แม่ : วันที่ 30 แม่ต้องกลับบ้านไปทำธุระเรื่องที่ดินนะ ลูกอยู่ได้ใช่มั้ย
แม่ถามฉันขึ้นมาในวันหนึ่งที่อากาศร้อนอบอ้าวผิดกับภาคอีสานหรือบนดอยสูงที่ข่าวบอกว่ามวลอากาศเย็นจากจีนเริ่มเคลื่อนตัวลงมา
ฉัน : อยู่ได้ดิ จะไปทำธุระที่ไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วง
ฉันตอบแม่ไป แต่แน่นอนว่าแม่ของฉันก็ยังไม่หายห่วง แม่ก้มลงมองรอยเย็บที่ขาและเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉัน
แม่ : อย่าให้แม่ต้องซื้อตั๋วเครื่งบินด่วนขึ้นมาอีกนะ
ทุกครั้งที่ฉันขึ้นมาอยู่กรุงเทพคนเดียวเป็นต้องมีเรื่องให้แม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินด่วนมาหาฉันเสมอ ไม่ขึ้นมารับฉันออจากโรงพยาบาล ก็ขึ้นมาพาฉันออกจากห้องฉุกเฉิน
ฉัน : เออน่า
ฉันตัดบทไป แต่ในสมองเริ่มคิดหาวิธีใหม่ๆที่จะทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตาย
จากเมื่อต้นเดือนก่อนที่ฉันดูมีอนาคต ดูมีการวางแผนการใช้ชีวิตเป็นสเต็ปอย่างน่าพอใจในความคิดหมอ อาทิตย์ต่อหลังจากนั้นความมั่นใจของฉันลดน้อยลงไปพร้อมคะแนนภาษาอังกฤษที่ฉันฝึกทำโจทย์อยู่ทุกวัน ฉันเริ่มไม่มีพละกำลังลุกขึ้นมาอ่านหนังสือสอบ ความเบื่อหน่ายเข้ามาคุกคามจนแม้แต่หนังสืออ่านเล่นฉันก็ยังไม่อยากแตะ ความคิดอยากฆ่าตัวตายเพื่อหลีกหนีชีวิตที่แสนวุ่นวายใจก็คืบคลานเข้ามาในสมอง เมื่อเปิดโอกาสให้ฉันอยู่คนเดียว ก็ไม่แปลกที่ความคิดจะพุ่งพล่านเหมือนหญิงสาววัยแตกเนื้ออ่อน "ฉันจะตายด้วยวิธีไหนดีนะ" ฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองในหัว ฉันตัดสินใจขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่ 29 และมองลงมายังชั้น 1 "น่ากลัวเหลือเกิน" สมองของฉันบอกอย่างนั้น ฉันจึงลงมาที่ห้องและหาวิธีใหม่ๆเพื่อให้ตัวเองเดินข้ามกำแพงแห่งความตายอย่างกล้าหาญ
'คนเราจะเสียเลือดและช็อคตายเมื่อขาดเลือดประมาณ 40% จากมวลร่างกายทั้งหมด' บทความในกูเกิ้ลบอกอย่างนั้น ถ้ากรีดขาข้างซ้ายได้ ขาข้างขวาจะเหลือไว้ทำไมล่ะ? น่าแปลกที่จุดเปราะบางอย่างคอและข้อมือหรือข้อเท้ากลับถูกปกคลุมไปด้วยชั้นผิวหนังที่อ่อนบางเช่นเดียวกัน ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ฉันอยากทำร้ายตัวเอง ฉันมักจะหลีกเลี่ยงจุดดังกล่าวเพราะมันเจ็บเหลือทน และสัญชาตญาณสั่งฉันว่าอย่าทำ ขาข้างขวาเท่านั้นคือคำตอบของการทำร้ายตัวเองนี้ ถึงแม้จะมีโอกาสเสียเลือดน้อยกว่าการกรีดแขนหรือข้อมือแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการกรีดขาขวาจะไม่ส่งผลใดๆต่อการเสียเลือดเลย เพราะฉะนั้นแผนของฉันคือการปล่อยให้แม่ตายใจจนอนุญาตให้ฉันอยู่คนเดียว ระหว่างนั้นอาจจะกรีดแขนขาเล็กๆเพื่อความสบายใจ และจะกรีดขาครั้งใหญ่เมื่อตอนใกล้ถึงเวลาแม่กลับมา ศพของฉันจะได้ไม่ขึ้นอืดจนน่าเกลียดเกินไป ซึ่งจะทรมานหัวใจของผู้เป็นแม่อย่างหนัก
เมื่อแม่กลับไปที่ต่างจังหวัดบ้านเกิดได้ไม่ถึง 1 วัน ฉันก็เริ่มค้นเอาใบมีดผ่าตัดที่ซื้อเตรียมไว้ออกมากรีดตามแขนขา เลือดไหลนองลงมาที่ถังขยะที่ฉันเตรียมไว้ ฉันปล่อยให้เลือดไหลอยู่อย่างนั้นทั้งวัน กลิ่นคาวคละคลุ้งทั้งห้องอ่างช่วยไม่ได้
ฉัน : โอ๊ย เหม็นคาวเลือดจังโว้ย
