เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my little journeypastk
Lost in Singapore : 4 Days
  • BOUND TO TOWN
    OF
    DIVERSITY
     

    .

    .

    .

     


     หนึ่งในเมืองแห่งแสงสีและวัฒนธรรมที่หลากหลายแห่งหนึ่งของโลก
    และหนึ่งในเมืองแห่งการค้าที่นับเป็นหัวใจหลักของทวีปเอเชีย
    สิงคโปร์

    .

    .

    .

     

    DAY1 :Bugis street and China Town


    หลายครั้งเลยที่เรากลัวการออกจาก safe zone ของตัวเองกัน 
    กลัวแม้กระทั่งการเที่ยวต่างประเทศ
    แต่เห้ย ! อยากแนะนำให้คนที่กลัวสิ่งเหล่านั้นเลยว่า
    สิงคโปร์เป็นประเทศที่เที่ยวง่ายมากเลยนะ
    คุณไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลย การคมนาคมเขาดีจริง ๆ ซึ่งmrt และbus ของเขาสามารถเชื่อมไปยังทุกที่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเลยจริง ๆ นะ 
    อยากให้ลอง อย่าได้กลัว
    เพราะถ้ามัวแต่กลัวอยู่ คุณจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ


    .

    .

    .


    เราเริ่มต้นทริปนี้จากสนามบินนานาชาติ จังหวัดกระบี่ ที่เดิมจากที่ครั้งที่แล้วซึ่งเราไปทริปเชียงรายมา
    ครั้งนี้เรามีเพื่อนร่วมทริปเยอะมาก เพราะไปกับเพื่อนในคณะและอาจารย์ในคณะของเราเอง 
    ลองดูนะ ถ้าไม่อยากเที่ยวคนเดียวก็ลองชวนเพื่อนที่รู้จักไป มันสนุกมากจริงๆ



    • Singapore Changi Airport 

    เราออกจากสนามบินนานาชาติกระบี่ในช่วงประมาณ 10.30 น. ตามเวลาที่ไทย และมาถึงสิงคโปร์ในเวลาประมาณบ่ายโมงเกือบบ่ายสองของเวลาสิงคโปร์ ซึ่งเวลาของประเทศสิงคโปร์จะไวกว่าประเทศไทยหนึ่งชั่วโมง เราแนะนำว่าเมื่อเครื่องแลนดิ้งก็ปรับเวลาเป็นของประเทศสิงคโปร์เลย เพื่อกันการหลงเวลา แต่สำหรับโทรศัพท์สมัยนี้มันก็จะสามารถปรับทามโซนให้เราอัตโนมัติเลย



    เมื่อมาถึงก็จะมีชั้นที่วางพวกmapของสิงคโปร์ไว้ เราก็วิ่งเข้าไปเอาเลย กันเหนียวไว้ก่อน เผื่อหลง55555แต่ว่าถ้าหากไม่อยากเอาที่สนามบินก็สามารถไปหยิบตามโฮสเทลหรือโรงแรมที่คุณจองไว้ได้เลยนะ ที่โรงเเรมมีแน่นอน  
    เราออกเดินทางจากสนามบินชางงีตอนประมาณบ่าย14.40น. ซึ่งมีบัสที่มารับผู้โดยสารจากเทอมินอลที่คุณอยู่ไปยังterminal4 ซึ่งไอ้เจ้าเทอมินอลสี่เนี่ยเป็นที่ที่เราจะขึ้นmrt จากสถานี changi airport ไปยังโฮสเทลของเราซึ่งอยู่ในย่าน Bugis street เป็นย่านอาหรับที่ชิค ๆ เก๋ ๆ ของสิงคโปร์เลย 


    และขอเล่าความว้าวของสนามบินที่นี้ไว้อย่างนึง เราประทับใจมากตามประสาคนที่เรียนสายสถาปัตยกรรมนะ
    มันคือ !!! VERTICLE GARDEN!! กับ INTERIOR GARDEN!!!




    ขออธิบายหน่อยว่า Vertical garden หรือการปลูกพืชแนวตั้งเนี่ยมันมีช่วงบูมในต่างประเทศสักพักแล้ว เนื่องจากมีกระแสเรื่องอาคารประหยัดพลังงานเข้ามา ที่นี้ ไอ้เจ้าสวนแนวตั้งเนี่ย มันจะช่วยลดความร้อนและฝุ่นควันที่จะพุ่งเข้ามากระทบตัวอาคาร รวมถึงยังช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศอีกด้วยแต่มันยังไม่ค่อยบูมในประเทศไทยเท่าไหร่นัก แต่ !! เราเจอมันในสนามบินที่นี้ รวมถึงตามอาคารต่าง ๆ ในสิงคโปร์ แทบจะ80%คือการบวกกันของ vertical garden + building หรือไม่ก็เป็น green area + building ตามกฎหมายของบ้านเขา นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเลยนะ จริง ๆ

    ส่วน interior garden เนี่ย คือการจัดสวนภายในตัวอาคาร เราเดาว่าที่เขาจัดไว้เพราะเอาไว้ relax ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางของuser ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาที่สนามบินนี้ และมันได้ผลจริง ๆ นอกจากผ่อนคลายแล้วยังเป็นแลนด์มาร์คอีกที่นึงไปในตัวด้วยอะ


