จิ้งอันซือ กองรักษาความสงบของฉางอัน ได้ล่วงรู้ข่าวมาว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีจ้องจะทำลายฉางอัน จึงต้องกระทำการยับยั้งแผนการร้าย โดยมีข้อจำกัดของเวลา ภายใน 12 ชั่วยาม จับคนร้ายคงไม่ยาก ถ้าวันที่เหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ใช่วันเทศกาลโคมไฟที่ผู้คนทั่วทั้งฉางอันจะออกมาเที่ยวเล่น ชมโคมไฟ จนถนนแน่นไปทุกสาย ยังไม่รวมผู้คนจากนอกเมืองที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาชมเทศกาลด้วย จิ้งอันซือ จึงต้องหาใครซักคนที่รู้จักเมืองฉางอันเป็นอย่างดี แล้วใครเล่าจะเหมาะกับงานนี้ไปมากกว่า นักโทษประหารชีวิตอย่าง จางเสี่ยวจิ้ง แต่สืบไปยิ่งลึก ยิ่งพบว่า จากคนร้ายที่มาจากนอกเมือง อาจเป็นคนจากในเมืองเสียแล้ว
ตัวอย่างซีรีส์ ฉางอันสิบสองชั่วยาม
หลังจากนี้คิดว่ามีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์แน่ ๆ read at your own risk นะจ๊ะ
ฉางอันสิบสองชั่วยาม นับเป็นซีรีส์จีนโบราณที่เราดูจนจบ ครบทุกตอนแบบไม่ยอมอ่านสปอยล์ เปิดมาตอนแรกประทับใจงานภาพก่อนเลย ภาพสวยมาก เหมือนดูหนังเลย มุมกล้องก็ดีมาก ฉากสวย ไปดูเบื้องหลังทีมทำฉากมา เขาทำรีเสิร์ชกันจริงจัง เราชอบหอส่งสัญญาณมาก โคตรเท่ ใช้ภาพเล่าเรื่องเก่งมาก พล็อตดี วางตัวละครดี เลือกเซ็ตติ้งได้ดีด้วย รวม ๆ แล้วดีเหลือเกิน
เราชอบที่เขาเพิ่มข้อจำกัดของเวลาในการสืบคดีเข้ามา 12 ชั่วยาม หรือเทียบเท่า 24 ชั่วโมง มันเป็นเวลาที่ท้าทายมาก และสร้างความอึดอัดให้ตัวละครอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ภายใน 24 ชั่วโมงนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งซีรีส์จะกล่าวว่าในทุก ๆ 15 นาทีจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหนึ่งเหตุการณ์ มันเลยค่อนข้างตื่นเต้น ตอนแรกอาจจะยังสงบอยู่ แต่ตอนต่อ ๆ มานี่คือลุ้นตลอดว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก ภายใน 24 ชั่วโมงนี้อีกเช่นกัน ช่วงเวลาที่อาจจะสั้นเกินกว่าจะแก้ปัญหาอะไรได้ แต่ยาวนานพอให้หลาย ๆ ตัวละครในเรื่องเปลี่ยนไปเหมือนพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว
พล็อตที่ว่าด้วยเรื่องของการจับผู้ก่อการร้ายที่มาจากนอกเมือง ในวันงานเทศกาลโคมก็ปังมาก เพราะพอสืบไป นอกจากคนร้ายตัวจริงจะเป็นคนในแล้ว เราก็จะได้พบเจอกับความจริงของนครฉางอันที่รุ่งเรืองแห่งนี้ด้วย ว่าที่แท้จริงแล้วมันมีความเหลื่อมล้ำอยู่สูงมาก ชนชั้นปกครองเอาเปรียบประชาชน และมีชีวิตที่สุขสบาย ส่วนชนชั้นถูกปกครองที่ถูกเอาเปรียบก็ต้องอยู่อย่างลำบาก และไม่มีปากเสียง ฮ่องเต้เองก็เสพย์สุขอยู่ในรั้ววัง ไม่เคยได้รู้เห็นด้วยสองตาของตัวเองว่าประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ขนาดไหน โดนเอาเปรียบขนาดไหน