chiangrai trip
วันที่31 มกราคม 2017: จากกระบี่สู่เมืองเชียงราย
เริ่มต้นการเดินทางเมื่อตอนหกโมงเช้าของวันที่ 31 มกราคม เราบินจากสนามบินนานาชาติกระบี่ มายังสนามบินดอนเมืองและมาถึงเชียงรายตอนประมาณสามทุ่ม ออกจากสนามบินเชียงราย ต่อเเท็กซี่มาที่ sook hostel and cafe เจ้าของที่พักน่ารักมาก มีการแนะนำว่าควรจะไปเคาท์ดาว์นที่ไหน หรือไปเที่ยวที่ไหน เป็นกันเอง และทีี่สำคัญ ราคาไม่แพงเลย
เช็คอินเสร็จก็อาบน้ำเเต่งตัวเพื่อที่จะออกไปเค้าท์ดาว์นปี2018ที่ถนนคนเดินเชียงราย(ซึ่งอยู่แถวๆหอนาฬิกาอาจารย์เฉลิมชัย)
เราเดินซื้อของกินไปเรื่อยๆทั้งหม่าล่า ข้าวซอย ไข่ปลาหมึกทอด แล้วไปหยุดกันตรงใกล้ๆที่ฝูงชนรวมตัวกัน คืนนั้นศิลปินมากมายวนเวียนกันมาสร้างสีสันให้ตัวเมืองแห่งนี้ พวกเราไปทันได้ดูโชว์ของวงโมเดิร์นด็อกพอดี
เมื่อการแสดงจบลง พิธีกรก็พูดกันนำพาเข้าสู่เวลาแห่งการนับถอยหลังขึ้นศักราชใหม่ ผู้คนมากมายดูตื่นเต้นกับเวลาที่กำลังลดลงเรื่อยๆจนในที่สุด... เวลาของปี2018ก็เริ่มต้นขึ้น
หลังจากนับถอยหลังปีใหม่ที่บริเวณหอนาฬิกาอาจารย์เฉลิมชัยจบลง เราเดินกลับไปที่โฮสเทล ระหว่างทางนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็ยังเห็นโคมลอยที่คนในตัวเมืองลอยกัน ค่อยๆไหลไปตามลมที่พัดมา อากาศก็ยังคงหนาวอยู่ แต่ไม่มากนัก ประมาณ21องศาเอง
คืนนี้ก็เข้านอนโฮสเทลแวะทักทายกับผู้ร่วมโฮสเทลซึ่งเป็นสาวชาวเยอรมัน2คน เธอบอกกับพวกเราว่าจะอยู่ในตัวเมืองวันเดียวแล้วเดินทางต่อไปลาว เวียดนาม และสำหรับวันที่31ก็จบลงเพียงตรงนี้ เรากับเพื่อนอีกคนพากันบอกราตรีสวัสดิ์กันในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ...
บรรยากาศใน Sook café and hostel
วันที่1 มกราคม 2018 : เดินทางไปภูชี้ฟ้า
วันนี้ได้มีโอกาสไปไหว้พระที่วัดเจ็ดยอดในตัวเมืองเชียงราย ไหนๆก็ปีใหม่ทั้งที ขอไหว้พระขอพรให้ตัวเองโชคดีสำหรับปีใหม่นี้ด้วยเถอะ เพี้ยง!
ซึ่งวัดเจ็ดยอดเนี้ย เดินจากโฮสเทลที่เราพักอยู่ไปเพียงแค่ประมาณ5นาทีก็ถึง อากาศกำลังน่าสบาย เดินได้ชิวๆโดยไม่ร้อนเเดดเลย
เข้ามาในวัดก็สัมผัสได้ถึงความเป็นวัดของทางเหนือ มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหน้าบรรณ เสา และประตู รวมถึงรูปปั้นนรสิงห์ที่อยู่ตรงบริเวณทางเข้า ความวิจิตรและประณีตของศิลปะล้านนาสื่อสารออกมาทางสถาปัตยกรรมทางศาสนาได้อย่างสวยงาม
เราไหว้พระกันในวันขึ้นปีใหม่ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ออกเดินทางจากวัดตอน ประมาณ10โมงเพื่อออกไปตามหาร้านข้าวซอยที่มาเชียงรายแล้ว ต้องได้กิน...
