“ไปโรงเรียนวันแรกเป็นไงบ้างครับ”
นั่นคือสิ่งที่ผมพูดขึ้นทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถหลังจากลงไปรับลูกชายชั้นอนุบาล 1 จากหน้าห้องเรียน...
ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็กที่แอบเรียกในใจว่า ‘ไอ้เสือ’ อยู่บ่อยครั้ง เพราะสารพัดวีรกรรมแสบชวนปวดหัวแต่ก็ก็ยังน่าเอ็นดู
และผมกล้าประกาศให้ทุกคนในโลกนี้รู้เลยด้วยซ้ำ– ว่าการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย
ตั้งแต่เกิดและใช้ชีวิตจนถึงอายุ30 ต้นๆอย่างตอนนี้ไม่มีสักครั้งที่ผมคิดว่าตัวเองจะต้องมีลูก
จนกระทั่งครึ่งปีก่อนที่พี่ชายของผมและภรรยาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
ทั้งสองคนจากไปตลอดกาล โดยทิ้งเจ้าตัวแสบนี่เอาไว้เพียงคนเดียว
ทั้งผมและเจ้าหนูนี่เราตัวคนเดียวเหมือนกัน...
ผมและพี่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตลอดชีวิตผมเลยมีแค่พี่ชายคอยเป็นทุกอย่าง เป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อนเป็นครอบครัว จนกระทั่งเขามาจากไปอีกคน...
ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเศร้าในวันเผาศพผมเสนอตัวว่าจะเป็นผู้รับดูแลหลานชายคนเดียวของตระกูลต่อจากนี้ไป และได้รับกระแสต่อต้านมาจากบรรดาลุงๆป้าๆอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเหตุผลที่ว่า – ผมเป็นเกย์
โชคดีที่สุดท้ายแล้วศาลพิจารณาให้สิทธิ์ในการเป็นผู้ปกครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายแก่ผม โดยไม่เห็นว่าความชอบหรือรสนิยมทางเพศจะเป็นอุปสรรคในการเลี้ยงดูให้เด็กคนนึงเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
เพราะถ้าตัดเรื่องรสนิยมทางเพศไปแล้วผมมีความพร้อมที่สุด เมื่อเทียบกับญาติๆ
หลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างจบลงผมก็อธิบายให้ ‘ไอ้เสือ’ ของผมเข้าใจว่าต่อไปนี้จะมีผมเป็นคุณพ่ออีกคนนึง ส่วนคุณพ่อและคุณแม่นั้นจะคอยเฝ้ามองดูเขาจากบนท้องฟ้าเสมอ...
เมื่อเช้าผมมาส่งลูกไปโรงเรียนด้วยความกังวล ว่าจะมีการงอแงเหมือนที่เคยได้ยินมารึเปล่า
แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายตัวเองยืนบ๊ายบายส่งผมที่หน้าโรงเรียน พร้อมกับบอกให้พ่อตั้งใจทำงาน แล้วแทนที่ลูกจะร้องไห้ก็กลายเป็นผมที่น้ำตาซึมขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
“โรงเรียนสนุกครับมีของเล่นด้วย”
“แล้วเพื่อนล่ะครับมีรึยัง?”
"มีเพื่อนแล้วมีคุณครูด้วย สองคน”
“โห...คุณครูสองคนเลยเหรอ? ชื่ออะไรบ้างครับ?”
“คุณครูไก่ทอดกับคุณครูซ้อบคะรีมครับ”
“หืม? คุณครูชื่ออะไรนะครับ?”
“คุณครูไก่ทอดกับคุณครูซ้อบคะรีมครับ”
ผมแอบเดาว่าคุณครูน่าจะตั้งชื่อเล่นตัวเองเป็นของกินที่เด็กๆน่าจะชอบเพื่อให้รู้สึกคุ้นเคยหรืออะไรก็ช่างเถอะ
คนแรกเนี่ยไก่ทอดชัวร์ๆของโปรดเจ้าตัวแสบซะด้วย
ส่วนคนที่สองนี่สิ อะไรคีมๆนะ?
