เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#kipuuNovelberkipuu_
10 : อนุสาวรีย์
  • ผมไม่เคยรู้เลยว่าร่างกายคนเรามันจะทำงานเหมือนมีนาฬิกาปลุกในตัวได้ด้วย
    จนกระทั่งได้เจอกับมัน...

    ,


    ชีวิตนักศึกษาที่เช่าหออยู่ไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่เวลาฝึกงานเพราะมหาลัยที่ผมเรียนมันอยู่นอกเมืองจนหลุดออกมาอีกจังหวัด แต่บริษัทที่อยากไปฝึกงานดันอยู่ซะกลางเมือง

    พอทุกอย่างแน่นอนแล้วว่าผมจะได้ไปฝึกงานที่นั่นตอนแรกก็ลังเลอยู่นิดหน่อยว่าจะไปเช่าหอใกล้ๆบริษัทอยู่ดีมั้ย แต่คิดไปคิดมาผมไม่อยากจ่ายค่าเช่าสองที่ ห้องเก่าก็ยกเลิกไม่ได้เพราะของเต็มห้องทั้งของผมและของเมทแถมไม่ว่ายังไงผมก็ต้องกลับมาพักที่นี่อยู่ดีทันทีที่เปิดเทอม

    คิดไปคิดมาก็สรุปกับตัวเองว่า
    ‘แล้วมึงจะดิ้นรนหาห้องใหม่ จ่ายตังค์เยอะ ขนของไปอยู่ที่ใหม่ทำซากอะไร อยู่แม่งที่เดิมนี่แหละ’

    แต่พอไม่อยากใช้เงินแม่งก็ต้องยอมลำบาก...
    ผมต้องแหกตาตื่นตั้งแต่เช้าขับมอ’ไซเข้ามหาลัย นั่งรถตู้ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯแล้วก็ต่อรถไฟฟ้าเบียดกับคนเข้าไปที่ทำงานทุกวัน แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มต้นขึ้นเพราะเรื่องนี้นี่แหละ!

    วันแรกที่เจอกับมัน ผมหลับ...
    หลับสนิทจนถึงอนุสาวรีย์แล้วก็ยังไม่ตื่นมารู้ตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างๆฟังดูงู่งี่มู่มี่ไม่ต่างจากยุง

    “เฮ้ย...ตื่น”

    “...”

    “ตื่นได้แล้ว...”

    “ไอ้น้อง! ตื่นได้แล้วถึงแล้ว!”

    จนได้ยินเสียงพี่คนขับรถเรียกนั่นแหละผมถึงได้ตื่น
    ลืมตามาก็เห็นหน้าตาไม่พอใจของคนที่นั่งข้างกันฝั่งที่ติดกระจก แว๊บแรกที่คิดคือ ไอ้หน้าหงิกนี่ใครวะ?

    ไม่ทันได้คำตอบ หันซ้ายหันขวาก็พบว่าทั้งรถเหลือแค่ผมกับมัน2 คน และที่มันยังนั่งอยู่บนรถแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะกลัวผมเหงาหรือมีน้ำใจอะไรหรอก แต่ผมหลับขวางทางอยู่ มันเลยลงจากรถไม่ได้

    “ขอทางหน่อยจะสายแล้ว”

    รีบมาก? รอสักสิบวิให้กูลงรถก่อนไม่ได้รึไง?​
    ผมเหลือบมองเห็นมันใส่ชุดนักศึกษาเหมือนผม แต่รีดมาซะเรียบกริบ ต่างจากผมที่ซักมือแล้วไม่บิดให้แห้ง


    อันนี้เป็นเทคนิคเลยนะ... ตั้งใจฟัง ​ถ้าเราตากเสื้อนักศึกษาตอนมันยังเปียกโชกพอแห้งปุ๊บแม่งไม่ต้องรีดอะ ใส่ได้เลย ไม่เชื่อลอง!

