ผมไม่เคยรู้เลยว่าร่างกายคนเรามันจะทำงานเหมือนมีนาฬิกาปลุกในตัวได้ด้วย
จนกระทั่งได้เจอกับมัน...
,
ชีวิตนักศึกษาที่เช่าหออยู่ไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่เวลาฝึกงานเพราะมหาลัยที่ผมเรียนมันอยู่นอกเมืองจนหลุดออกมาอีกจังหวัด แต่บริษัทที่อยากไปฝึกงานดันอยู่ซะกลางเมือง
พอทุกอย่างแน่นอนแล้วว่าผมจะได้ไปฝึกงานที่นั่นตอนแรกก็ลังเลอยู่นิดหน่อยว่าจะไปเช่าหอใกล้ๆบริษัทอยู่ดีมั้ย แต่คิดไปคิดมาผมไม่อยากจ่ายค่าเช่าสองที่ ห้องเก่าก็ยกเลิกไม่ได้เพราะของเต็มห้องทั้งของผมและของเมทแถมไม่ว่ายังไงผมก็ต้องกลับมาพักที่นี่อยู่ดีทันทีที่เปิดเทอม
คิดไปคิดมาก็สรุปกับตัวเองว่า
‘แล้วมึงจะดิ้นรนหาห้องใหม่ จ่ายตังค์เยอะ ขนของไปอยู่ที่ใหม่ทำซากอะไร อยู่แม่งที่เดิมนี่แหละ’
แต่พอไม่อยากใช้เงินแม่งก็ต้องยอมลำบาก...
ผมต้องแหกตาตื่นตั้งแต่เช้าขับมอ’ไซเข้ามหาลัย นั่งรถตู้ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯแล้วก็ต่อรถไฟฟ้าเบียดกับคนเข้าไปที่ทำงานทุกวัน แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มต้นขึ้นเพราะเรื่องนี้นี่แหละ!
วันแรกที่เจอกับมัน ผมหลับ...
หลับสนิทจนถึงอนุสาวรีย์แล้วก็ยังไม่ตื่นมารู้ตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกอยู่ข้างๆฟังดูงู่งี่มู่มี่ไม่ต่างจากยุง
“เฮ้ย...ตื่น”
“...”
“ตื่นได้แล้ว...”
“ไอ้น้อง! ตื่นได้แล้วถึงแล้ว!”
จนได้ยินเสียงพี่คนขับรถเรียกนั่นแหละผมถึงได้ตื่น
ลืมตามาก็เห็นหน้าตาไม่พอใจของคนที่นั่งข้างกันฝั่งที่ติดกระจก แว๊บแรกที่คิดคือ ไอ้หน้าหงิกนี่ใครวะ?
ไม่ทันได้คำตอบ หันซ้ายหันขวาก็พบว่าทั้งรถเหลือแค่ผมกับมัน2 คน และที่มันยังนั่งอยู่บนรถแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะกลัวผมเหงาหรือมีน้ำใจอะไรหรอก แต่ผมหลับขวางทางอยู่ มันเลยลงจากรถไม่ได้
“ขอทางหน่อยจะสายแล้ว”
รีบมาก? รอสักสิบวิให้กูลงรถก่อนไม่ได้รึไง?
ผมเหลือบมองเห็นมันใส่ชุดนักศึกษาเหมือนผม แต่รีดมาซะเรียบกริบ ต่างจากผมที่ซักมือแล้วไม่บิดให้แห้ง
อันนี้เป็นเทคนิคเลยนะ... ตั้งใจฟัง ถ้าเราตากเสื้อนักศึกษาตอนมันยังเปียกโชกพอแห้งปุ๊บแม่งไม่ต้องรีดอะ ใส่ได้เลย ไม่เชื่อลอง!
กลับมาเรื่องไอ้คนที่นั่งหน้าตาดูไม่ได้อยู่ข้างผมนี่. เห็นหน้าตาหงิกๆของมันแล้วก็รำคาญลูกกะตาจนผมตัดสินใจขยับตัว เปิดทางให้คุณหนูเค้าลงไปก่อนแล้วผมค่อยตามลงไป
...ก็แค่ไม่อยากเห็นคนร้องไห้เพราะไปธุระไม่ทัน
,
หลังจากนั้นผมเจอมันทุกวันตลอดสัปดาห์
เจอจนเดาได้เลยว่ามันน่าจะกำลังฝึกงานอยู่เหมือนผมและไม่อยากจ่ายค่าเช่าสองที่เหมือนกันเลยพักที่หออย่างเดิม นั่นทำให้เราก็จำเป็นจะต้องขึ้นรถตู้เที่ยวเดียวกันเพื่อที่จะไปทำงานได้ทันเวลา
มีวันนึงผมนั่งเก้าอี้ฝั่งที่มีสองตัว ส่วนมันนั่งแถวเดียวกันนี่แหละแต่เป็นอีกฝั่งที่แยกไปตัวเดียว ขึ้นรถได้ผมก็หลับตามเคย แต่มีจังหวะนึงที่รถตู้เบรกกะทันหันจนตื่น นั่งงงๆมองไปมองมาก็เห็นว่าคุณหนูเค้าก็กลับบนรถตู้เหมือนผมนี่แหละว้า...แหม แล้วทีวันนั้นทำมาเป็นหงุดหงิด
แล้วหลังจากนั้นผมก็หยุดมองมันไม่ได้เลย...