“คุณครูคนที่2 ชื่ออะไรนะครับ”
“ซ้อบคะรีมครับ”
“ไก่ทอดนี่เป็นของกินใช่ไหม?แล้วชื่อคุณครูคนที่ 2 เป็นอะไรครับ พ่อไม่รู้จักเลย”
สิ่งนึงที่ช่วงนี้รู้สึกได้เลยคือ...ผมใจเย็นลงมากตั้งแต่ต้องเลี้ยงลูก
นอกจากใจเย็นลงแล้วยังทำทุกอย่างช้าลง เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น -- เรื่องคุณครูอะไรคีมๆนี่ก็เช่นกัน
“ซ้อบคะรีมเป็นไอติมครับ ตอนแรกคุณครูชื่อไอติม แต่ว่าเพื่อนก็ชื่อไอติมเหมือนกัน แล้วเพื่อนก็ร้องไห้ คุณครูเลยบอกว่าคุณครูจะชื่อซ้อบคะรีม เลยเป็นไอติมทั้งสองคนแต่ชื่อไม่เหมือนกัน”
เป็นไอติมเหมือนกันแต่ชื่อไม่เหมือนกัน ผมยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกอธิบายจนกระทั่งได้เห็นกระดาษที่เจ้าตัวหยิบออกมาให้ดูจากในกระเป๋า
“แบบนี้ไงครับซ้อบคะรีม”
ผมละสายตามาจากถนนเพราะเป็นช่วงที่รถติดพอดีมองรูปภาพของลูกแล้วก็สารภาพตามตรงเลยว่ายังไม่เข้าใจ เพ่งอยู่สักพักถึงจะเพิ่งมองออกว่าหยักๆด้านบนนั่นคือเนื้อไอศกรีมส่วนแหลมๆที่ดูบูดๆเบี้ยวๆน่าจะตั้งใจวาดให้เป็นโคน
“อ๋อ...ซอฟต์ครีมใช่มั้ยครับ?”
“ใช่ครับคุณครูบอกว่าต้องพูดคะรีม ถ้าพูดคีมก็พูดไม่ชัด”
“อ๋อคุณครูซอฟต์ครีมนี่เอง”
ผมตั้งใจเน้นคำว่า‘ครีม’ ให้เจ้าลูกชายสบายใจว่าพูดชัดแล้วจริงๆ
และวันนั้นก็เป็นวันแรกที่ผมได้ยินชื่อ ‘คุณครูซอฟต์ครีม’
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินชื่อคุณครูคนนี้ทุกวันพร้อมกับคำว่า ‘ครีม’ ที่เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆของเจ้าลูกชาย
‘วันนี้คุณครูซ้อบครีมสอนเต้นเพลงช้างฮะ’
‘วันนี้ปั้นดินน้ำมันกับคุณครูซ้อบครีมฮะ’
‘วันนี้คุณครูซ้อบครีมพาไปดูต้นไม้ฮะ’
เป็นผู้ฟังมานาน...จนวันนึงผมถึงได้ชวนลูกคุยเรื่องคุณครูคนนี้ต่อ
“พ่อไม่เคยเจอคุณครูซอฟต์ครีมเลยใช่มั้ย?”
“ใช่ฮะพ่อเจอคุณครูไก่ทอด”
ใช่แล้ว– ทุกครั้งที่ไปรับและส่งลูกชายจากโรงเรียนผมจะเจอแต่คุณครูผู้หญิงที่รับหน้าที่เป็นคุณครูประจำชั้น และเธอไม่ได้ชื่อไก่ทอดอย่างที่ลูกชายผมเรียกแน่นอนอยู่แล้ว
ส่วนคุณครูซอฟต์ครีมที่เป็นครูผู้ช่วยแต่ถูกพูดถึงบ่อยกว่ากลับยังไม่เคยได้เจอเลยสักครั้ง
“ชักจะอยากเจอคุณครูซอฟต์ครีมแล้วสิ”
“คุณครูหล่อเหมือนเจ้าชายเลยฮะ แต่ไม่ยอมให้พ่อหาคุณครูเจอหรอก"
“ทำไมล่ะครับ?”
“อื้อ! ความลับครับ!
อ้าวเฮ้ย! ยังไม่ทันได้หายตกใจที่คุณครูซอฟต์ครีมเป็นผู้ชาย
ผมก็ต้องมาอึ้งที่ลูกชายวัยสามปีกว่าของตัวเองเริ่มมีความลับซะแล้ว...
เด็กสมัยนี้โตเร็วจริงๆ...
,
วันพรุ่งนี้ที่โรงเรียนมีกิจกรรมซึ่งผู้ปกครองต้องไปร่วมด้วยและนั่นทำให้เราสองคนตื่นเต้นกันจนทำอะไรไม่ถูก
ผมกับลูกชายจัดการเตรียมเสื้อสีฟ้าที่ได้มาตั้งแต่เมื่อวานรีบส่งไปซัก และไปรับกลับมาวันนี้ในสภาพหอบฉุยพร้อมสำหรับใส่ร่วมกิจกรรมของโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
ก่อนจะเข้านอนก็ยังไม่วายแวะไปดูเสื้อที่แขวนเอาไว้หน้าตู้เสื้อผ้า ยืนมองจนพอใจแล้วว่าเราสองคนจะต้องหล่อกันสุดๆในชุดนี้ถึงได้ปิดไฟนอน
ตามกำหนดการโรงเรียนบอกให้ผู้ปกครองและเด็กมาถึงก่อนเวลา9 โมงเพื่อทำการลงทะเบียน...