    เมื่อเราออกจากterminal 2 มาถึง terminal 4 ด้วยบัสของสนามบินแล้วให้เดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอกับบันไดเลื่อนลงไปยังชั้นที่เป็น mrt แนะนำว่าให้ทำบัตร eazylink ไว้แล้วเติมเงินในบัตรไว้สัก 20ดอลลาร์สิงค์โปร์ เพราะว่าบัตรนี้สามารถใช้นั่งได้ทั้งรถบัสและmrtของสิงคโปร์ได้เลย รวมถึงป้องกันความยุ่งยากในการไปหยอดเหรียญเติมบัตรอยู่ด้วย มันเสียเวลามาก



    • BUGIS STREET


    ออกจากmrt changi airport มาเปลี่ยนสายที่สถานีTanah Merah เพื่อจะต่อไปลงสถานี Bugis 
    ซึ่งย่าน Bugis เนี่ยเป็นย่านอาหรับที่ฮิปสเตอร์สไตล์อีกที่นึงในสิงคโปร์ ระหว่างทางเดินไปยังโฮสเทลที่เราจองไว้ก็จะเต็มไปด้วยภาพวาดและgraffityต่าง ๆ ตลอดทาง 
    และที่เก๋คือในวัน ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ถนนสายนี้จะปิดและร้านค้าจะตั้งโต๊ะให้ลูกค้านั่งทานข้าวและ
    มองบรรยาศตอนกลางคืนของถนนเส้นนี้กลางถนนนั้นเลย คล้าย ๆ กับถนนคนเดินบ้านเราเลยล่ะ



    อยากจะบอกว่าย่านนี้ของกินอร่อยอยู่นะ ราคาก็ใช้ได้อยู่ถ้าไปกันหลาย ๆ คนก็หารกันตกคนละไม่เท่าไหร่เอง พวกของฝากก็เก๋ด้วย
    ตอนที่นั่งกินข้าวกลางคืน มีแสงไฟของร้านรวงแถวนั้นเปิดเป็นแบ็คกราวและเห็นวิวของมัสยิด Sultan ไปด้วยนี่บอกเลยว่า ฟินสุด !



    • CHINATOWN

    มาต่อกันที่ย่านสุดชิคที่คนเยอะมากกกก ประมาณเยาวราชฟีลลิ่ง ซึ่งไชน่าทาว์นเนี่ยเราว่าไม่ค่อยต่างกับเยาวราชเท่าไหร่ แต่ที่แตกต่างคือการจัดระเบียบร้านและความสะอาดนี่แหละ

  • BOUND TO TOWN
    OF
    DIVERSITY
     

    .

    .

    .

     


     หนึ่งในเมืองแห่งแสงสีและวัฒนธรรมที่หลากหลายแห่งหนึ่งของโลก
    และหนึ่งในเมืองแห่งการค้าที่นับเป็นหัวใจหลักของทวีปเอเชีย
    สิงคโปร์

    .

    .

    .

     

    DAY1 :Bugis street and China Town


    หลายครั้งเลยที่เรากลัวการออกจาก safe zone ของตัวเองกัน 
    กลัวแม้กระทั่งการเที่ยวต่างประเทศ
    แต่เห้ย ! อยากแนะนำให้คนที่กลัวสิ่งเหล่านั้นเลยว่า
    สิงคโปร์เป็นประเทศที่เที่ยวง่ายมากเลยนะ
    คุณไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลย การคมนาคมเขาดีจริง ๆ ซึ่งmrt และbus ของเขาสามารถเชื่อมไปยังทุกที่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเลยจริง ๆ นะ 
    อยากให้ลอง อย่าได้กลัว
    เพราะถ้ามัวแต่กลัวอยู่ คุณจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ


    .

    .

    .


    เราเริ่มต้นทริปนี้จากสนามบินนานาชาติ จังหวัดกระบี่ ที่เดิมจากที่ครั้งที่แล้วซึ่งเราไปทริปเชียงรายมา
    ครั้งนี้เรามีเพื่อนร่วมทริปเยอะมาก เพราะไปกับเพื่อนในคณะและอาจารย์ในคณะของเราเอง 
    ลองดูนะ ถ้าไม่อยากเที่ยวคนเดียวก็ลองชวนเพื่อนที่รู้จักไป มันสนุกมากจริงๆ



    • Singapore Changi Airport 

    เราออกจากสนามบินนานาชาติกระบี่ในช่วงประมาณ 10.30 น. ตามเวลาที่ไทย และมาถึงสิงคโปร์ในเวลาประมาณบ่ายโมงเกือบบ่ายสองของเวลาสิงคโปร์ ซึ่งเวลาของประเทศสิงคโปร์จะไวกว่าประเทศไทยหนึ่งชั่วโมง เราแนะนำว่าเมื่อเครื่องแลนดิ้งก็ปรับเวลาเป็นของประเทศสิงคโปร์เลย เพื่อกันการหลงเวลา แต่สำหรับโทรศัพท์สมัยนี้มันก็จะสามารถปรับทามโซนให้เราอัตโนมัติเลย



