เรื่องนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ในโปรแกรมหนังไทย เพราะตอนนั้นไปเรียนที่จีนเลยไม่ได้รับข่าวสารหนังไทยใหม่ๆ จนมาเจอแฮชแท็ก #บางความรู้สึกต้องปรับโฟกัส เชดดด ทำไมคมจังคิดได้ไง นึกว่าเป็นประโยคเด็ดที่กำลังฮิต เพิ่งรู้ว่ามาจากหนังเรื่องนี้และได้ดูเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา
แรกๆที่ดูคือง่วง เเละรอว่าเมื่อไหร่จะจบ ตัวเนื้อเรื่องมีคำถามซ่อนอยู่เยอะมากจนทำให้เราไม่เข้าใจจนกว่าจะดูให้จบ และพอดูจนจบดันชอบซะงั้น พูดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านไปแล้วแปดปีของผึ้งและบอย จะว่าคนรักเก่าก็ไม่ใช่จะว่าเพื่อนก็ไม่เชิง เป็นแค่คนที่รู้สึกดีด้วยในช่วงเวลาหนึ่งแต่สุดท้ายก็จากกัน แต่ยังอุสาดได้กลับมาพบกันอีก มีสิ่งที่ยังติดค้างที่ต้องแลกกันตามสัญญา บอยอาจจะดูไม่พยายามทำอะไร ล่องๆลอยๆ จนได้ฉายาจากเพื่อนๆว่า วิญญาณ แต่ถ้าดูให้ลึกลงไปอีก บอยทำอยู่และบางทีก็แอบเลือดเย็นมากซะด้วยซิ เนื้อเรื่องทั้งสองฝ่ายถ้าได้เจอกับตัวคงรู้สึกโหว่งๆน่าดูเแต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องเดินต่อไป บางอย่างที่หาคำตอบให้มันไม่ได้ในตอนนี้ สักวัน มันอาจจะวกกลับมาให้เราค้นหาคำตอบอีกครั้งก็ได้
ตัวหนังก็ชอบ แต่พอได้อ่านหนังสือยิ่งชอบและอยากเปิดดูอีกซ้ำๆ “Snap ส่วนประกอบของความคิดถึง” เขียนโดยพี่เล็ก คงเดชผู้กำกับภาพยนตร์ อะไรที่หายไปจากหนังหรือดูแล้วเราไม่เก็ท หนังสือช่วยได้เยอะ แถมช่วยได้เกินซะอีก ส่วนใหญ่ในหนังสือจะพูดถึงเรื่องของความทรงจำ เคยเป็นกันบ้างมั้ยที่ความทรงจำบางช่วงมันขาดหายไป เราจำมันไม่ได้จริงๆ จำได้เพียงจากที่คนอื่นบอกมาว่าควรจะเป็นอย่างไร น่าแปลกทั้งๆที่เป็นเรื่องของตัวเราเองทำไมกลับจำไม่ได้นะ แต่กลับบางความทรงจำในวัยเด็กสมัยอนุบาลกลับเล่าได้เป็นฉากๆ ว่าตอนนั้นเล่นอยู่กับเพื่อนคนนี้ ที่ระเบียนห้องครูกุหลาบ หลังเลิกเรียน นอกจากจะจำได้หมดดันเป็นความทรงจำเดียวที่เหลืออยู่ตอนอนุบาลด้วยซะอย่างงั้น เธอล่ะมีความทรงจำไหนที่หลงหายและเป็นได้แค่คววามคิดถึงบ้าง หนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าเบื้องหลังหรือโฟโต้บุ๊ค ลองดูหนังและกลับมาเปิดหนังสืออ่านดูนะ จะได้มากกว่า...แค่คิดถึงไง