ฉันตะโกนดังในห้องสุดเสียงด้วยความรำคาญและเจ็บปวด หลังจากนั้นในทุกๆวันฉันจะเติมแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายด้วยเบียร์เย็นๆวันละ 2 กระป๋องใหญ่และลงมือกรีดแขนให้ลึกอย่างที่ฉันต้องการ เบียร์ไม่เพียงแต่ทำให้ฉันมีความกล้าในการทำร้ายตัวเองเท่านั้น แต่มันยังกลบกลิ่นเลือดและทำให้ฉันนอนหลับง่ายและฝันดีอีกด้วย มีหลายคืนที่ฉันฝันเห็นหมอ J ในบทบาทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอของฉัน เพื่อนของฉัน หรือคนรักของฉัน ความฝันเหล่านั้นทำให้ฉันนอนตื่นสายหรือไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอโลกความจริงอีกเลย
มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันไม่ได้บอกเกี่ยวกับหมอ J นั่นคืองานวิจัยของหมอได้รับคัดเลือกให้ไปพรีเซนท์ที่ 21th WPA World Congress of Psychiatry ซึ่ฉันไม่รู้ว่ามีจิตแพทย์จากไทยกี่คนที่ได้รับเกียรตินี้ หลังจากการพรีเซนท์ abstract เป็นเวลา 3 นาทีแล้ว ยังมีการเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจในงานวิจัยได้เข้าไปถามตอบใน Zoom อีกด้วย แรกเริ่มเดิมทีฉันคิดว่าใน Zoom ของหมอ J จะมีคนเข้าไปถามตอบอย่างมากมาย คืนนั้นฉันจึงได้สมัคร Zoom ด้วยอีเมลใหม่และเข้าไปให้กำลังใจในชื่อผู้ชาย ปรากฏว่าคืนนั้นมีเพียงฉันกับหมอ J แค่ 2 คน!!! ฉันจึงต้องไปเรียกเพื่อนคนอื่นให้เข้ามาใน Zoom ห้องเดียวกับฉันอย่างช่วยไม่ได้ คนๆนั้นก็คือ M คนไข้ที่รู้จักกันสมัยเข้าวอร์ดครั้งที่ 4 ของฉัน เราทั้งสองคนช่วยกันถามตอบกับหมอ J ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ด้านจิตวิทยาการแพทย์เอาเสียเลย M ถามตอบกับหมอด้วยการเปิดไมค์ ส่วนฉันตัดสินใจพิมพ์ไปหาหมอเพราะไม่อยากให้หมอได้ยินเสียงฉัน เราทั้งสามคนคุยกันไปมาด้วยภาษาอังกฤษอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง หมอ J ก็ปิดห้องไป หลังจากนั้น M ก็ขอ contact หมอจากฉัน ไม่ว่าจะเป็นทางอีเมลหรือเฟสบุ๊ค ตอนแรกฉันก็ให้ไปอย่างไม่เคลือบแคลงใจ แต่หลังจากนั้นฉันจับได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ M อาจจะมีให้หมอ J ทำให้ฉันเกิดอาการหึงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ฉันจะคุยกับ M เป็นปกติ แต่ความตึงเครียดประเด็นหมอ J ก็ยังตามหลอกหลอนเราอยู่ในทุกการสนทนา เราพยายามหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องหมอไปซักพัก จนถึงตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่า M รู้สึกกับหมอ J เหมือนที่ฉันรู้สึกหรือเปล่า ฉันรู้เพียงว่าทุกครั้งที่ประเด็นการพูดคุยถึงเรื่อง contact ของหมอ J มันจะสร้าง awkward moment ให้เราสองคนอยู่เสมอก็แค่นั้นเอง
"ถ้าสมมติหมอบังเอิญเข้ามาอ่านเจอบันทึกของเรานี้ เราอยากจะขอโทษหมอด้วยใจจริงที่หลอกหมอในวันนั้น เราขออธิบายให้หมอเข้าใจก่อนเลยว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหมอเหมือนอย่างที่มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว เราแค่อยากเข้าไปเป็นกำลังใจให้หมอในห้อง zoom ก็เท่านั้น เรารู้ดีว่าถ้าเราใช้ account ของตัวเอง หมอจะไม่ยอมให้เราเข้าไปในห้องน้ันเด็ดขาด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราต้องใช้ account ปลอมเข้าไป ถ้าหมอจะโกรธเราในเรื่องนี้ เราจะยอมรับและไม่แปลกใจเลย เราเพียงแต่อยากให้หมอได้รับรู้เจตนาของเราในวันนั้นก็เท่านั้น ขอโทษจริงๆค่ะ"
......................
