เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Only Time Will TellBUNBOOKISH
คำนำ

  • You may delay, but time will not.

    — Benjamin Franklin

    ก่อนลงมือเขียนคำนำให้หนังสือเล่มนี้ เราหยิบหนังสือเล่มแรกของพี่ตุ๊ก—วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม มาอ่านอีกครั้ง ที่หน้าแรกของหนังสือมีลายเซ็นกำกับบอกวันเดือนปีเอาไว้ เป็นเครื่องยืนยันว่าวันหนึ่งในปี 2010 เราเคยขอลายเซ็นพี่ตุ๊กไว้เป็นที่ระลึกในหนังสือเล่มนั้น

    ถ้าในโทรศัพท์มือถือมีแอพพลิเคชัน Timehop เป็นเครื่องช่วยเตือนความจำถึงเหตุการณ์ของวันนี้ในปีที่ผ่านๆ มา ชีวิตจริงก็มีอะไรแบบนี้นี่แหละที่ทำหน้าที่แบบเดียวกัน ต่างก็ตรงที่ในชีวิตจริงต้องเป็นเราเองที่ไม่ปล่อยให้มันหายไปตามกาลเวลา เราสนุกกับการเข้าไปเตือนความจำตัวเองในแอพฯ ทุกวัน ชอบเวลาที่ได้รู้ว่าวันนี้ในปีที่แล้ว สองปีที่แล้ว หรือหลายปีที่แล้วเรากำลังทำอะไร คิดอะไร และเลือกบันทึกความรู้สึกนึกคิดแบบไหนเอาไว้... ไม่แน่ใจว่าเริ่มรู้ตัวเมื่อไหร่ ว่าเรื่องราวที่เราบันทึกในวันนั้นจะถูกเอากลับมารีรันซ้ำอีกครั้งในวันเดียวกันของปีต่อไป แต่ทุกวันนี้ก็สนุกกับการเลือกสิ่งที่อยากให้ตัวเองกลับมานึกถึงอีกครั้งในหนึ่งปีข้างหน้าหรืออีกหลายปีต่อไปแล้วก็พยายามบันทึกไว้แค่สิ่งนั้น ด้วยความหวังว่าแอพพลิเคชั่นนั้นจะไม่มีอันปิดตัวไปเสียก่อน

    น่าตื่นเต้นที่หกปีต่อมา เรา—คนที่เคยเอาหนังสือไปขอลายเซ็นนักเขียนที่ตัวเองติดตามผลงานมาตลอด วันนี้จะมานั่งพิมพ์คำนำในหนังสือเล่มที่สี่ของนักเขียนคนนั้น ไม่มีอะไรในวันนั้นบอกไว้เลยว่าวันนี้จะมีเรื่องราวแบบนี้แต่ชีวิตคนเรามันก็เคลื่อนไปตามประสา มองย้อนกลับไปก็มีแต่สิ่งที่เตือนให้เรานึกถึงอดีต เมื่อมองไปข้างหน้าก็ได้แต่คาดเดาอนาคตเอาตามอัธยาศัย ไม่มีแอพพลิเคชั่นที่คอยบอกเหตุการณ์ในปีข้างหน้า เรื่องแบบนี้ คงต้องปล่อยให้เวลาพาเราไปเจอเอง

    แต่ชีวิตคนเรามันก็เคลื่อนไปตามประสา มองย้อนกลับไปก็มีแต่สิ่งที่เตือนให้เรานึกถึงอดีต เมื่อมองไปข้างหน้าก็ได้แต่คาดเดาอนาคตเอาตามอัธยาศัย ไม่มีแอพพลิเคชั่นที่คอยบอกเหตุการณ์ในปีข้างหน้า เรื่องแบบนี้ คงต้องปล่อยให้เวลาพาเราไปเจอเอง
      

    BUNBOOKS


  • Preface


    ระยะหลังๆ เวลามีใครมาปรึกษาหารือในเรื่องที่ยากจะให้คำตอบได้ ผู้เขียนมักจะจบบทสนทนานั้นด้วยประโยคที่ว่า ‘เวลาเท่านั้นที่จะตอบได้’ ซึ่งก็ไม่แน่ใจนักว่าคนฟังจะพอใจกับคำตอบนี้หรือเปล่า แต่ก็เหมือนอย่างที่เขาว่ากันไว้นั่นแหละ…คำตอบที่ถูกต้อง คือคำตอบที่เราถูกใจ แม้หลายครั้งผลของความถูกใจจะทำให้เราต้องทนอยู่กับคำตอบที่พิกลๆ กับชีวิตก็ตาม

