จบไปอีกปีกับความผิดพลาดรูปแบบเดิมๆสำหรับทีมยักษ์ใหญ่แดนน้ำหอมอย่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง แต่กลับเป็นเพียงเสือกระดาษในวงการลูกหนัง ที่แม้ชื่อชั้นอย่างดี อดีตตัวเต็งแชมป์ที่ถูกตั้งความหวังไว้เป็นอันดับ 3 ตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ มาวันนี้ได้พ่ายแพ้ให้กับราชันย์ชุดขาวเรอัล มาดริด อดีตแชมป์ 2 สมัยอย่างเป็นทางการในคืนวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาด้วยสกอร์รวม 5-2 โดยเมื่อคืนโดนเฉือนคาบ้านไปถึง 2-1 ต่อหน้าต่อตาแฟนบอลของตัวเองอย่างน่าอดสู

หากจะกล่าวถึงประสบการณ์ในการลงแข่งขันในบอลยุโรปแล้ว ปารีส แซงต์ แชร์กแมง อาจถือว่าเป็นทีมน้องใหม่ทีมหนึ่ง เพราะเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆที่คร่ำหวอดในวงการบอลยุโรปมานาน สโมสรภายใต้การควบคุมของกลุ่มนายทุนจากกาตาร์ที่เข้ามาพัฒนาทีมตั้งแต่ปี 2012 ก็แทบเปรียบได้ดั่งเด็กหัดเดินที่บังเอิญม่ีคนรวยรับไปเลี้ยงไป อยากได้อะไรก็ได้ อยากซื้อนักเตะคนไหน จะค่าเหนื่อยสูง ค่าฉีกสัญญาหลายพันล้านอะไรก็เปย์ได้หมด

แต่เมื่อเทียบกับทีมในลีกเดียวกันอย่างอาแอส โมนาโก ที่ฤดูกาลก่อนได้เข้ารอบลึกถึง 4 ทีมสุดท้ายหลังจากตบมหาเศรษฐีอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ภายใต้การนำทีมของเป๊ป กวาดิโอล่า กุนซือสมองเพชร และทีมคนเหมืองอย่างดอร์ทมุนด์จากแดนเยอรมันคว่ำเองนั้น (โดยครั้งนั้นคิเลียง เอ็มบัปเป้มีส่วนร่วมในการพาทีมมาถึงจุดนี้) ก็ทำให้เกิดคำถามว่า สรุปแล้วปัญหาของเปแอสเชคือประสบการณ์จริงๆหรือ?

หากเมื่อดูสถิติย้อนหลังไปในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าเมื่อเป็นเกมเยือนทีไร เปแอสเชมักไม่สามารถเอาชนะเจ้าถิ่นได้เลย โดยเกมที่เป็นที่กล่าวขานมาจนทุกวันนี้ก็ยังคงไม่พ้นเกมที่แพ้บาร์เซโลน่า ที่แคมป์นูฤดูกาลก่อนหน้านี้ถึง 6-1 แม้ว่าจะตุนประตูมาก่อนแล้วจากเกมในบ้านถึง 4-0 ด้วยกัน

และทุกความปราชัยเหล่านั้นเองที่ทำให้เราเริ่มเห็นสิ่งที่เหมือนๆกัน นั่นก็คือ "จิตใจนักสู้" ที่ขาดหายไป

ทั้งๆที่มีนักเตะระดับท็อปมาตลอดตั้งแต่กลุ่มนายทุนกาตาร์มาบริหาร และทำผลงานในลีกได้ดีระดับกวาดทุกถ้วย ทุกถาดมาตลอด แต่เมื่อเป็นเกมในยุโรปแล้วไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เลย และหลายครั้งด้วยกันที่มันไม่ใช่ความผิดทางแทคติคโดนตรง แต่มันมาจากตัวนักเตะเองที่ทำให้สถานการณ์ยากลำบากไปเอง อันจะเห็นได้จากทุกการลนลานผ่านบอลให้กันและกัน มันช่างดูเงอะงะที่มาจาหความเกรงกลัวและกดดันต่างๆ และแพ้ภัยตนเองด้วยใบเหลือง ใบแดงต่างๆนานา หรือจะความเห็นแก่ตัวของนักเตะในทีมที่มีแต่คิดถึงผลงานส่วนตัวเป็นหลัก ไม่คิดถึงผลงานของทีมอีก

ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังเกม ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ได้ออกอาการหัวร้อนถึงแทคติคการเปลี่ยนตัวที่เป็นข้อกังขามาตั้งแต่เกมก่อนที่ซานดิอาโก เบอร์นาเบว จนกระทั่งในเกมนี้ที่ตนเองถูกเปลี่ยนมาลงในนาทีที่ 76 เพื่อแทนที่ อังเคล ดิ มาเรีย ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างแมวเหมียวผิดกับที่ผ่านๆมา

และทั้งๆที่รู้ว่าอะไรที่เป็นจุดอ่อนของตัวเอง แต่ในระยะ 1 ปีที่ผ่านมาเปแอสเชก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านนี้เลยจนท้านที่สุดก็แสดงออกเป็นภาพประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างในคืนที่ผ่านมา จึงกลายเป็นคำถามที่กลับไปย้อนถึงการวางตัวในฐานะกุนซือของอูไน เอเมรี่ว่าทำไมจึงได้ปล่อยให้ปัญหามันลุกลามมาจนป่านนี้ ไหนจะปัญหาการเสริมทีมแปลกๆในตลาดหน้าร้อนที่ผ่านมาที่มองข้ามตำแหน่งสำคัญๆที่ขาดจริงๆอย่างกองกลางตัวรับ และกองหลังตัวกลาง หรือปัญหาภายในห้องแต่งตัวที่ตามมาหลังจากการย้ายมาของเหล่าซุปเปอร์สตาร์ อีกทั้งยังไม่สามารถทำให้แข้งมีความสามารถอย่างเอดินสัน คาวานี่ เนย์มาร์ และคิเลียง เอ็มบัปเป้ให้เล่นเข้าขากันได้

แม้จะมีเงินเป็นหมื่นล้านพันล้านที่ราวกับจะซื้อสโมสรได้อีกทั้งสโมสร หรือมีรายได้จากสปอนเซอร์ และการขายเสื้อเป็นหลายสิบล้านให้เอาเงินมาหมุนซื้อนักเตะแซ่บๆเล่นอีก แต่กระนั้นสโมสรปารีส แซงต์แชร์กแมงจะไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้นได้เลย ภาพฝันร้ายเหล่านี้ก็จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปวนลูปอย่างไม่รู้จบ หากไม่กลับไปสะสางปัญหาต้นตอที่เรื้อรังมานาน และจัดการเรื่องในห้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน

อันจะเห็นได้ว่าเงินสามารถซื้อนักเตะเทพๆได้ แต่ไม่อาจซื้อประสบการณ์ และจิตใจนักสู้ได้

จิตสำนึกของการเล่นเป็นทีมก็เช่นกัน

เอนทรี่ที่เกี่ยวข้อง : ​#RMAPSG ฉันแพ้ทางคนอย่างเธอ