ต้องขอบคุณนวัตกรรมกาแฟเซเว่นแก้วละ20 กว่าบาทที่ทำให้การเรียนรู้ชีวิตวัยทำงานของผมไม่ทรมาณเท่าเดิมอีกต่อไปกินวันไหน ตื่นวันนั้นกินปุ๊บตาแข็งปั๊บแบบที่นึกอยากถามพนักงานตรงๆสักทีว่านี่เอาอะไรมาชงให้กูกิน
พอไม่หลับบนรถตู้...ผมก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของมันได้มากขึ้นขึ้นรถปุ๊บมันจะใส่หูฟัง เปิดเพลง พร้อมกับเล่นมือถือไปเรื่อย แล้วจะหลับไปช่วงที่รถขับผ่านม.กรุงเทพตลอด ก่อนจะมาตื่นนอนช่วงที่รถมาถึงดินแดง
แม่งเป็นอย่างนี้ทุกวัน...
เหลือเชื่อปะวะ?คนอะไรจะหลับที่เดิม ตื่นที่เดิมได้ทุกวัน มหัศจรรย์สัตว์โลกชิบหาย
พอเข้าสู่สัปดาห์ที่2 ผมก็เริ่มรู้สึกสนุกกับการสังเกตพฤติกรรมของมัน...
ทุกๆวันผมจะมาถึงก่อน...
ผมอยู่หอนอกแล้วต้องขี่มอเตอร์ไซค์มา ส่วนมันนั่งรถเอ็นจีวีของมหาลัยแบบที่เดาได้ว่าน่าจะอยู่หอใน คงเหมือนเวลาไปโรงเรียนนั่นแหละพวกที่อยู่บ้านไกลก็มาถึงก่อนพวกที่อยู่บ้านใกล้โรงเรียนทั้งนั้น
ที่ประจำของผมคือแถวที่2 ติดหน้าต่าง วิจัยโดยตัวผมเองว่านั่งตรงนั้นแล้วสบายที่สุดวันไหนมันมาเร็วก็จะได้นั่งแถวด้านหน้าผม ซวยหน่อยก็นั่งข้างผม
ถ้ามาถึงช้าก็โน่น...ไปนั่งแถวสุดท้ายที่ดีดดึ๋งๆๆอย่างกับอยู่ในสวนสนุก
ปัญหาคือถ้าวันไหนมันไปนั่งแถวสวนสนุก ผมก็จะอดดูว่ามันหลับตอนไหนแล้วตื่นตอนไหน
ซึ่งจะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นไม่ได้ งานวิจัยของผมคือเรื่องจริงจัง!
ตอนนั้นเองที่แผนการณ์ของผมเริ่มต้นขึ้นเพราะผมมักจะมาถึงเป็นคนแรกๆของรถเสมอ หลังจากนั่งที่ประจำของตัวเองแล้วผมจะวางกระเป๋าจองที่ข้างๆเอาไว้ ถ้าใครจะมานั่งก็บอกไปว่า ‘เดี๋ยวเพื่อนมาครับ’ แบบเนียนๆ
พอเห็นมันลงรถเอ็นจีวีมาปุ๊บผมก็ยกกระเป๋าขึ้นมาวางบนตัก วันไหนซวยหน่อย มันก็ได้นั่งข้างผมวันไหนซวยน้อยหน่อยมันก็ไปนั่งที่อื่น
นั่นทำให้ผมสังเกตได้ว่าตลอด 1 เดือนมานี้มันจะหลับตรงที่เดิม แล้วก็ตื่นตรงที่เดิมทุกวัน
แปลกชิบหาย...คนอะไรตั้งเวลาปิดเปิดได้เหมือนมีนาฬิกาปลุกอยู่ในตัว
-
ในส่วนของการฝึกงาน...
หลังจากอุดอู้อยู่ออฟฟิศ1 เดือนเต็มๆผมก็เริ่มได้ออกไปข้างนอก ได้ตามไปดูพี่ซุปฯแกทำงานในไซต์งานจริงๆ ที่สำคัญคือไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาแล้วก็ได้กลับไปใส่ช็อปกับกางเกงยีนส์แบบที่ถนัดสักที
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมต้องขึ้นรถไปดูไซต์งานกับพี่ซุป
ระหว่างที่นั่งไปบนรถพี่แกก็อธิบายให้ผมฟังว่าที่เราจะไปดูมันเป็นโครงการก่อสร้างอะไร ต้องเสร็จในช่วงไหน และรายละเอียดอื่นๆที่ผมควรรู้ พูดจริงจังบ้าง เล่นบ้างกวนตีนบ้าง ปิดท้ายว่า
“เดี๋ยวคืนนี้ไปแดกเหล้ากัน ชวนพวกที่ออฟฟิศไว้แล้ว กูเลี้ยงเอง”
“โหเลี้ยงในโอกาสอะไรวะพี่”
“สงสัยจะได้เมียว่ะ”
ถึงว่า...เช้านี้แกดูอารมณ์ดีผิดปกติเดินผิวปากวิ้วๆเป็นเพลง จนคนเค้างงกันไปหมด
ขับรถออกนอกเมืองมาได้สักพักผมก็มาถึงไซต์งาน แปลกใจนิดหน่อยที่มีบีเอ็มหรูๆ จอดอยู่ใกล้ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จแบบนี้ จนลูกพี่ที่ขับรถอยู่เหมือนจะรู้เลยหันมาบอก
“ไม่ต้องงง รถของคุณสถาปนิกเค้า...”