รับรู้ความเป็นไปของสังคมผ่านขุนนางกังฉินเท่านั้น แถมยังระแวงว่าลูกชายตัวเองที่เป็น ไท่จื่อ จะมาแย่งบัลลังค์ไปจากตัวเองด้วย ประชาชนเดินดินเองก็สรรเสริญ กราบไหว้ฮ่องเต้ที่จัดเทศกาลโคมไฟให้พวกเขาได้เที่ยวชม ให้พวกเขาได้มีความสุข ทั้งที่แท้จริงแล้วหอโคมไฟแสนอลังการคือการผลาญงบประมาณแผ่นดินที่ควรจะเอามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นมากกว่านี้ต่างหาก มันเลยเป็นพล็อตที่ดีสำหรับเรา มันพาเราออกไปนอกกำแพงเมืองฉางอัน ก่อนจะค่อย ๆ พาเรากลับเข้ามาในตัวเมือง มองทุกซอกมุมและปัญหาของเมืองนี้ ชี้ให้ดูว่าระบบการปกครองมันพังขนาดไหน ชี้ให้เราดูว่า สุดท้ายแล้ว ภัยที่ใหญ่ที่สุดที่จะมาทำลายเมืองฉางอันและผู้คนนั้น ก็มาจากใจกลางของเมืองเองนั่นแหละ
เซ็ตติ้งช่วงเวลา เป็นสมัยราชวงศ์ถัง เราว่าเลือกได้ดี ราชวงศ์ถังเป็นยุคที่ศิลปะมีความรุ่งเรื่องมาก ทั้งกวี นิยาย ศาสนา วัฒนธรรม บูมมากๆในยุคนี้ เป็นยุคที่ดูเปิดกว้าง ดูทันสมัย และก้าวหน้า แต่มันก้าวไปไม่ได้ เพราะมีการโกงกินแบบใช้เงินซื้อตำแหน่ง มีเส้นสายที่ดี เลือกนายให้ถูก ชีวิตก็เจริญแล้ว เลือกสถานที่เป็น ฉางอัน นครแห่งความรุ่งเรือง มันแสดงความย้อนแย้งได้ดี สังคมฟอนเฟะ ผู้คนบิดเบี้ยว ในเมืองที่ได้ชื่่อว่าเจริญแสนเจริญ แต่ชนชั้นปกครองอยู่อย่างสุขสบาย ชาวบ้านประชาชน ลำบากและโดนเอาเปรียบ เราเลยรู้สึกว่าช่วงเวลาและสถานที่เหมาะสมในการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ มันสร้าง contrast กับความเป็นจริงของสังคมได้อย่างชัดเจน และสร้าง impact ได้เยอะทีเดียว
ในแง่ของคาแรคเตอร์ตัวละคร เราก็ชอบอีก ตัวละครมีมิติ เป็นตัวละครสีเทา ๆ ที่ไม่ได้ดีเลิศไร้มลฑิณ ไม่ได้ชั่วร้ายไร้ความดี ต่างคนต่างมีอุดมการณ์และความทะเยอทะยานที่ต่างกัน ที่สำคัญคือบางตัวละคร เป็นบทเล็ก ๆ ที่ออกมากินซีนมาก บางตัวละครก็มาทีได้ซีนใหญ่เชียว และด้วยความชอบวิเคราะห์ตัวละครของเรา เราขอพูดถึงตัวละครหลักแบบ in detail นิดนึงละกัน
เริ่มที่ หลี่ปี้ ผู้บัญชาการจิ้งอันซือก่อน หลี่ปี้ เป็นอัจฉริยะอายุน้อย ที่ต่อให้เฉลียวฉลาดแค่ไหน เขาก็ยังเป็นเด็ก คือไว้ใจคนรอบข้างมากเกินไป ให้ค่ากับความสัมพันธ์มาก จนพาลจะทำให้เสียงานใหญ่ได้ง่าย ๆ หลี่ปี้เองก็ไม่ได้รับความเคารพมากพอด้วย เขามีอำนาจ มีบารมีอยู่แค่ในจิ้งอันซือ พอออกไปข้างนอก ทุกคนก็ไม่ให้ค่า มองแค่เป็นเด็กคนนึงเท่านั้น ยิ่งน้องอี้หยางเชียนซี เป็นคนมารับบทนี้ หลี่ปี้ยิ่งน้องเข้าไปใหญ่ ดูเป็นเด็กคนนึง ที่ผู้ใหญ่จะไม่ take him seriously พอเรื่องดำเนินมาเรื่อยๆ เราจะเริ่มเห็นว่าหลี่ปี้เริ่มรู้ ว่าการจะอยู่รอดได้ในฉางอัน ตัวเองต้องทำยังไง เรื่องความเลือดเย็น เราว่าหลี่ปี้มีมาแต่แรกอยู่แล้ว เห็นได้ตอนที่เชิญรัชทายาทออกจากอาราม แล้วนักพรตน้อยสองคน