    กลับมาเรื่องไอ้คนที่นั่งหน้าตาดูไม่ได้อยู่ข้างผมนี่. เห็นหน้าตาหงิกๆของมันแล้วก็รำคาญลูกกะตาจนผมตัดสินใจขยับตัว เปิดทางให้คุณหนูเค้าลงไปก่อนแล้วผมค่อยตามลงไป

    ...ก็แค่ไม่อยากเห็นคนร้องไห้เพราะไปธุระไม่ทัน

    ,

    หลังจากนั้นผมเจอมันทุกวันตลอดสัปดาห์
    เจอจนเดาได้เลยว่ามันน่าจะกำลังฝึกงานอยู่เหมือนผมและไม่อยากจ่ายค่าเช่าสองที่เหมือนกันเลยพักที่หออย่างเดิม นั่นทำให้เราก็จำเป็นจะต้องขึ้นรถตู้เที่ยวเดียวกันเพื่อที่จะไปทำงานได้ทันเวลา

    มีวันนึงผมนั่งเก้าอี้ฝั่งที่มีสองตัว ส่วนมันนั่งแถวเดียวกันนี่แหละแต่เป็นอีกฝั่งที่แยกไปตัวเดียว ขึ้นรถได้ผมก็หลับตามเคย แต่มีจังหวะนึงที่รถตู้เบรกกะทันหันจนตื่น นั่งงงๆมองไปมองมาก็เห็นว่าคุณหนูเค้าก็กลับบนรถตู้เหมือนผมนี่แหละว้า...แหม แล้วทีวันนั้นทำมาเป็นหงุดหงิด

    แล้วหลังจากนั้นผมก็หยุดมองมันไม่ได้เลย...

    ต้องขอบคุณนวัตกรรมกาแฟเซเว่นแก้วละ20 กว่าบาทที่ทำให้การเรียนรู้ชีวิตวัยทำงานของผมไม่ทรมาณเท่าเดิมอีกต่อไปกินวันไหน ตื่นวันนั้นกินปุ๊บตาแข็งปั๊บแบบที่นึกอยากถามพนักงานตรงๆสักทีว่านี่เอาอะไรมาชงให้กูกิน


    พอไม่หลับบนรถตู้...ผมก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของมันได้มากขึ้นขึ้นรถปุ๊บมันจะใส่หูฟัง เปิดเพลง พร้อมกับเล่นมือถือไปเรื่อย แล้วจะหลับไปช่วงที่รถขับผ่านม.กรุงเทพตลอด ก่อนจะมาตื่นนอนช่วงที่รถมาถึงดินแดง

    แม่งเป็นอย่างนี้ทุกวัน...

    เหลือเชื่อปะวะ?คนอะไรจะหลับที่เดิม ตื่นที่เดิมได้ทุกวัน มหัศจรรย์สัตว์โลกชิบหาย

    พอเข้าสู่สัปดาห์ที่2 ผมก็เริ่มรู้สึกสนุกกับการสังเกตพฤติกรรมของมัน...

    ทุกๆวันผมจะมาถึงก่อน... 

    ผมอยู่หอนอกแล้วต้องขี่มอเตอร์ไซค์มา ส่วนมันนั่งรถเอ็นจีวีของมหาลัยแบบที่เดาได้ว่าน่าจะอยู่หอใน คงเหมือนเวลาไปโรงเรียนนั่นแหละพวกที่อยู่บ้านไกลก็มาถึงก่อนพวกที่อยู่บ้านใกล้โรงเรียนทั้งนั้น

    ที่ประจำของผมคือแถวที่2 ติดหน้าต่าง วิจัยโดยตัวผมเองว่านั่งตรงนั้นแล้วสบายที่สุดวันไหนมันมาเร็วก็จะได้นั่งแถวด้านหน้าผม ซวยหน่อยก็นั่งข้างผม 

    ถ้ามาถึงช้าก็โน่น...ไปนั่งแถวสุดท้ายที่ดีดดึ๋งๆๆอย่างกับอยู่ในสวนสนุก

    ปัญหาคือถ้าวันไหนมันไปนั่งแถวสวนสนุก ผมก็จะอดดูว่ามันหลับตอนไหนแล้วตื่นตอนไหน

    ซึ่งจะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นไม่ได้​ งานวิจัยของผมคือเรื่องจริงจัง!