ภายในโบสถ์ยังคงหลงเหลือร่องรอยจากการสวดมนต์ข้ามปีให้เราเห็นอยู่
“ข้าวซอยพอใจ”
เป็นร้านที่เดินออกมาจากวัดเจ็ดยอดเพียงแค่ไม่ถึง5นาทีก็ถึงเดิน เข้าไปก็สั่งมาสามอย่างด้วยกัน คือ ข้าวซอยไก่ ข้าวซอยปลา และเกาเหลาหมูบอกได้คำเดียวว่าอร่อยมากกก น้ำกะทิกับเครื่องหลายๆอย่างที่รวมกันเป็นข้าวซอยนี่บอกได้เลยว่ามาเชียงรายต้องมาลองนะ!
จบจากข้าวซอยพอใจก็กลับมาที่โฮสเทลจัดกระเป๋า จัดของ อาบน้ำ เตรียมจะไปภูชี้ฟ้ากัน !
เรามาถึงภูชี้ฟ้าตอนประมาณบ่ายสามได้แล้ว โดยการเดินทางมากับรถสองแถวสาย เชียงราย-เชียงคำ ในราคาประมาณ48บาทและต่อสองแถวขึ้นภู ซึ่งราคาประมาณ100 บาทและจากการที่สอบถามมาก่อนหน้านั้นทางบขส.บอกมาว่ามีรถตู้ไปภูชี้ฟ้าอยู่แต่ต้องโทรจองล่วงหน้าเพราะเต็มเร็วมาก ราคาอยู่ที่ประมาณ150บาท ระหว่างทางที่ไปที่พักนั้นจะผ่านหมู่บ้านของชนเผ่าม้งซึ่งวันที่เรามาตรงกับวันที่1พอดีทำให้ได้ยินและได้เห็นการทำพิธีของชาวเผ่าม้งในวันนี้โดยบังเอิญ
หนุ่มสาวชาวเผ่าม้งแต่งตัวกันสวยงามตามชุดประจำเผ่าเราได้แต่มองด้วยความตื่นเต้นกับภาพที่เห็น
ระหว่างทางที่รถสองแถวได้พาเราไต่เขาและเนินขึ้นไปยังภูชี้ฟ้าเรื่อยๆนั้น ตัวเราเองได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ แต่อยู่สภาวะที่สบายตัว ตอนนั้นแหละที่คิดได้เลยว่า
"อ่า นี่แหละ ถึงภูชี้ฟ้าแล้วจริงๆ"
good view at ภูชี้ฟ้า
เรามาถึงที่พักซึ่งก็คือ Good view @ ภูชี้ฟ้า ที่นี่มีของกินมากมายให้บริการ คุณไม่ต้องกังวลเลยว่า เห้ย! เราจะมีของกินไหม จะหนาวเกินไปสำหรับอาบน้ำรึปล่าว ขอบอกได้เลยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ที่นี่มีทั้งน้ำอุ่นและของกินหลากหลายให้ท่านได้เลือก แต่พวกหมูกะทะกับหมูจุ่มนี่ก็มีเวลาของมัน เจ้าของบอกกับเราว่าถึงจะสั่งไว้ล่วงหน้า แต่คุณก็จะได้กินตอนหกโมงเย็นเป็นต้นไปนะจ้ะ
คืนนั้นก็เลยได้ลองกินหมูจุ่มบนดอยครั้งแรก จำได้ว่าหมูจุ่มอร่อยมาก ไม่รู้ว่าเพราะเราหนาวกันมากด้วยรึปล่าว เพราะอากาศตอนกลางคืนนี้ตกอยู่ที่ประมาณ10-15องศาเลยทีเดียว
วันที่ 2 มกราคม 2018: จากภูชี้ฟ้าสู่ดอยผาตั้งและดอยผาหม่น
ตี4.30 ณ. good view at ภูชี้ฟ้า ตอนนอนอยู่ก็มีคนมาปลุกถึงเต้นท์ซึ่งก็คือคนขับรถที่จะพาขึ้นไปตรงบริเวณภูชี้ฟ้าทางขึ้นภูชี้ฟ้านั้นโหดมากสมคำล่ำลือ แต่ก็คุ้มที่จะขึ้นมา
รถมาจอดบริเวณลานก่อนขึ้นไปบริเวณภูซึ่งต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ780เมตร ระหว่างทางขึ้นดอยมีน้องชาวเผ่าม้งมานั่งขายไฟฉายกัน ราคาอันละ20บาท ซึ่งตอนที่เราเดินขึ้นนั้นประมาณตี5 ยังมืดอยู่เดินมาเรื่อยๆ ระหว่างทางมีชันกับลาดสลับกัน เดินจนมาถึงบริเวณจุดดูพระอาทิตย์ขึ้น
อากาศบนดอยหนาวมาก อยู่ที่ประมาณ9-10องศานั่งรอพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้น และพระอาทิตย์ก็ได้ขึ้นมาให้เราเห็นตอน6.30น.สมดังคำกล่าวที่ว่า ”พระอาทิตย์ขึ้นดูที่ภูเขาสวยที่สุดและพระอาทิตย์ตกดูที่ทะเลสวยที่สุด”เราที่ได้ผ่านการดูมาแล้วทั้งสองแบบนั้นพูดได้คำเดียวว่า “จริง!”