มาคุกเข่า ขอให้หลี่ปี้อวยพรให้ ก็คือนักพรตน้อยไม่รอดแน่ ๆ ค่ะ เขามีความเลือดเย็นอยู่นะ เรื่องราวที่รัชทายาทมาที่นี่ คนที่รู้ต้องตายทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของรัชทายาท หลี่ปี้ถึงแม้ไม่ใช่สายบู๊ แต่ถ้าต้องฆ่า ก็ทำแบบไม่กระพริบตาได้ เราเสียดายอย่างเดียว คือบทเขามันน่าจะเล่นอะไรได้เยอะกว่านี้ แต่เรื่องโฟกัสไปที่ลุงจางเยอะมาก เราเลยจะได้เห็นหลี่ปี้ไม่มากนัก เรารู้สึกด้วยว่าเขาเปิดตัวมาว่าเป็น young genius เลยนะ ซีนที่เขาได้มันน่าจะใหญ่กว่านี้ อันนี้เสียดายเฉย ๆ
คนต่อมาคือจางเสี่ยวจิ้ง จางเสี่ยวจิ้งเป็นตัวละครพังๆตัวนึง มีอดีตและปัจจุบันที่บัดซบ definition ของคนดีไม่ได้ดีโดยแท้ ผ่านสงคราม ผ่านความตายมามากมาย มันทำให้จางเสี่ยวจิ้งไม่กลัวตายแหละ เป้าหมายทั้งชีวิตของนายกองจาง ก็หนีไม่พ้นการปกป้องฉางอัน จางเสี่ยวจิ้งรู้แต่แรกแล้วว่าหลี่ปี้โกหก โทษตายของเขาเองไม่มีทางละเว้นได้ แต่หลี่ปี้บอกว่างานของจางเสี่ยวจิ้งคือการปกป้องชาวเมืองฉางอัน เพียงเท่านั้นจางเสี่ยวจิ้งก็ตอบตกลง สำหรับจางเสี่ยวจิ้งที่ชีวิตพังพินาศเบอร์นั้นแล้ว ราชสำนัก หรือลาภยศไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากปกปักษ์หรือไขว่คว้า มีเพียงอุดมการณ์ที่อยากให้ฉางอันและชาวเมืองสงบสุขเท่านั้นเองที่ยังไม่ตายไปจากเขา เรารู้สึกอีกด้วยว่า ฉางอัน คือความฝันทั้งชีวิตของจางเสี่ยวจิ้ง ในซีรีส์ไม่ได้กล่าวถึงพื้นฐานครอบครัวของจางเสี่ยวจิ้ง กล่าวเพียงเหล่าทหารกองธงที่แปดที่จางเสี่ยวจิ้งรักเสมือนครอบครัว เพราะผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน และฉางอันคือดินแดนในฝัน ที่เขาและครอบครัวอยากอยู่ร่วมกันเท่านั้น จางเสี่ยวจิ้งเป็นคนที่จะไม่ลังเลที่จะปลิดชีวิตใครซักคน เพื่อรักษาชีวิตคนส่วนมากไว้ เป็นคนเด็ดขาด เลือดเย็น ไม่กลัวตายอย่างแท้จริง
ซีนที่เราชอบและเกี่ยวกับลุงจางคือ ซีนหักกระบี่พก มันมีพลังมากนะ กระบี่สั้นอันนั้นมันคือสัญลักษณ์แห่งความอัปยศที่จางเสี่ยวจิ้งได้มาจากการไม่ยอมไปออกรบ เพราะรู้ว่าไปยังไงก็เอาคนไปตายเปล่า ไปทำศึกที่ไม่จำเป็น แล้วจางเสี่ยวจิ้งก็พกกระบี่อันนี้ติดตัว เขายอมรับในความอัปยศนี้อะ ตอนที่ช่างฝีมือท่านนั้นเห็นกระบี่ ส่ายหน้า หักกระบี่ และพูดว่ามันไม่คู่ควรกับท่าน มันเลยมีพลังมาก ๆ จางเสี่ยวจิ้งไม่คู่ควรกับความอัปยศนี้ เขาไม่ควรต้องแบกคำตราหน้าใด ๆ สิ่งที่เขาควรได้รับคือเกียรติอันภาคภูมิที่คนดีคนนึงควรจะได้ อีกสาเหตุที่มันมีพลังมาก เพราะจางเสี่ยวจิ้งเอง ก็เหมือนจะเชื่อมาตลอดว่าตัวเองคู่ควรกับความอัปยศของการเป็นทหารที่ไม่ยอมไปรบ ลุงจางเป็นตัวละครเทา ๆ คนนึง เราชอบที่เขากับลูกน้องเก่าเรียกตัวเองว่าคนชั่ว เราว่าลุงจางเป็นตัวละครที่ยังรู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่ ตรรกะดีเลวของเขามันยังไม่พังลง สิ่งที่เขาทำเขารู้ว่ามันผิด เขาไม่เคยบอกว่ามันถูกเลย แต่เขาทำทั้งที่รู้ถึงผลที่จะตามมา เพราะสุดท้ายเขาก็ยอมรับในผลของการกระทำตัวเองแบบไม่มีอะไรมากั้น ผิดก็ว่าไปตามผิด แบบนั้น
