ดอกทานตะวันเป็นตัวอย่างค่ะ ???
ที่เป็นอย่างนี้เพราะดอกทานตะวันเป็นดอกไม้ที่หันหน้าตามแสงอาทิตย์และหันหลังให้กับความมืดมิดอยู่เสมอ เลยถือเป็นแบบอย่างที่ดี
ตอนดูแลน้องเดส เราต้องคอยหมุนกระถางเนื่องจากแสงเข้าระเบียงได้แค่ทางเดียว เลยได้สังเกตว่าดอกไม้ทุกดอกจะเอนตัวเข้าหาทิศที่แสงเข้าตลอด และในอีกทางหนึ่ง ฝั่งที่อยู่ในด้านที่แสงเข้าน้อยก็จะพยายามยกตัวเองขึ้น เพื่อให้เอนไปหาแสงสว่างที่ส่องมาได้เหมือนกัน
เราเลยคิดว่านี่เป็นแง่มุมชีวิตที่สวยงามและสมควรใช้เป็นแบบอย่างจริง ๆ ค่ะ เพราะเราเชื่อว่าเหตุผลที่ทุกคนอยากเติบโต อยากเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม ก็คงไม่มีใครไม่อยากออกไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่สว่างหรอก จริงไหมคะ :))
ถ้าอย่างนั้น เรามามองหาแสงสว่างนั้นให้เจอและแน่ใจ ก่อนจะก้าวออกไปกันเถอะ ☀️
.
ส่วนมุมมองสุดท้าย คือ ทุกอย่างล้วนมีวาระของมันค่ะ น้องเดสตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้ว จากไปอย่างสงบด้วยอายุขัยของไม้ล้มลุก ทิ้งไว้เพียงความทรงจำน่ารัก ๆ กับมุมมองชีวิตที่สวยงามให้เราเก็บไว้ใช้ต่อบนเส้นทางของชีวิตที่ยังคงต้องเดินต่อไป
มองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นอะไรที่น่าสนใจดี เรารดน้ำเพื่อให้น้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนน้องก็ทำให้เราเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง เป็นเหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตใจเราเหมือนกัน ✨?✨
แต่เรา (อยากจะ) เชื่อว่าทุกอย่างก็เหมือนกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความเศร้า (โควิด...) หรืออะไรก็ตาม เมื่อหมดวาระของมัน มันก็จะจากเราไป กลางคืนจะได้กลับกลายเป็นกลางวัน แสงสว่างและเสียงหัวเราะจะกลับมาอีกครั้ง
อย่าเพิ่งท้อหรือหมดหวังนะคะ ?
ถึงแม้ว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นอีกปีที่ยากลำบากสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่เราก็ขอเป็นกำลังใจให้ และยังหวังว่าจะได้เห็นทุกคนได้ยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากที่พายุลูกนี้ได้ผ่านพ้นไป
สุดท้ายนี้ อยากบอกกับคุณผู้อ่านทุกคนว่า
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้
และขอบคุณยิ่งกว่า...ที่คุณยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ค่ะ ?
ขอให้วันนี้เป็นวันที่สดชื่นแจ่มใส
ขอให้พบเจอแต่เรื่องดี ๆ ที่ทำให้ยิ้มได้
ขอให้ได้ทานอาหารอร่อยกันจนอิ่มแปล้พุงกาง
・・・ แล้วก่อนนอนก็อย่าลืมห่มผ้ากันด้วยนะคะ ?
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ :))
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in