สุขสันต์วันเกิดค่ะหมอ ไซไคผู้ยิ่งใหญ่ของเราเสมอมา ปีนี้เราขอให้หมอมีทุกอย่างอย่างที่หมอหวังจะมี อีกไม่กี่เดือนหมอก็จะเรียนจบและไปทำงานเป็นจิตแพทย์เต็มตัวแล้ว เราอยากให้หมอเชื่อมั่นในตัวเองว่าหมอทำได้เสมอ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร เราเชื่อเสมอว่ามันมาจากเจตนาที่ดีของหมอแน่นอน แล้วผลลัพธ์ที่หมอคาดเอาไว้ก็จะตามมาเอง เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่หมอเพิ่งเข้ามาเป็นหมอประจำบ้านปีหนึ่ง ตั้งแต่ตอนนั้นที่เรารู้ว่าหมอเป็นคนเก่ง กล้า และมีความสามารถ หมอเป็นเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับคนไข้ดื้อด้านอย่างเราได้ หมอทำงานออกมาได้ดีจนมีเราในทุกวันนี้ ระหว่างทางนี้เราอาจจะทำให้หมอรำคาญใจหรือรังเกียจเราไปบ้าง เราขอโทษจริงๆที่เราเป็นตัวทำให้หมอต้องมีความรู้สึกในทางลบ แต่ที่ผ่านมาหมอปฎิบัติกับเราอย่างดี เท่าเทียม และยึดมั่นในจรรญาบรรณของหมออย่างเหนียวแน่น นั่นคือข้อดีที่สุดของหมอและเป็นสิ่งที่หมอทุกคนพึงมี เราขอชื่นชมหมอตรงนี้ เราหวังว่าของขวัญที่เราให้หมอในวันเกิดปีนี้จะถูกใจหมอ เพราะนั่นคือของขวัญชิ้นสุดท้ายจากเรา จากนี้ไปเราขอเป็นกำลังใจล่องหนอยู่เคียงข้างหมอในเส้นทางจิตแพทย์นี้ วันใดที่หมอท้อขอให้นึกอยู่เสมอว่าครั้งหนึ่งหมอได้ช่วยชีวิตผู้ป่วยคนหนึ่งไว้จากการฆ่าตัวตายจนมีชีวิตปกติเหมือนคนอื่นๆได้มาจนถึงปัจจุบัน หมอเคยต้องเตรียมทิชชู่กล่องใหญ่เมื่อต้องคุยกับคนไข้ขี้แยอย่างเรา จนถึงวันนี้วันที่เราเช็ดน้ำตาด้วยตัวเองอย่างเข้มแข็ง เราหวังว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีก ไม่ใช่ในฐานะหมอ-คนไข้อีกต่อไป ขอให้หมอโชคดีค่ะ
..................
ฉัน : มึง ช่วงนี้กู obsess เกี่ยวกับหมอคนนั้นเยอะมากเลยว่ะ
ฉันเปิดฉากคุยกับเพื่อนสมัยมหาลัยในบ่ายวันหนึ่ง เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ฉันไม่คอยจะคุยเรื่องโรคของฉันมากนัก เนื่องจากเธอไม่ค่อยเข้าใจในตัวโรคและมักจะตกใจทำอะไรไม่ถูกทุกครั้งที่อาการของฉันกำเริบ
เพื่อน : obsess เรื่องอะไรวะ
ฉัน : ก็อย่างเช่น inappropriate sexuality อะไรอย่างเงี้ย
ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีบอกเพื่อนไป
เพื่อน : เอาจริงๆ มึงแค่เงี่ยนปะวะ ลองหาแฟนซักคนมั้ย หรือไม่ก็ซื้อดิลโด้มาใช้ก็ได้
ความคิดน่ารังเกียจสินดี น้ำตาของฉันหยดเผาะลงมา ไม่ใช่เพราะเพื่อนไม่เข้าใจในโรคที่ฉันเป็น เพราะฉันไม่คาดหวังความเข้าใจจากคนๆนี้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะคำพูดของเพื่อนทำให้ฉันรู้สึกรังเกียจตัวเองไปด้วย ความพยายามของนักบำบัดที่ไม่ให้ฉันรังเกียจตัวเองพังคลืนลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ความรู้สึกผิดจึงเข้าจู่โจมสมองของฉันซ้ำเข้าไปอีก
เพื่อน : มึงลองช่วยตัวเองดูมั้ย แล้วค่อยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอ
ฉันคงไม่มีหน้าเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอคนไหนแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกขายขี้หน้าซะจนหน้าไหม้ไปหมดแล้ว ปล่อยให้เรื่งนี้มันตายไปกับตัวฉันก็แล้วกัน
และแล้วคืนนั้นฉันก็เก็บเรื่องนี้ไปฝัน ในความฝันนั้นฉันยกมือไหว้หมอ J ปะหลกๆทั้งน้ำตา และพูดขอโทษขอโพยเค้าเป็นการใหญ่ที่ฉันมีความคิดสกปรกอย่างนี้ ฉันตื่นขึ้นมาก่อนที่ฉันจะได้รู้ว่าหมอ J พูดอะไร สองแก้มเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา ชีวิตฉันนี่มันน่าสมเพศสิ้นดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in