    พอให้คำตอบแบบนั้นกับคนอื่นมากๆ เข้า ในที่สุดผู้เขียนก็ยึดเอาคำที่ว่านั้นเป็นคำตอบให้กับชีวิตตัวเองไปด้วยเสียเลย โดยเฉพาะในเวลาที่รู้สึกลังเลกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเลือก หรือเลือกไปแล้ว ยิ่งกับเรื่องสำคัญๆ ชนิดที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนหรือจุดหักเหของตัวเองด้วยแล้ว จะเริ่มมีอาการคิดแล้วคิดอีก
    เปลี่ยนแผนแล้วเปลี่ยนแผนอีก ดูเผินๆ เลยไม่แน่ใจว่าตกลงตัวเองเป็นคนที่มีแผนหรือไม่มีแผนอะไรเลยกันแน่

    เรื่องแบบนี้อย่าได้ประมาทเชียวว่า อายุที่มากขึ้นและประสบการณ์หลากหลายในชีวิตจะทำให้เราเลือกในสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะจริงๆ แล้ว เราก็เลือกเท่าที่เรารู้หรือคิดว่าเรารู้ดีแล้วเท่านั้นแหละ แต่โลกนี้ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมายที่เราไม่รู้และอาจส่งผลกับสิ่งที่เราเลือกในอนาคตข้างหน้า ซึ่งหากผลของการเลือกนำไปสู่เรื่องที่เราไม่ชอบใจ หรือกระทั่งทำให้เราต้องทุกข์หนัก สิ่งที่เราเคยคิดว่าเลือกถูกแล้วจะยังถูกอยู่อีกไหม? เราจะก่นด่าโชคชะตา หรือจะโยนความผิดของการเลือกให้ใครได้บ้าง?

    ผู้เขียนมองไม่เห็นใคร นอกจากตัวเอง

    ชีวิตก็เป็นแบบนี้ มันคือการเลือกและการยอมรับผลของสิ่งที่เลือก ผิดถูกอย่างไรไม่รู้ เพราะสุดท้ายทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงอยู่ดี แน่นอนว่าถ้าผลมันออกมาเหมือนที่ตั้งใจไว้ทุกประการก็เปิดแชมเปญฉลองได้เลย แต่ชีวิตมักไม่ง่ายขนาดนั้น

    ประเด็นสำคัญอยู่ที่ หากผลลัพธ์ออกมาไม่ได้ดังใจ เราจะแก้ปัญหาด้วยหัวใจแบบไหน หัวใจที่เต็มไปด้วยความหนักอึ้งขึ้งโกรธทุกคน หรือหัวใจที่เชื่อมั่นว่าเราจะผ่านปัญหานั้นไปได้อีกครั้งและอีกครั้ง แต่เราจะเชื่อมั่นในตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเคยผ่านการแก้ปัญหามามากน้อยแค่ไหนนั่นเอง

    ไม่ได้อยากโลกสวยอะไรหรอก แต่ผู้เขียนเชื่อว่าการเจอปัญหาทำให้เราเติบโต และการแก้ปัญหาได้นั่นแหละที่ทำให้เรา แตกต่าง ในแง่ที่ว่า อย่างน้อยเราก็ไม่ได้จมกับปัญหาเหมือนคนอื่นอีกมากมาย ที่บางคนจมคนเดียวไม่พอ แต่ยังไปลากคนอื่นให้มาจมไปด้วย

    สุดท้าย ผู้เขียนก็พอจะบอกได้นิดหนึ่งว่าเราจะมีความสุขหรือทุกข์นั้น น่าจะขึ้นอยู่กับการรับมือกับตัวแปรต่างๆ ที่วันเวลานำพามาให้ รับมือได้มากก็สุขมาก รับมือได้น้อยก็ทุกข์มาก

    ความไม่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ป่วยการที่เราจะถามหาความแน่นอนจากอนาคตที่เต็มไปด้วยตัวแปรมากมายที่อาจทำให้ชีวิตผันแปรได้ทุกเมื่อ

    ไม่มีใครให้คำตอบเราได้นอกจากเวลา

    และเมื่อเราเติบโตมากพอ คำตอบที่ดีที่สุดก็อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกใจเราอีกต่อไป หากแต่เป็นคำตอบที่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกต้องกับชีวิตในขณะนั้น

    เลิกเสียเวลาคาดเดาว่าอะไรจะดี อะไรจะแย่ แค่ ‘ตัดสินใจ’ ทำในสิ่งที่ต้องทำและทำอย่างรอบคอบ จากนั้นก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น

    เพราะท้ายที่สุด ไม่มีใครตอบได้หรอกว่ามันจะดีหรือจะแย่นอกจากตัวเราในอนาคต ตัวเราที่ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้วนับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจ
     

    วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม

    @khaopan


  •  
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in