    ตอนนั้นเองที่แผนการณ์ของผมเริ่มต้นขึ้นเพราะผมมักจะมาถึงเป็นคนแรกๆของรถเสมอ หลังจากนั่งที่ประจำของตัวเองแล้วผมจะวางกระเป๋าจองที่ข้างๆเอาไว้ ถ้าใครจะมานั่งก็บอกไปว่า ‘เดี๋ยวเพื่อนมาครับ’ แบบเนียนๆ

    พอเห็นมันลงรถเอ็นจีวีมาปุ๊บผมก็ยกกระเป๋าขึ้นมาวางบนตัก วันไหนซวยหน่อย มันก็ได้นั่งข้างผมวันไหนซวยน้อยหน่อยมันก็ไปนั่งที่อื่น

    นั่นทำให้ผมสังเกตได้ว่าตลอด 1 เดือนมานี้มันจะหลับตรงที่เดิม แล้วก็ตื่นตรงที่เดิมทุกวัน
    แปลกชิบหาย...คนอะไรตั้งเวลาปิดเปิดได้เหมือนมีนาฬิกาปลุกอยู่ในตัว

    -

    ในส่วนของการฝึกงาน...​
    หลังจากอุดอู้อยู่ออฟฟิศ1 เดือนเต็มๆผมก็เริ่มได้ออกไปข้างนอก ได้ตามไปดูพี่ซุปฯแกทำงานในไซต์งานจริงๆ ที่สำคัญคือไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาแล้วก็ได้กลับไปใส่ช็อปกับกางเกงยีนส์แบบที่ถนัดสักที

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องขึ้นรถไปดูไซต์งานกับพี่ซุป
    ระหว่างที่นั่งไปบนรถพี่แกก็อธิบายให้ผมฟังว่าที่เราจะไปดูมันเป็นโครงการก่อสร้างอะไร ต้องเสร็จในช่วงไหน และรายละเอียดอื่นๆที่ผมควรรู้ พูดจริงจังบ้าง เล่นบ้างกวนตีนบ้าง ปิดท้ายว่า

    “เดี๋ยวคืนนี้ไปแดกเหล้ากัน ชวนพวกที่ออฟฟิศไว้แล้ว กูเลี้ยงเอง”

    “โหเลี้ยงในโอกาสอะไรวะพี่”

    “สงสัยจะได้เมียว่ะ”

    ถึงว่า...เช้านี้แกดูอารมณ์ดีผิดปกติเดินผิวปากวิ้วๆเป็นเพลง จนคนเค้างงกันไปหมด

    ขับรถออกนอกเมืองมาได้สักพักผมก็มาถึงไซต์งาน แปลกใจนิดหน่อยที่มีบีเอ็มหรูๆ จอดอยู่ใกล้ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จแบบนี้ จนลูกพี่ที่ขับรถอยู่เหมือนจะรู้เลยหันมาบอก

    “ไม่ต้องงง รถของคุณสถาปนิกเค้า...”

    “อ๋อ...”

    ผมรับคำพร้อมกับที่โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์เลี้ยวเข้าจอด ผมลงจากรถ เห็นผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงนั้น

    คนนึงใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ส่วนอีกคนใส่ชุดนักศึกษา และทันทีที่ทั้งคู่หันมา ผมก็อึ้งไปเลย...

    นั่นมันไอ้คนที่นั่งหลับอยู่ข้างผมบนรถตู้เมื่อเช้านี่หว่า
    เด็กถาปัตย์เลยเหรอมึง!