บริเวณบนภูชี้ฟ้านั้นมีจุดให้ถ่ายรูปมากมายประกอบกับวันที่พวกเราขึ้นมานั้นมีหมอกไหลผ่านตัวภูเขารอบๆภูและตัวภูชี้ฟ้าเอง ทำให้ภาพที่ออกมาสวยงามเป็นที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมากบวกกับอากาศที่ไม่ถึง20องศา วิวที่ได้มานั้นคุ้มค่ามากจริงๆ
บนภูชี้ฟ้าในตอนเช้านั้นอากาศดีมาก ไกด์แนะนำว่าถ้าหากอยากจับจองพื้นที่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น(แบบที่นั่งพรีเมียมพิเศษ)แล้วล่ะก็ ต้องมาถึงก่อนสักประมาณชั่วโมงนึง เราขึ้นไปถึงบนยอดภูประมาณตีห้า สัปหงกอยู่ได้ชั่วโมงกว่าๆเงยหน้าขึ้นมาก็มีนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเยอะมาก
เดินถ่ายรูปอยู่บนภูอยู่นานจนพระอาทิตย์เกือบตั้งฉากกับหัวจึงเดินลงมาข้างล่างและนั่งรถกลับที่พัก สักประมาณเกือบ10โมงก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะเดินทางต่อไปดอยผาตั้ง...
ดอยผาตั้งนั้นปกติไม่มีรถที่จะไปถึงถ้าหากจะไปจากภูชี้ฟ้า จึงจำเป็นต้องเหมารถไปเท่านั้น ระยะทางจากภูชี้ฟ้าไปดอยผาตั้งอยู่ที่33กิโลเมตร เราได้เหมารถกระบะไปด้วยราคา700บาท มาถึงที่พักคือ “บ้านฟางโฮมสเตย์”ในตอนเกือบบ่าย
เพราะเราได้เหมารถไปขึ้นดอยผาตั้งกันแล้วคุยกับคนขับรถเขาบอกว่าถ้ามาผาตั้งไม่มากินข้าวขาหมูกับซาลาเปาของชนเผ่าจีนฮ้อถือว่ามาไม่ถึง
ดอยผาตั้งนั้นเป็นที่ตั้งของชนกลุ่มน้อยจีนฮ้อ เราเพิ่งรู้ว่าเขาสามารถพูดได้ทั้งจีน ภาษาม้ง และภาษาไทย ตามบ้านของเขามีป้ายภาษาจีนคล้ายๆกับคนไทยเชื้อสายจีนในภาคใต้เลย
"บ้านฟางโฮมสเตย์"
โฮมสเตย์ที่2 ที่เราพักนั้นอยู่ใกล้กับดอยผาหม่นมากๆ ป้าเจ้าของบอกว่าจริงๆเราควรมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยผาหม่นเพราะวันนี้โชคนี้ที่ได้เห็นรุ้งวงกลมด้วย สวยมาก เรารู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้อย่างน้อยเราก็ได้ไปผาตั้งแล้ว ซึ่งคนดูแลที่พักที่นี้ใจดีมาก
บ้านฟางโฮมสเตย์มีที่นอนซึ่งเป็นเต้นท์พร้อมเครื่องนอน มีกับข้าวทำให้กินทั้งสามมื้อ และมีรถที่รับส่งนักท่องเที่ยวขึ้นดอยผาหม่นมารับถึงที่อีกด้วย
และอีกข้อ มีเรื่องที่น่าเสียใจสำหรับมือถือค่าย dtacเนื่องจากสัญญาณนั้นไม่ถึง เราที่ใช้ก็หาอะไรทำแก้เซ็งนิดหน่อย
ข้อดีของบ้านฟางโฮมสเตย์คือเป็นแปลงเพาะพันธุ์ไม้ประดับเมืองหนาว ดอกไม้ที่เพาะพันธุ์ที่นี่สวยมาก เราเดินดูรอบๆแล้วกลับมาอาบน้ำเพื่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้าในตอนประมาณบ่ายสาม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in