    เมื่อมาถึงก็จะมีชั้นที่วางพวกmapของสิงคโปร์ไว้ เราก็วิ่งเข้าไปเอาเลย กันเหนียวไว้ก่อน เผื่อหลง55555แต่ว่าถ้าหากไม่อยากเอาที่สนามบินก็สามารถไปหยิบตามโฮสเทลหรือโรงแรมที่คุณจองไว้ได้เลยนะ ที่โรงเเรมมีแน่นอน  
    เราออกเดินทางจากสนามบินชางงีตอนประมาณบ่าย14.40น. ซึ่งมีบัสที่มารับผู้โดยสารจากเทอมินอลที่คุณอยู่ไปยังterminal4 ซึ่งไอ้เจ้าเทอมินอลสี่เนี่ยเป็นที่ที่เราจะขึ้นmrt จากสถานี changi airport ไปยังโฮสเทลของเราซึ่งอยู่ในย่าน Bugis street เป็นย่านอาหรับที่ชิค ๆ เก๋ ๆ ของสิงคโปร์เลย 


    และขอเล่าความว้าวของสนามบินที่นี้ไว้อย่างนึง เราประทับใจมากตามประสาคนที่เรียนสายสถาปัตยกรรมนะ
    มันคือ !!! VERTICLE GARDEN!! กับ INTERIOR GARDEN!!!




    ขออธิบายหน่อยว่า Vertical garden หรือการปลูกพืชแนวตั้งเนี่ยมันมีช่วงบูมในต่างประเทศสักพักแล้ว เนื่องจากมีกระแสเรื่องอาคารประหยัดพลังงานเข้ามา ที่นี้ ไอ้เจ้าสวนแนวตั้งเนี่ย มันจะช่วยลดความร้อนและฝุ่นควันที่จะพุ่งเข้ามากระทบตัวอาคาร รวมถึงยังช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศอีกด้วยแต่มันยังไม่ค่อยบูมในประเทศไทยเท่าไหร่นัก แต่ !! เราเจอมันในสนามบินที่นี้ รวมถึงตามอาคารต่าง ๆ ในสิงคโปร์ แทบจะ80%คือการบวกกันของ vertical garden + building หรือไม่ก็เป็น green area + building ตามกฎหมายบ้านเขานับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเลยนะ จริง ๆ

    ส่วน interior garden เนี่ย คือการจัดสวนภายในตัวอาคาร เราเดาว่าที่เขาจัดไว้เพราะเอาไว้ relax ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางของuser ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาที่สนามบินนี้ และมันได้ผลจริง ๆ นอกจากผ่อนคลายแล้วยังเป็นแลนด์มาร์คอีกที่นึงไปในตัวด้วยอะ


    เมื่อเราออกจากterminal 2 มาถึง terminal 4 ด้วยบัสของสนามบินแล้วให้เดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอกับบันไดเลื่อนลงไปยังชั้นที่เป็น mrt แนะนำว่าให้ทำบัตร eazylink ไว้แล้วเติมเงินในบัตรไว้สัก 20ดอลลาร์สิงค์โปร์ เพราะว่าบัตรนี้สามารถใช้นั่งได้ทั้งรถบัสและmrtของสิงคโปร์ได้เลย รวมถึงป้องกันความยุ่งยากในการไปหยอดเหรียญเติมบัตรอยู่ด้วย มันเสียเวลามาก



    • BUGIS STREET


    ออกจากmrt changi airport มาเปลี่ยนสายที่สถานีTanah Merah เพื่อจะต่อไปลงสถานี Bugis 
    ซึ่งย่าน Bugis เนี่ยเป็นย่านอาหรับที่ฮิปสเตอร์สไตล์อีกที่นึงในสิงคโปร์ ระหว่างทางเดินไปยังโฮสเทลที่เราจองไว้ก็จะเต็มไปด้วยภาพวาดและgraffityต่าง ๆ ตลอดทาง 
    และที่เก๋คือในวัน ศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ถนนสายนี้จะปิดและร้านค้าจะตั้งโต๊ะให้ลูกค้านั่งทานข้าวและ
    มองบรรยาศตอนกลางคืนของถนนเส้นนี้กลางถนนนั้นเลย คล้าย ๆ กับถนนคนเดินบ้านเราเลยล่ะ



    อยากจะบอกว่าย่านนี้ของกินอร่อยอยู่นะ ราคาก็ใช้ได้อยู่ถ้าไปกันหลาย ๆ คนก็หารกันตกคนละไม่เท่าไหร่เอง พวกของฝากก็เก๋ด้วย
    ตอนที่นั่งกินข้าวกลางคืน มีแสงไฟของร้านรวงแถวนั้นเปิดเป็นแบ็คกราวและเห็นวิวของมัสยิด Sultan ไปด้วยนี่บอกเลยว่า ฟินสุด !