อีกตัวละครคือ ถานฉี เธอเป็นตัวละครหญิงที่มีบทบาทค่อนข้างเยอะเลย เป็นตัวละครที่ไม่สามารถหลุดจากความเป็นทาสไปได้เลยตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ถานฉีภักดีกับหลี่ปี้มาก ยอมเป็นทาสนายน้อยตลอดชีวิต ถ้าต้องตายเพื่อนายน้อยก็จะทำ มีฉากที่นางโดนแม่ทัพตบหน้า แสดงให้เห็นถึงการกดขี่ผู้หญิงมากในฉางอันที่รุ่งเรือง ถานฉีที่เก่งกาจและหลักแหลม สุดท้ายในสังคมชายเป็นใหญ่นั้น เธอก็เป็นได้แค่ผู้หญิงคนนึงเท่านั้นเอง
อีกหนึ่งฉากของถานฉีที่เราชอบมาก และจะเป็นภาพจำของเรื่องนี้สำหรับเรา คือฉากที่ถานฉีถูกขังอยู่ในโลง แล้วฝัง ยิ่งอยู่นาน อากาศก็ยิ่งน้อย ตอนที่สติกำลังเลือนลาง ถานฉีก็มองเห็นภาพตัวเองยืนอยู่ แล้วจางเสี่ยวจิ้งก็พูดประโยคที่เคยพูดกับถานฉี ว่านางเก่งและเป็นได้มากกว่าทาส และอารมณ์ว่าเขาจะพานางให้หลุดจากความเป็นทาสนี้เอง แล้วลุงจางก็ยื่นมือออกมา ถานฉีในภาพนั้นยื่นมือออกไป แต่ภาพในความจริงคนที่คว้ามือนางเอาไว้คือหลี่ปี้ ฉากนั้นเราน้ำตาแถบไหล ซีรีส์ใช้ภาพเล่าเรื่องเก่งมาก ฉากนี้เหมือนตบหน้าถานฉีพร้อม ๆ กับหน้าเรา ตอกย้ำความเชื่อของนางว่าไม่มีทางหลุดพ้นความเป็นทาสไปได้หรอก จางเสี่ยวจิ้งคือตัวแทนของอิสรภาพ หลี่ปี้คือนายน้อยของเธอผู้นำความเป็นทาสมาสู่เธออะ สุดท้ายเธอก็คว้าอิสรภาพไว้ไม่ได้ สุดท้ายอิสรภาพมันก็เพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉางอันสิบสองชั่วยาม เป็นซีรีส์ที่เราชอบมากอีกหนึ่งเรื่อง เพลงประกอบก็ impactful มากด้วย ระหว่างดูไป เราจะเจออุปสรรคที่ทดสอบความมุ่งมันของตัวละคร รวมถึงทดสอบคนดูแบบเราด้วย ตอนเราดูเรากดดัน เราอึดอัดมาก มันคือ คนดีไม่ได้ดี ของแท้ หลายครั้งก็อยากให้ตัวละครที่กำลังสืบคดีหนีไปให้ไกลจากเมืองนี้ แล้วไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว พังก็พัง ช่างมัน ซึ่งตัวละครก็มีช่วงที่รู้สึกแบบนี้นะ แต่สุดท้ายก็ไม่เลือกที่จะหนีไป และทำตามอุดมการณ์ของตัวเองต่อไป มันทำให้เรามาทบทวนกับตัวเองเช่นกัน ว่าถ้าเราต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะทำยังไง เวลาสิบสองชั่วยาม จะเปลี่ยนความคิดเราไปได้มากขนาดไหน เป็นการดูละครย้อนมองตัวเราโดยแท้ ปิดกันไปด้วยสองท่อนสุดท้ายของเพลง 长相思 เวอร์ชั่นคุณ 赵亮棋 เพลงประกอบที่เราชอบมาก แปลมา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ
"หากเจ้าฉงนว่าข้าว้าวุ่นใจแค่ไหน
ใยมิลองกลับมามองกระจกเบื้องหน้าข้าเล่า"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in