ผมมาถึงตั้งแต่ 8 โมง 15 นาที ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นไม่น้อยกับการทำกิจกรรมกับลูกแบบนี้เป็นครั้งแรกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดินเข้าไปสัมภาษณ์งานกับฝ่ายบุคคลตอนที่เพิ่งเรียนจบซะอีก
เข้าในในบริเวณรั้วโรงเรียนปุ๊บสิ่งที่ผมทำก็คือการมองหาโต๊ะลงทะเบียน และเดินตรงไปทางนั้นทันที
ไม่ทันไรเสียงของลูกชายที่เดินจูงมือกับผมอยู่ก็ดังขึ้น
“คุณครูซอฟครีม!”
หนึ่งเดือนผ่านไป...
ตอนนี้ทั้งเสียง ‘ฟอ’ ท้ายทำว่า ‘ซอฟต์’ และเสียงควบกล้ำตรงคำว่า ‘ครีม’ มากันครบเรียบร้อยแล้ว
คนนี้สินะคุณครูซอฟต์ครีม...
ผมคิดในใจส่งสายตาไปยังคนที่ก้มหน้าดูเอกสารอยู่ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาเจอลูกชายผมเขาก็ส่งยิ้มมาและสีหน้านั้นก็เปลี่ยนไปทันทีที่เราสบตากัน
ไม่ใช่แค่เขาหรอกผมเองก็อึ้ง...
และท่ามกลางบรรยากาศอันแสนอึดอันนั้นไอ้เสือของผมก็พูดออกมา
“แย่แล้วคุณครูเล่นซ่อนแอบกับคุณพ่ออยู่นี่นา!”
เท่านั้นแหละคนเป็นครูก็ยกมือขึ้นกุมขมับถอนหายใจทั้งรอยยิ้ม ส่งสายตามามองผมแว๊บนึง แล้วยื่นเอกสารตรงหน้ามาให้
“คุณพ่อลงชื่อตรงนี้นะครับ”
ผมพยักหน้ารับหยิบปากกามาเซ็นชื่อลงไปในช่อง จงใจใช้ชื่อนามสกุลจริงแทนที่จะใช้ลายเซ็นเหมือนทุกครั้งและเขียนให้ช้ากว่าปกตินิดหน่อยเพื่อที่จะได้อยู่ตรงนี้ให้นานขึ้น
ก่อนหน้านี้เราเคยคบหากัน...
อันที่จริงจะใช้คำว่าคบหาไปเลยก็ไม่ถูกนักเหมือนคนคุยๆกันอยู่มากกว่า ผมกับเขา...เราเข้ากันได้ดีทีเดียวก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องของพี่ชายและครอบครัวเข้ามา
ตอนนั้นเองที่ผมเป็นคนตีตัวออกห่างเขาไปเพราะกดดันกับสิ่งที่เจออยู่จนต้องการอยู่คนเดียวและคิดทบทวนทุกอย่าง อีกทั้งยังไม่ไว้ใจเขาพอที่จะเล่าปัญหาในครอบครัวซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างอ่อนไหวให้คนนอกฟัง
หลังจากที่ผมเงียบไปเขาพยายามติดต่อผมอยู่หลายครั้งทั้งไลน์ ทั้งโทร
เมื่อผมยังคงเฉยเมย เขาเองก็เลิกที่จะพยายาม...
จะว่าเขาก็ไม่ได้หรอก เราเพิ่งคุยกันได้ประมาณสามเดือน มีไปเดตทานอาหารด้วยกันสามสี่ครั้ง นั่นไม่มากพอที่จะสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นมากพอ
...โดนปฏิเสธด้วยความเงียบอย่างที่ผมทำ เป็นใครก็ต้องยอมถอยไปทั้งนั้น
เราสบตากันอีกครั้งหลังจากที่ผมเซ็นชื่อเสร็จ สีหน้าของเขานิ่งเฉย แต่กลับมีรอยยิ้มให้ไอ้เสือที่ดูท่าทางจะตื่นเต้นอยู่ไม่หาย
“ลงชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณพ่อไปรอที่ห้องเรียนอนุบาล1/1 ของน้องได้เลย – คนเก่งของครูนำทางคุณพ่อไปเลยนะครับ”
เขาส่งยิ้มให้ลูกชายผม...เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ น่ามอง และชวนให้สบายใจเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น
ผมไม่แน่ใจว่าซอฟต์ครีมนี่ละลายง่ายไหม
แต่รอยยิ้มของเขายังคงทำให้ผมใจละลายได้เหมือนที่ผ่านมา...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in