    • CHINATOWN

    มาต่อกันที่ย่านสุดชิคที่คนเยอะมากกกก ประมาณเยาวราชฟีลลิ่ง ซึ่งไชน่าทาว์นเนี่ยเราว่าไม่ค่อยต่างกับเยาวราชเท่าไหร่ แต่ที่แตกต่างคือการจัดระเบียบร้านและความสะอาดนี่แหละ




    ในส่วนของไชน่าทาว์นสิงคโปร์จะเป็นการอยู่ร่วมกันระหว่างวัฒนธรรมจีนและความเป็นแขกของอินเดียเลย เพราะว่าเดินไปอีกนิดเราจะเจอกับวัดพระเขี้ยวเเก้ว (Buddha Tooth Relic Temple and Museumและวัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman
    ตอนที่เราไปเนี่ยในวัดกำลังทำพิธีอะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งการจะเข้าไปเนี่ยสามารถเข้าไปเลยนะ แต่เนื่องจากตอนนั้นเราไม่ได้เข้าไป เป็นอาจารย์เราที่เข้าไปดู 
    อาจารย์ของเราบอกว่าสามารถทำบุญให้กับเขาแล้วเข้าไปในวัดศรีมาริอัมมันได้เลย แต่ถ้าหากเข้าไปข้างในแล้วห้ามถ่ายรูป และถ้าหากอยากจะถ่ายก็ต้องจ่ายค่าถ่ายรูปด้วยเช่นกัน

    • Sri Mariamman

      ตัววัดเนี่ยจะมีรูปปั้นของเทพเจ้าฮินดูอยู่บนหลังคา มองขึ้นไปก็จะเห็นสีท้องฟ้าตัดกับตัวสถาปัตยกรรมเเบบนี้เลย 
      ซึ่งรูปนี้ถ่ายจากด้านนอกของตัวอาคาร 

      สำหรับวันแรกของเราในสิงคโปร์ก็จบที่ไชน่าทาว์นนี่แหละ แอบลองกินอาหารจีนที่นี้มา และนึกถึงประโยคที่ว่า "ไม่มีอาหารที่ไหนอร่อยเท่าที่ไทยอีกแล้วววว" คิดถึงน้ำพริกเลยทีเดียว


      DAY2 : ,Universal studio,Singapore city gallery,Singapore national museum,st andrew's cathedral and Merlion

      เราออกเดินทางจากที่พักโดยใช้mrtจากสถานีBugisมาลงที่สถานีTanjong Pagar เดินมาตามถนนสาย Maxwell เพื่อจะไปที่

      Singapore city gallery มาดูงานออกแบบที่ทำโดย Studio ของสถาปนิกที่นี่กัน

      • Singapore city gallery

      ที่นี่มีโมเดลจำลองเมืองของสิงคโปร์เอาไว้ทั้งหมด มีตัวแลนด์มาร์คบอกสถานที่สำคัญต่าง ๆ เอาไว้ เราสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เลย 
      เอาจริง ๆ สำหรับที่นี้คืองานดีไซน์เจ๋ง ๆ เยอะมาก แต่เราไม่สามารถนำรูปทุกรูปลงในบล็อคได้จริง ๆ อยากให้น้อง ๆ หรือ พี่ ๆ ที่เรียนสายออกแบบไปดูด้วยตาตัวเองจริง ๆ ได้อินสไปเรชั่นเยอะมาก ได้แรงฮึกเหิมด้วย เป็นแรงในอารมณ์ที่อยากจะเก่งให้ได้เท่าเขา


      • Buddha Tooth Relic Temple

      และเนื่องจากเมื่อวานเราไปถึงไชน่าทาว์นก็ดึกแล้ว เลยไปเก็บตกอีกหนึ่งสถานที่ที่ยังไม่ได้เข้านั่นก็คือวัดพระเขี้ยวเเก้ว และในความโชคดีคือ เนื่องจากวันที่30กรกฎาคมเป็นวันเข้าพรรษา เราจึงได้เห็นการสวดมนต์ของเขาด้วย


      เมื่อเข้าไปข้างในวัดแล้วก็จะพบกับรูปปั้นพระโพธิสัตว์ในปางต่าง ๆ 

      บรรยากาศตอนที่มีการสวดมนต์

      วัดพระเขี้ยวแก้วนอกจากจะเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้วยังเป็นพิพิธภัณฑ์อีกด้วย ซึ่งสามารถขึ้นไปยังชั้นต่าง ๆ โดยลิฟท์ได้เลย 

      บริเวณชั้นสองจะมีรูปปั้นของเกจิอาจารย์ทั้งไทยและจีนไว้ และมีประวัติของแต่ละท่านไว้อีกด้วย

      ใกล้ ๆ กันกับวัดพีะเขี้ยวแก้วนั้นมีศูนย์อาหารอยู่ เราแวะกินข้าวมันไก่ที่นั่น ตกใจที่เจ้าของร้านพูดไทยได้ด้วย สงสัยคนไทยคงมาเที่ยวเยอะจริง ๆ เพราะตอนที่เราเข้าไปในวัด ก็เจอกับคนไทยหลายกลุ่มเหมือนกัน

      ความเจ๋งของถนนแม็กซ์เวลคือตลอดทั้งสายเราสามารถเดินดูตัวอาคารที่อยู่รอบ ๆ ได้แบบว้าวมากจริง ๆ เป็นถนนที่มีความหลากหลายของการออกแบบและวัฒนธรรมจริง ๆ อะ