เรื่องนี้หลายคนต้องเคยดูมาแล้วแน่นอน ได้รับรางวัลมาจากหลายเวที ทั้งตัวหนัง นักแสดง และผู้กำกับเอง พี่เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ถ้าใครติดตามผลงานพี่เต๋อมาตั้งแต่ "mary is happy" เรื่องนี้ต้องไม่พลาด นอกจากผู้กำกับแล้วค่ายหนัง GTH ก็มีส่วนทำให้น่าดู
ตัวของยุ่น เหมือนใครหลายๆคน แค่อยากใช้เวลา และร่างกายทั้งหมดที่มีทุ่มเทให้กับสิ่งที่ชอบ มันไม่ผิดหรอกไม่ผิดเลย กับตัวเราก็เคยทำบ่อยๆ แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง จึงรู้ว่ามันไม่ใช่ ทุกอย่างต้องมีลิมิตต้องมีขอบเขต เคยโต้รุ้งสมัยมัธยม กินบุปเฟ่แหลกไม่สนโลก หักโหมร่างกายเพราะเห็นว่ามันยังโอเคเชื่อเถอะทุกอย่างมีผลเสมออาจจะมาเร็วมาช้าเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างคนทั่วไปโชคดีนะมันมาเร็ว ไม่กินข้าวเเล้วปวดท้องกินเข้าไปก็หายปวดได้อะไรทำนองนี้ แต่กับเรา กว่าจะรู้ตัวมันได้กลายเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังไปแล้วเราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เลย แค่กินข้าวผิดเวลานิดหน่อยมีปางตาย จำเป็นต้องกินตลอดเวลาไม่ให้ท้องว่าง เลยดูเป็นคนชอบกินไปซะอย่างงั้น ฮ่าๆๆ ดูแย่เนอะแต่มันโอเคถ้าทำไปแล้วต้องยอมรับผลของมันและรักษากันไปตามอาการ อะไรที่สุดเกินไปมันไม่ดีหรอกทำให้พอดีๆและสม่ำเสมอจะดีกว่า
ทางด้านหมออิม เป็นหมอในฝันคาเเรกเตอร์ดีมาก พยายามที่จะรักษายุ่น ชอบวิธีการพูดกับยุ่นให้ร่วมมือ แต่อีกอย่างที่ต้องทำความเข้าใจ มาหาหมอไม่ได้แปลว่าต้องหายเสมอไป ไม่งั้นโรงบาลคงไม่มีคนตาย เออ... ให้กำลังใจคนไข้สุดๆไปเลย และทำให้เข้าใจการทำงานของหมอ เคยคิดว่าไปหาหมอแล้วหมอต้องบอกได้แน่ๆว่าเราเป็นอะไร ให้ยา กินยา ยาหมด หายแล้วโว้ยยยย กะโหล่กกะลาไปอีก
อีกตัวละครที่ประทับใจมากต้องคนนี้เลย พี่สุชาติ ไม่ได้เห็นหน้าเเต่โผล่มาพร้อมเจ๋ บทคือเดินตามเมื่อเจ๋กล่าว "ไปค่ะ พี่สุชาติ" โดดเด่นไปด้วยเสื้อวินมอไซต์ฯ สีส้ม พร้อมหมวกกันน็อคู่ใจที่ปกปิิดใบหน้าอันหล่อเหลา เป็นเอกลักษณ์ (สร้างความหวังให้แก่คนที่ยังไม่เห็นหน้ามากๆ) ใครอยากเห็นหน้าพี่สุชาติลองหาหนังสือความเรียงประกอบภาพที่ถ่ายเล่นในกองถ่ายของพี่เต๋อ FOR 610 DAYS, I'VE STAYED WITH THESE TWO. มาอ่านดู จะเจอมากกว่าแค่พี่สุชาติอีกนะ
