ฉันเริ่มเสิร์ชหาวิธีฆ่าตัวตายทางอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจังและวางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบฉันคิดแล้วว่าถ้าฆ่าตายที่คอนโด โอกาสสำเร็จจะเยอะกว่าแต่จะทำให้คอนโดราคาตกและอาจเป็นข่าวโครมครามให้ชาวโซเชียลที่ไม่มีความรู้ด้านโรคทางจิตเวชมาคอมเม้นด่าได้เสียๆ หาย ๆ ฉันจึงเลือกใช้บ้านเป็นที่ฆ่าตัวตาย
การกระโดดจากที่สูงเป็นวิธีที่น่าจะได้ผลมากที่สุดอีกเช่นกันถ้าจุดที่กระโดดนั้นสูงมากพอแต่บ้านของฉันมันแค่ 2 ชั้นนอกจากจะไม่ตายแล้วยังพิการแน่นอนฉันจึงเริ่มเสิร์ชหาข่าวเกี่ยวกับการกินยาฆ่าแมลงและยาฆ่าแมลงที่มีฤทธิ์ร้ายแรงที่สุดสิ่งที่ฉันค้นพบคือข่าวแม่คนหนึ่งผสมสารเมโทมิลในน้ำแดงให้ลูกกิน แน่นอนว่าลูกตาย ส่วนคุณแม่ก็ฆ่าตัวตายตามด้วยสารเดียวกันมีคนมาคอมเม้นใต้ข่าวมากมายทั้งเห็นใจ (ซึ่งน้อยมาก), สมน้ำหน้า, ด่าทอ,ตั้งคำถาม, สอนธรรมะและไล่ให้ไปนั่งสมาธิ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทะเลความคิดเริ่มแปรปรวนน้อยๆ เหมือนกับว่ามีภูเขาไฟใต้ทะเลลึกที่กำลังจะระเบิด
ทำไมคนอย่างฉันถึงมีแต่คนรังเกียจทำไมไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครต้องการ น่าสมเพศชะมัด
ฉันต้องเสียใจสุด ๆ อีกครั้งเมื่อค้นพบว่าสารพิษทางเกษตรเมโทมิลได้ถูกระงับการผลิตและนำเข้าตั้งแต่ต้นปี2558 แล้วในสมองของของฉันเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ แม้แต่วิธีที่ดูเหมือนจะหาอุปกรณ์ง่ายที่สุดยังถูกระงับเสียแล้วภูเขาไฟใต้ทะเลส่งเสียงครึกโครมและมีควันพวยพุ่งออกมาเล็กน้อย
สมองทั้งหมดที่มีความรู้ด้านเคมีเกรด1.5 ของฉันเริ่มทำงานอย่างหนักและเสิร์ชหาชื่อสารที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน,ส่งผลกระทบอย่างหนักกับร่างกายในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งผสมกันสองอย่างขึ้นไปในขวดเดียวยิ่งดีจนไปจบที่ยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง (เพื่อหลีกเลี่ยงการทำตาม ขอสงวนชื่อยาชนิดดังกล่าว)ฉันสั่งยาชนิดนี้ทางอินเทอร์เน็ต อ่านอีก 4-5 รอบให้แน่ใจว่ามีตัวอักษรสีแดงๆ ระบุข้างกล่องว่า ‘มีอันตรายถึงชีวิต โปรดระมัดระวังในการใช้’ฉันสั่งยา 2 ขวดไปส่งที่บ้านพร้อมบอกแม่ว่า “
การวางแผนของฉันสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งที่เหลือคือรอเวลากลับบ้าน ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้ตรุษจีนพอดี ฉันใช้บารมีความหน้าหมวยของตัวเองหาข้ออ้างกับบริษัทลากลับบ้านได้และจัดการซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านเพียงแค่ขาเดียวไม่ได้ซื้อขากลับ เพราะคิดไว้แล้วว่า ไม่ได้กลับมาแน่นอน
วันสุดท้ายของการทำงานก่อนลากลับบ้านช่วงตรุษจีนฉันฉวยโอกาสตอนพักเที่ยงซื้อกระดาษรายงานเล่มใหม่ ปากกาใหม่ ซองจดหมายใหม่เพื่อเขียนจดหมายลาตายถึงคนที่ฉันอยากเขียนถึง ไม่ว่าจะเป็นหมอ,อาจารย์ผู้ช่วยชีวิตฉันถึงสองครั้ง, เพื่อนสนิทคนนั้นที่ฉันตัดขาดเขาไปและเพื่อนสนิทอีกคนที่เรียนอยู่ต่างประเทศ
ขอเล่าย้อนกลับไปอีกสักหน่อยเกี่ยวกับอาจารย์ผู้ช่วยชีวิตของฉันถึงสองครั้งฉันตัดสินใจส่งอีเมล์ไปทักทายท่านก่อนในอีเมล์ไม่ได้พูดถึงความตายหรือโรคทางจิตเวชของฉันหรอกนะ แต่เป็นการทักทายทั่วไปฉันรออีเมล์นี้มาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ได้ไม่นาน แต่ท่านก็ไม่ตอบกลับเสียทีจนกระทั้งวันที่ฉันตัดสินใจสั่งซื้อยาฆ่าแมลง อยู่ๆอีเมล์ก็เด้งเข้ามาเป็นอีเมล์จากชายผู้ช่วยชีวิตที่เขียนมาว่า
วันอาทิตย์ก่อนวันที่ฉันจะได้กลับบ้าน1 สัปดาห์ ฉันต้องไปพบหมอที่โรงพยาบาลอย่างปกติฉันบอกเรื่องราวไปทุกอย่างว่าฉันวางแผนกำลังทำอะไรอยู่ ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคนเป็นโรคซึมเศร้าที่วางแผนฆ่าตัวตายและฉันก็รู้ดีว่าหมอไม่มีทางห้ามฉันได้เพราะหมอก็นั่งทำงานอยู่ในห้องหมายเลขห้าแคบ ๆ นี้ จะไปห้ามอะไรใครได้ฉันจึงไว้ใจบอกไปหมดทุกอย่าง ทุกขั้นตอน
“สารที่คุณจะกินชื่อว่าอะไรครับ”
“เอ่อ...จำชื่อไม่ได้แล้วค่ะแต่เสิร์ชแล้วว่ามันก็แรงอยู่”
“คุณไม่อยากหายแล้วเหรอวันแรกที่คุณเข้ามาหาผมคุณบอกว่าคุณอยากหาย คุณจะไม่ลองรักษาต่อหน่อยเหรอ”
“ก็มันจะไม่หายนี่คะหมอไม่ดีขึ้นด้วยซ้ำ หมอรู้ไหมคะทุกครั้งที่มาหาหมอ สิ่งเดียวที่ฉันอยากได้ยินคือ
“คุณคิดว่านี่คือทางออกของโรคนี้เหรอ”
“การกินยาแล้วไม่หายมันก็ไม่ใช่ทางออกของโรคนี้เหมือนกัน”
ตอนนั้นฉันร้องไห้จนพูดแทบไม่รู้เรื่องและฉันก็รู้สึกโมโหมากที่หมอคอยพูดห้ามฉัน ความโกรธแสดงออกมาทางสีหน้า น้ำเสียงสายตา และแทบทุกส่วนของอวัยวะในร่างกายที่แสดงอารมณ์ออกมาได้หมอเองก็มีท่าทางโมโหแล้วเหมือนกัน ฉันคิดได้ในภายหลังว่าหมอไม่ได้โมโหจริง ๆ แต่หมอกำลังทำหน้าที่เป็นกระจกที่สะท้อนอารมณ์ของคนไข้ณ ขณะนั้น