      ชอบการที่เอา elevation(รูปด้าน) ของตึกมาใส่ในวอลกั้นผนังทางเดินมาก



      • Universal studio,Singapore

      อย่างที่รู้ ๆ กันว่าถ้ามาสิงคโปร์ส่วนใหญ่ทาร์เก็ตก็คือuniversal studioของที่นี่ เป็นไฮไลท์ที่ถ้ามาทริปส่วนใหญ่ก็จะมากัน เลยไม่พลาดที่จะมาแบบประชากรทั่วไป แต่เราไม่ได้เข้าหมดทุกส่วนของตัว universal นะ เพราะเป้าหมายของเราคือ S.E.A.aquarium นั่นเอง 
      ซึ่งถ้าเราจะไปก็ต้องซื้อตั๋วบริเวณชั้นบนสุดของห้าง vivo city และซื้อตั๋วเข้าชมรวมถึงตั๋วรถที่จะข้ามไปยังเกาะsentosa ราคาตั๋วรถไปกลับอยู่ที่ประมาณ2ดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือถ้าหากอยากชมวิวจากข้างบนก็มีกระเช้าลอยฟ้าให้ข้ามไปนะ!

      • S.E.A.aquarium 
      S.E.A.aquarium หรือ  South East Asia Aquarium เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ใน Universal studio,Singapore โดยไฮไลท์ของอะควาเรี่ยมแห่งนี้ก็คือห้องกระจกขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยสัตว์น้ำหลาย ๆ ชนิด ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละครหรือหนังแล้วหลายเรื่องเช่นกัน ถ้าเป็นละครไทยก็คือเรื่องรักกันพัลวันที่พี่นาย นภัทรเป็นพระเอกนั่นเองฮะ 
      จุดไฮไลท์ของอะควาเรี่ยม


      ภายในส่วนต่าง ๆ 





      • St andrew's cathedral

      โบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์
      โบสถ์แห่งนี้ถูกออกแบบโดยพันเอกโรนัลด์ แม็กเฟอร์สัน (Colonel Ronald MacPherson) ซึ่งเป็นนายช่างใหญ่และผู้อำนวยการกรมโยธาธิการในปี ค.ศ. 1856 โบสถ์ทรงโกธิกแบบอังกฤษหลังนี้ได้ถูกสร้างขึ้นแทนที่โบสถ์หลังเก่าซึ่งถูกทำลายลงโดยฟ้าผ่าถึง 2 ครั้งในปี ค.ศ. 1852
      ไฮไลท์ที่สำคัญเลยคือยอดเรียวแหลมสูงของหลังคาตามสถาปัตยกรรมฝั่งยุโรปซึ่งพบเห็นได้ยากในฝั่งเอเซีย รวมถึงกระจกโมเสก ซึ่งเมื่อโดนแสงพระอาทิตย์ตอนเย็นใกล้ตกแล้ว บอกได้เลยว่าภายในตัวสถาปัตยกรรมแห่งนี้ สวย และ สงบ มากจริงๆ


      บริเวณรอบ ๆ ของโบสถ์หลังนี้สงบและร่มรื่นด้วยlandscapeที่เป็นสีเขียวแม้ว่าตัวอาคารหลังนี้จะอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวก็ตาม

      เก็บตก
      เมื่อออกจากmrtที่มายังโบสถ์แห่งนี้จะเจอกับเจ้าบันไดนี่ อาจารย์บอกกับเราว่าบันไดนี้มีประโยชน์ที่มากกว่าบันไดทั่วไปก็คือ ใช้เป็นสถานที่แสดงละครหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งได้เลย เป็นอีกหนึ่งความคิดของการออกแบบเพื่อใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรองรับการใช้งานได้มากจริง ๆ 


      • Singapore national museum

      จะประกอบด้วยสองตัวอาคาร เป็นส่วนนิทรรศการถาวรและนิทรรศการชั่วคราว
      ส่วนนิทรรศการถาวร - ในส่วนนี้จะมีอยู่3-4ชั้น รวมถึงชั้นที่เป็นดาดฟ้าซึ่งเป็นร้านอาหารและจุดชมวิว เดินกันจนฟินความเป็นมิวเซียมไปเลย

      ตอนเราไปนั้นมีนิทรรศการ Listeniong to Architecture  ซึ่งมีสองส่วน ส่วนที่บอกTimelineของสถาปัตยกรรมของสิงคโปร์ และส่วนที่เป็นประวัติของสถาปัตยกรรมตั้งแต่ยุคเรเนซอง 

      ในส่วนแรก ซึ่งก็คือส่วนวิวัฒนาการสถาปัตยกรรมในสิงคโปร์ เป็นส่วนที่มีตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ผู้ที่เกี่ยวข้องและการเติบโตของสถาปัตยกรรมในช่วงที่สิงคโปร์เป็นประเทศกำลังพัฒนาจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ในส่วนนี้จะมีใบโบรชัวร์ควบคู่กับการชมนิทรรศการของเราไปด้วย มีส่วนที่เป็นวิดีโอเล่าความเป็นมาและภาพถ่าย

      ในวงกลมคือtimeline ของยุคเรเนซอง โคตรจ๊าบ!