หนังพี่เต๋ออีกแล้ว ยอมรับกันตรงนี้เลยเป็นแฟนคลับพี่ สุดยอดของหนังนอกกระแส เรื่องนี้คือยอมแพ้ ความเจ๋งมันอยู่ตรงเนื้อเรื่องหนังสร้างมาจากทวิตเตอร์แมรี่ มาโลนี่(MARYLONY) 410 ทวิตต่อเนื่อง นึกถึงเราทวิตหรือเล่นเฟสก็ได้ ในเเต่ละครั้งที่ทวิตไม่มีทางเลยที่ทั้งหมดมันจะต่อเนื่องกันในชีวิตจริง แต่ละทวิตในแต่ละวันก็จะมีอารมณ์ที่ต่างกันออกไป บางอันพอเอามาปะติดปะต่อก็ใกล้เคียง แต่บางอันนี้โคตรจะห่างไกลกันคนละทวีป(อยู่ไทยดีๆไปโผล่ที่ปารีส เอิ่ม...) เเต่เอาเข้าจริงเนื้อเรื่องทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นจริงๆได้นะ และมันเกิิดขึ้นในหัวของผู้หญิงนั้นเอง เคยได้ยินมั้ย "ผู้หญิง ล้านอารมณ์ในหนึ่งนาที" ที่ชอบเรื่องนี้เหตุผลสำคัญที่ไม่เคยมีให้กับหนังเรื่องไหน คือเหมือนได้น่ั่งดูความคิดตัวเองที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นเรื่องของความคิด ที่คิดซ้ำคิดซ้อน คิดกลับไปกลับมา คิดเองเออเองอีกก็มี ฉะนั้นถ้าเคยดูหรือลองได้ดูจะรู้เลยว่า สัส! หนังอะไรว่ะ โคตรงงแต่ก็โคตรมันส์
นอกจากเนื้อเรื่องที่ชวนงงและสับสนกระโดดไปกระโดดมาแล้ว สถานที่ถ่ายทำก็ประหยัดงบและสร้างสรรค์ ไม่ต้องมีอะไรมาก แปะป้ายบอกเอาเลย นี้คือ โรงเรียน นั้นคือ ร้านโตเกียว เล่นกันเบบนี้แหละ หลายๆครั้งที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดูซ้ำๆ ไม่ได้หวังให้เข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้น จากเดิมที่แม่งโคตรจะไม่เข้าใจสักนิด ก็เเค่อยากจะเห็นความคิดตัวเองวิ่งเล่นออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ในเวลาที่ไม่เข้าใจตัวเอง...ก็เท่านั้นเอง
ปล. หนังเรื่องนี้ก็มีหนังสือเหมือนกับอีกสองเรื่อง เป็น Special Edition Boxset แต่หมด! หมดแล้ว!!! เราก็ยังไม่มีแต่เคยอ่าน แต่ก็ยังอยากได้อยู่ หาไม่ได้แล้วจริงๆ ทราบซึ้งถึงคำว่า 'Special' สุดๆ
ที่เลือกมาทั้งสามเรื่องคือสิ้นคิดจริงๆดูแลวดูซ้ำและนำกลับมาดูใหม่ มันไม่ได้มีแค่สามเรื่องหรอกหนังในชีวิตจริง เเค่เลือกเรื่องที่มันช่วยหยุดเวลาหยุดความคิด ความรู้สึกตอนนั้นๆมา เอาไว้เตือนอะไรหลายๆอย่างด้วยการเปิดดูซ้ำ เชื่อว่าทุกคนต้องมีหนังแบบนี้ การต้องเปิดหนังเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่เรื่อง่าย เราต้องใช้เวลานั่งดูมัน(ถึงบางครั้งจะเปิดฟังเเค่เสียงแล้วไปทำอย่างอื่นก็เถอะ) อย่างน้อยก็สองชม. ทั้งทีดูเรื่องใหม่ ทำอะไรใหม่ๆได้
ทำไมเรายังเลือกที่จะเปิดซ้ำล่ะ?
หนังสิ้นคิดของพวกเธอเป็นแบบไหนกัน?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in