“ตอนนี้คุณคิดอะไรอยู่”หมอถามเมื่อเห็นฉันทำตาขวางเหมือนสุนัขแม่ลูกอ่อน
“ฉันเริ่มมาครึ่งทางแล้วฉันต้องทำทุกอย่างให้จบ ฉันไม่สนว่าใครจะเสียใจแต่ฉันต้องได้ตายอย่างที่ฉันอยากตาย หมอเชื่อใน Rightto Die ไหมคะ ที่ว่าคนเรามีสิทธิเลือกที่จะให้ตัวเองตายเมื่อไหร่ก็ได้”
“ผมเชื่อนะแต่การตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตัวเองจะต้องเป็นการตัดสินใจที่ระดับสารในสมองอยู่ในระดับปกติ ไม่ใช่อย่างคุณตอนนี้คุณคิดว่าผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”
“หมอช่วยไม่ทันแล้วล่ะค่ะฉันกลับบ้านไปตรุษจีน มันหมายความว่าฉันจะไม่กลับมาอีก”
“ผมมีวิธีรักษาอื่นๆ อีกนอกจากกินยานะ คุณจะไม่ลองหน่อยเหรอ” หมอเริ่มขมวดคิ้ว
“มันจะหายภายใน
ห้องทั้งห้องเงียบสงบไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน หมอและฉันมองตากัน คงจะกำลังสังเกตภาษาทางกายของฉันอยู่
“หมอคะถ้าคนไข้ของหมอตายหมอจะรู้สึกยังไง”
“ถึงแม้ที่ผมทำไปจะเป็นการทำตามหน้าที่แต่ในฐานะคนเป็นหมอแล้วก็ไม่อยากจะให้คนไข้เสียหรอกครับ ผมก็คงจะเสียใจและเสียดายโอกาสที่จะรักษาคุณ”
“ขอโทษนะคะหมอที่ทำให้หมอเสียใจ”
“เอาเป็นว่าถ้าคุณยังมีโอกาสมาหาหมออีก ผมยังอยู่ตรงนี้เพื่อช่วยเหลือคุณ คุณจะเข้ามาตอนไหนก็ได้ก็แล้วกัน”
หมอเลิกสนใจฉันและเริ่มลงมือเก็บเอกสารของฉันใส่แฟ้มสีเหลืองนั่นหมายถึงจะไม่มีการนัดหมายอีก ฉันรู้สึกเหมือนโดนหมอถีบลงมาจากหน้าผาสูงให้มาตายในทะเลแห่งจินตนาภาพชั่วร้ายแต่อยู่ ๆ หมอก็พูดขึ้นมา
“ถ้าทำให้คุณหายได้ภายใน1 อาทิตย์คุณจะทำใช่ไหม ผมมีวิธีEMDR อย่างนั้นวันพุธเรามาเจอกันอีกครั้งก่อนคุณกลับบ้านนะครับผมให้เวลาคุณไปเสิร์ชเกี่ยวกับ EMDR มา แล้วผมจะทำการ EMDRให้คุณที่นี่ในห้องหมายเลขห้านี้เลย”
สรุปว่าวันนั้นหมอสั่งยาEsidep เป็นยาต้านเศร้าและแก้อาการวิตกกังวลกินตอนเช้าและ Polizep ยานอนหลับแบบคลายกังวลกินก่อนนอนเหมือนเดิมและมีนัดหมายกับหมอในอีก 2 วันถัดไป
หลังจากนั้นอีก
สถานที่ที่เรียกว่า
อีกอย่างที่หมอให้ทำในวันนั้นคือวิธีการกำจัดภาพที่เข้ามารบกวนจิตใจด้วยการอยู่กับปัจจุบัน หมอเรียกวิธีนี้ว่า
เมื่อทำครบทั้ง
“ฉันไม่รู้ว่าครั้งหน้าฉันจะได้กลับมาหาหมออีกไหมถ้าไม่ได้กลับมาฉันขอโทษด้วยนะคะ” ฉันยกมือไหว้ขอโทษหมอก่อนออกจากห้อง
“ผมยังหวังให้คุณกลับมาอยู่นะครับ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in