    ผมส่งยิ้มไปให้ตั้งใจจะทักทาย
    ต่อให้เราไม่เคยคุยกันสักครั้งนอกจากวันที่แรกที่มันปลุกผมด้วยเสียงยุงแล้วไม่ตื่น แต่คนเรามันก็ต้องจำกันได้อยู่แล้วปะวะ นั่งรถคันเดียวกันทุกเช้านั่งข้างกันก็ออกจะบ่อย

    ผลก็คือ...มันกลับทำหน้านิ่งกลับมา ก่อนจะหันหน้าหนีผมไปคุยกับคนที่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นพี่ซุปของเจ้าตัว
    ...เอาไอ้นี่! กวนตีนกูแล้วมั้ยล่ะ!

    ไม่ทันได้พูดอะไรลูกพี่ผมก็เดินอ้อมรถมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่สถาปนิก มือทั้ง 2 ข้างเท้าเอวสบายๆแล้วพูดเสียงดังฟังชัด

    “ไงคะที่รัก ไหนวันนี้ที่รักมีอะไรจะบ่นให้ผมฟังบ้าง”

    ไอ้คนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนผมอึ้งแดกไปแล้วส่วนคนที่เหมือนจะเป็นพี่ซุปของมันยังคงนิ่ง หยิบหมวกเซฟตี้ที่วางอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถขึ้นมาถือแล้วตอบกลับเสียงเรียบ

    “ผมยังไม่ได้เดินไปดูหน้างาน และคิดว่าเราควรจะไปดูพร้อมกัน”

    “ได้เลยค่ะ เอาที่ที่รักสบายใจเลย”

    โว้ว...โลกของผู้ใหญ่มันเป็นแบบนี้สินะ

    --

    วันต่อมาผมนั่งรถตู้คันเดิมเวลาเดิม
    และตั้งใจกว่าเดิมว่าต้องทักไอ้คนนอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลาให้ได้!

    เมื่อวานมันไม่ยอมคุยกับผมสักคำ หลังจากนั้นยิ้มให้อีกทีก็ยังเมิน พอจะเดินไปหาก็เดินหนีก้มหน้าก้มตาจดงาน เป็นอะไรของมันวะ

    นั่นไง...​ลงรถรางเดินหน้าหงิกมาทางนี้แล้ว!

    ผมจัดการยกกระเป๋าที่อยู่บนเบาะข้างตัวขึ้นมาวางบนตักตามแผน 


    วันนี้เบาะอื่นที่นั่งสบายมีคนนั่งหมดแล้วด้วย ที่ว่างเหลือแค่แถวสุดท้าย ยังไงมันก็ต้องยอมนั่งข้างผม ถ้าอยากนอนหลับระหว่างทาง

    มันเปิดประตูรถ กวาดสายตามองทั้งคัน หยุดที่ผมแว๊บนึง แล้วก็ขึ้นมานั่งลงตรงที่ว่างข้างกันจริงๆ

    มาปุ๊บก็ใส่หูฟังแล้วก็เล่นมือถือเหมือนเดิม แอบสังเกตจนแน่ในว่ามันจะไม่ย้ายไปนั่งที่อื่นแล้วจริงๆ ผมก็ขยับตัว เอาข้อศอกจิ้มลงไปบนต้นแขนมัน ก่อนจะหันหน้าไปถาม


    “เมื่อวานทำไมไม่ทักกันวะ?”

    อีกฝ่ายหันมามองหน้ากันนิ่งๆ ถ้าตาไม่ฝาด ผมเห็นว่ามันแอบยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มยียวนนิดหน่อยก่อนจะกลับไปทำหน้านิ่งสนิทแบบเดิมแล้วตอบกลับ

    “ไม่ทราบว่าเรารู้จักกันเมื่อไหร่เหรอครับ?”

    อ้าว! ไอ้นี่!
    แบบนี้มันกวนตีนกันนี่หว่า!


    to be continued on Day 12 'รุ่นใหญ่' 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in