      ส่วนที่สอง คือสถาปัตยกรรมในยุคเรเนซอง จะมีตั้งแต่การก่อสร้างโดม เสาดอริก ไอออนิก และการก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ในยุคนั้น ๆ ในรูปแบบของการสเก็ตซ์ให้ดู ซึ่งเราชอบวิธีการนำเสนอให้เขาใจง่ายแม้ว่าคนที่ดูจะไม่ได้เรียนสายนี้เลยก็ตาม มีวิดีโอความเป็นมา ภาพถ่าย และมีใบโบรชัวร์ ซึ่งสามารถหยิบได้จากเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของที่นี้ได้เลย 

      ในระหว่างสองห้องจัดการแสดงเนี่ย จะมีโถงให้เราดูตัวอย่างจริงของเสาในยุคนั้น ๆ ด้วย 



      ตัวมิวเซียมเนี่ยจะมีสองอาคารเชื่อมต่อกันซึ่งเป็นส่วนนิทรรศการชั่วคราวและนิทรรศการถาวร ตัวนิทรรศการชั่วคราวจะเป็นสถานที่แสดงผลงานศิลปะศิลปินและชาวเมืองสิงคโปร์
      ระหว่างทางเดินไปยังอีกอาคารเราจะเห็นตัวอาคารฝ่ายนิทรรศการถาวร ซึ่งสามารถเห็นดีเทลรายละเอียดเสาและหน้าต่างแบบนี้ได้เลย แต่เดินไปดูไประวังตกทางเชื่อมนะ5555



      ส่วนนิทรรศการชั่วคราว
      ตัวนิทรรศการชั่วคราวจะเป็นสถานที่แสดงผลงานศิลปะของศิลปินและชาวเมืองสิงคโปร์ ส่วนนี้เราจะสามารถเห็นโครงสร้างของตัวสถาปัตยกรรมแห่งนี้ได้เลย โคตรว้าวอีกแล้ว 
      ชั้นล่างสุดจะมีส่วนนิทรรศการที่ต้องซื้อตั๋วเข้าชม ซึ่งตั๋วมีราคา15ดอลล่าร์สิงคโปร์ และสามารถลดได้อีกเมื่อใช้บัตรนักศึกษาเข้าชม ช่างเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาจริง ๆ


      เก็บตกอีกแล้ว
       ที่นี่มีตัว model section ให้ดูโครงสร้างและ space ภายในตัวอาคารด้วยนะ
      ซึ่งเราชอบความใส่ใจกับการนำเสนอของเขาโดยใช้สถาปัตยกรรมมาเป็นสื่อกลางเพื่อให้ง่ายต่อประชาชนทั่วไปที่เข้ามาศึกษามาก


      จบวันที่สองด้วยบรรยากาศจากเมอไลอ้อน เรามานั่งชมแสงสีจากตึก Marina Bay Sands และหาอาหารเย็นที่นี่ทาน 



      DAY3 : Garden by the bay,Helix bridge


      เริ่มต้นวันที่3ด้วยการพักร่างที่เดินมาทั้งสองวันด้วยพื้นที่สีเขียวใจกลางเมือง เปิดมาด้วยgarden by the bay 
      เราออกเดินทางจากที่พักประมาณ8.30น. และด้วยการเดินทางสะดวกสบายสุด ๆ จากmrt ของที่นี่ เราขึ้นจากสถานี Bugis เจ้าเดิมมาลงสถานี Bayfront ออกจากสถานีเดินตรงมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับโถงสามแยกที่จะแยกไปโรงเเรมมารีน่าเบย์แซน พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ และการ์เด้นบายเดอะเบย์ ขึ้นบันไดมาก็เดินตรงไปยังที่ซื้อตั๋วสำหรับการนั่งรถบัสไปยังภายใน garden by the bay นั่นเองง
      ระหว่างทางนั่งรถเราจะได้เห็นวิวของโรงเเรม marina bay sands หรือก็คือตึกที่มีเรืออยู่ข้างบนหลังนี้

      นั่งไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงโรงเรือนกระจกที่เป็นที่ตั้งของ Garden by  the bay ซึ่งจะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นไม้ดอก และส่วนที่เป็นพืชแบบtropical forest และด้วยความที่โรงเรือนไม้ดอกนั้นคนเยอะมาก เราเลยพุ่งตัวเข้าไปดูในส่วนของ tropical forestก่อน

      ซึ่งพอแลกตั๋วแล้วเปิดประตูเข้าไปปุ๊บ ไอความเย็นและไอน้ำจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้าหาเราทันทีแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นสถานที่ที่เย็นแบบไม่แห้ง เพราะมีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่อยู่ตรงปากทางเข้า 

      ตรงส่วนนี้จะมีทั้งหมด7ชั้น ซึ่งลิฟท์จะขึ้นไปถึงแค่ชั้น6 แล้วให้ขึ้นบันไดต่อนิดหน่อยไปยังชั้น7 หรือที่เรียกว่า lost garden 
      โดยการเข้าชมจะมีวิธีการคือ ให้ขึ้นไปชั้นบนสุดก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เดินลงมาในแต่ละชั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะมีความพิเศษที่แตกต่างกันไป
      ชั้นที่7ก็จะเป็นสะพานที่จำลองการเกิด clound forest ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนป่าและเป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำธรรมชาติ


      ซึ่งหากเราบอกความพิเศษของแต่ละชั้นทั้งหมด เดี๋ยวทุกคนที่อ่านจะไม่ได้ลุ้นตอนไปดูนะ ต้องไปปปป

      มาถึงเรือนไม้ดอกซึ่งมีประชากรอยู่ข้างในอย่างหนาแน่น นับเป็นโดมที่บรรจุพันธุ์ไม้ดอกไว้เยอะมาก ๆ อีกที่หนึ่งเลยทีเดียว แต่สิ่งที่เราชอบมากเป็นพิเศษคือแคคตัส หรือ กระบองเพชร เป็นการรวมสายพันธุ์กระบองเพชรไว้เยอะมากกกก เดินไปเพลิน ๆ ไปจนลืมเวลาเลยทีเดียว

      มนุษย์ทาสกระบองเพชรต้องลองไปสัมผัสสักครั้ง เราเชื่อว่าพวกเธอจะต้องฟิน
      ปล.มีสายพันธุ์ของกล้วยไม้ประกวดเยอะมากเหมือนกัน สายกล้วยไม้ก็ห้ามพลาดนะ!


      • marina barrage หรือเขื่อนมารีน่า

      มารีน่าบาร์ราทเป็นส่วนที่เราไม่คิดว่าจะได้มาแต่ก็ได้มาเฉย อยู่ใกล้กับกาเด้นบายเดอะเบย์เพียงแค่เดินเท้าแปปเดียว
      ภายในเป็นแกลอรี่ที่บอกถึงประโยชน์และความสำคัญของ sustainable energy หรือพลังงานหมุนเวียน มีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์และส่วนที่เป็นgreen roof สำหรับปั่นจักรยายหรือเดินขึ้นไปดูวิว 360 องศาของเขื่อนมารีน่าอีกด้วย 


      ตรงมารีน่าบาร์ราทเราสามารถเห็นถึงท่าเรือขนส่งของประเทศสิงคโปร์ที่เป็นท่าเรือสำคัญของประเทศนี้ด้วยนะ



      • Helix bridge หรือสะพาน DNA

      เป็นสะพานที่เรานับถือในการก่อสร้างมากจริง ออกจากส่วนที่เป็น garden by the bay เดินมาตามทางของตึกมารีน่าเบย์แซนก็จะเจอกับเจ้าสะพานนี่ ซึ่งเป็นสะพานที่ใช้โครงสร้างเหล็กรับน้ำหนัก โคตร power of structure เลยจริง ๆ


      ปิดท้ายด้วยวิวสวย ๆ ของวันนี้ จากฝั่งมารีน่าเบย์แซน และการ์เด้นบายเดอะเบย์ในช่วงกลางคืน เเนะนำว่าให้มาในช่วงมีโชว์แสงสีเสียงของต้นไม้อวตารเหล่านี้ เราประทับใจมากจริง ๆ ซึ่งช่วงโชว์ที่เราไปคือประมาณสองทุ่มสี่สิบนาที



      DAY4 : Little India,Clarke Quay,Henderson Waves and Fountain Of Wealth

      สายฮิปสเตอร์ต้องห้ามพลาดlittle india ด้วยประการทั้งปวง เพราะนอกจากจะเป็นย่านการค้าของชาวอินเดียในสิงคโปร์เเล้ว ทั้งโบสถ์ วัดแขก พิพิธภัณฑ์ และความเป็นเมืองของสถานที่แห่งนี้คือไปสุดในทุกทาง 
      เราขึ้น mrt จาก Bugis ไปลงที่สถานี little india เดินออกมายังถนน buffalo ซึ่งเมื่อคุณออกมาจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับย่านการค้าของคนอินเดียแห่งนี้

      และเราจะบอกว่า เที่ยววันเดียวยังเดินไม่ทั่วเลยคุณ!

      • Little India




      เราเดินเข้าไปในซอยเรื่อย ๆ ไปพบกับตึกที่มีรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ โมเดิร์น โดดเด่นออกมาจากตัวบริบทรอบ ๆ ที่เป็นอินเดียโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็คือ IHC หรือ indian heritage centre singapore

      • IHC

      IHC เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมความเป็นมาของชาวอิเดียที่อพยพมายังเอเซียจนถึงสิงคโปร์ ตั้งแต่อาชีพที่เข้ามาทำ การรับราชการทหาร การค้าขาย ครู พยาบาล รวมถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างฮินดูและพุทธที่ออกมาเป็นอินเดียในสิงคโปร์ มีวิดีโอฉายความเป็นมาและของแกะสลักต่าง ๆ ที่ทำขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นอินเดีย


      และความเจ๋งอีกอย่างนึงของที่นี่คือมีแอพพลิเคชั่นของ IHC ให้โหลดเพื่อสแกนวัตถุโบราณแล้วจะขึ้นมาเป็นคำอธิบายได้โดยไม่ต้องลำบากก้มลงอ่านเลย! 