“อ๋อ...”
ผมรับคำพร้อมกับที่โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์เลี้ยวเข้าจอด ผมลงจากรถ เห็นผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงนั้น
คนนึงใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ส่วนอีกคนใส่ชุดนักศึกษา และทันทีที่ทั้งคู่หันมา ผมก็อึ้งไปเลย...
นั่นมันไอ้คนที่นั่งหลับอยู่ข้างผมบนรถตู้เมื่อเช้านี่หว่า
เด็กถาปัตย์เลยเหรอมึง!
ผมส่งยิ้มไปให้ตั้งใจจะทักทาย
ต่อให้เราไม่เคยคุยกันสักครั้งนอกจากวันที่แรกที่มันปลุกผมด้วยเสียงยุงแล้วไม่ตื่น แต่คนเรามันก็ต้องจำกันได้อยู่แล้วปะวะ นั่งรถคันเดียวกันทุกเช้านั่งข้างกันก็ออกจะบ่อย
ผลก็คือ...มันกลับทำหน้านิ่งกลับมา ก่อนจะหันหน้าหนีผมไปคุยกับคนที่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นพี่ซุปของเจ้าตัว
...เอาไอ้นี่! กวนตีนกูแล้วมั้ยล่ะ!
ไม่ทันได้พูดอะไรลูกพี่ผมก็เดินอ้อมรถมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่สถาปนิก มือทั้ง 2 ข้างเท้าเอวสบายๆแล้วพูดเสียงดังฟังชัด
“ไงคะที่รัก ไหนวันนี้ที่รักมีอะไรจะบ่นให้ผมฟังบ้าง”
ไอ้คนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนผมอึ้งแดกไปแล้วส่วนคนที่เหมือนจะเป็นพี่ซุปของมันยังคงนิ่ง หยิบหมวกเซฟตี้ที่วางอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถขึ้นมาถือแล้วตอบกลับเสียงเรียบ
“ผมยังไม่ได้เดินไปดูหน้างาน และคิดว่าเราควรจะไปดูพร้อมกัน”
“ได้เลยค่ะ เอาที่ที่รักสบายใจเลย”
โว้ว...โลกของผู้ใหญ่มันเป็นแบบนี้สินะ
--
วันต่อมาผมนั่งรถตู้คันเดิมเวลาเดิม
และตั้งใจกว่าเดิมว่าต้องทักไอ้คนนอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลาให้ได้!
เมื่อวานมันไม่ยอมคุยกับผมสักคำ หลังจากนั้นยิ้มให้อีกทีก็ยังเมิน พอจะเดินไปหาก็เดินหนีก้มหน้าก้มตาจดงาน เป็นอะไรของมันวะ
นั่นไง...ลงรถรางเดินหน้าหงิกมาทางนี้แล้ว!
ผมจัดการยกกระเป๋าที่อยู่บนเบาะข้างตัวขึ้นมาวางบนตักตามแผน
วันนี้เบาะอื่นที่นั่งสบายมีคนนั่งหมดแล้วด้วย ที่ว่างเหลือแค่แถวสุดท้าย ยังไงมันก็ต้องยอมนั่งข้างผม ถ้าอยากนอนหลับระหว่างทาง
มันเปิดประตูรถ กวาดสายตามองทั้งคัน หยุดที่ผมแว๊บนึง แล้วก็ขึ้นมานั่งลงตรงที่ว่างข้างกันจริงๆ
มาปุ๊บก็ใส่หูฟังแล้วก็เล่นมือถือเหมือนเดิม แอบสังเกตจนแน่ในว่ามันจะไม่ย้ายไปนั่งที่อื่นแล้วจริงๆ ผมก็ขยับตัว เอาข้อศอกจิ้มลงไปบนต้นแขนมัน ก่อนจะหันหน้าไปถาม
“เมื่อวานทำไมไม่ทักกันวะ?”
อีกฝ่ายหันมามองหน้ากันนิ่งๆ ถ้าตาไม่ฝาด ผมเห็นว่ามันแอบยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มยียวนนิดหน่อยก่อนจะกลับไปทำหน้านิ่งสนิทแบบเดิมแล้วตอบกลับ
“ไม่ทราบว่าเรารู้จักกันเมื่อไหร่เหรอครับ?”
อ้าว! ไอ้นี่!
แบบนี้มันกวนตีนกันนี่หว่า!
to be continued on Day 12 'รุ่นใหญ่'
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in