      เดินไปเรื่อย ๆ จะมีศุนย์อาหารอยู่ทางขวามมือที่ชื่อว่า Tekka Centre เป็นการรวมตัวกันของอาหารอินเดียทุกรูปแบบ แต่ทางเรานั่นขอปลีกวิเวกไปนั่งในส่วนของอาหารจีนที่อยู่ใกล้ ๆ เนื่องจากทนความแออัดของส่วนที่เป็นร้านขายอาหารอินเดียไม่ได้จริง ๆ
      ศูนย์อาหารแห่งนี้นั้นเรารู้จักได้เพราะประชาสัมพันธ์ของ IHC ซึ่งคุณลุงแกบอกว่า ถ้ายูอยากกินข้าวที่ Good and Cheap! ให้ยูเดินตรงไปที่นี่! ซึ่งก็สมคำร่ำลือจากปากของลุงแกจริง ๆ
      เมื่อกินข้าวเสร็จเราก็เดินต่อไปยัง Mustafa center ซึ่งเป็นย่านที่ขายของฝากที่ถูกแบบอินเซปชั่น ถูกในถูก ถูกแล้วถูกอีก ใครอยากได้ของฝากแบบคุ้มกับราคาเงินก็ของให้มาที่นี้ เตือนแล้วนะ!



      • Clarke Quay


      คลากคีย์เป็นทั้งย่านการค้าและศูนย์รวมอาหารและวัฒนธรรมอีกที่นึงของสิงคโปร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความฮิปสเตอร์และจุดถ่ายรูปที่ชิค ๆ  อีกที่นึงเลย ซึ่งตัวคลากคีย์เนี่ยเราต้องเดินข้ามสะพานข้ามไปจากห้างที่อยู่ตรงข้าม เพราะเราออกมาจากmrtข้างใต้ห้างนั่นเอง


      ขอแนะนำว่าถ้าหากอยากเที่ยวคลากคีย์ให้ได้บรรยากาศแบบโรเเมนติกหรืออารมณ์จิบเบียร์เย็น ๆ ต้องมาในช่วงกลางคืน ซึ่งจะมีฉากของตึก marina bay sand เป็นแบล็คกราว บอกเลยว่าฟินสุด ๆ


      • Henderson Waves

      สะพานเฮนเดอร์สันเป็นสะพานที่ทำโดยโครงสร้างเหล็กที่ยาวที่สุดของสิงคโปร์ โดยความยาวอยู่ที่ประมาณ200เมตรกว่า ๆ ซึ่งเป็นสะพานที่อยู่กลางพื้นที่สีเขียวของเมืองสิงคโปร์ 
      โดยเรานั่งmrtมาจากคลากคีย์ แล้วต่อรถบัสสาย145มาลงที่สะพานแห่งนี้ ซึ่งช่วงที่เราไปมันตรงกับวันที่สิงคโปร์ซ้อมวันชาติอยู่ ก็จะเห็นเฮลิคอปเตอร์บินผ่านไปมา ถือว่าเป็นวิวที่ตัดกันของมันและพระอาทิตย์ที่กำลังตกซึ่งแปลกไปอีกแบบ


      จะเล่าเรื่องความผิดพลาดให้ฟัง ระหว่างที่เรานั่งรถบัสสาย145กลับจากสะพานเฮนเดอสันด์แล้วขึ้นmrt  เพื่อไปลงตึกsuntac เราได้ลองนั่งmrtสาย circle lineซึ่งเป็นสายรอบเมืองด้วยคิดว่ามันจะสามารถมองวิวรอบเมืองได้ แต่หารู้ไหมว่ามันวิ่งแค่ใต้ดิน5555555555555 เป็นการนั่งmrtจากปลายสายไปจนเกือบสุดสายครั้งแรกเลย ซึ่งราคาmrtอยู่ที่ประมาณ0.5ดอลล่าร์เอง (ตอนแรกกลัวว่าจะเยอะกว่านี้)
      แต่สิ่งที่เราได้จากการผิดพลาดครั้งนี้คือการเรียนรู้ อย่างน้อยเราก็เคยได้นั่ง mrt รอบเมืองล่ะวะ55555


      • Fountain Of Wealth

      ปิดท้ายทริปนี้ด้วยน้ำพุแห่งความมั่นคั่งที่บริเวณศูนย์การค้าของตึก suntec 
      ซึ่งเจ้าน้ำพุเนี่ยจะมีช่วงโชว์คือ 20.00,20.30และ21.30 น. เป็นการโชว์แสงสีเสียงและความดันของน้ำพุโดยมี)ากของตึกsuntacทั้งสี่อาคารเป็นแบ็คกราว 

      สุดท้ายนี้อยากจะขอบคุณทุกอย่างที่ได้มาที่นี้ 
      ขอบคุณอาจารย์และคณะที่พาเรามาดูงานที่เต็มไปด้วยการดีไซน์ที่เจ๋งสุด 
      ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจมาก 
      และขอบคุณทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านบล็อค ๆ นี้มาก ๆ 

      "อย่าลืมนะ จงออกไปจากsafe zone เพื่อหาinspiration ของชีวิตคุณซะ 
      การเที่ยวคือการชาร์ทแบตทางความคิดที่ดีที่สุดแล้วจริง ๆ เชื่อเรา :)"


      see ya next trip ! thank you !! 

    Views

    เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

    Log in