เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
คนซึมเศร้าในวันเศร้าซึม
  •      หมอ : สีหน้าคุณดูดีขึ้นเยอะเลยนะ ไม่หมองเศร้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว
    หมอทักฉันขึ้นมาหลังจากที่ฉันนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว วันนี้ฉันมาหาหมอ R ที่โรงพยาบาลหลังจากที่ขาดหายจากการหาหมอไปนาน
         ฉัน : เรามีเรื่องจะบอกแหละ เรามองเห็นอนาคตของเราแล้วนะ เมื่อก่อนมันเป็นสีดำๆมืดๆใช่ปะ แต่ตอนนี้เรามีแผนสำหรับอนาคตเราแล้วนะ เรากะว่าจะ......
    ฉันพรรณนาเรื่องแผนอนาคตที่เข้ามาในหัวของฉัน ฉันจะไปสอบภาษาอังกฤษ และสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ฉันจะขยันเรียนเพื่อจบมาให้ได้ และเอาวุฒิการศึกษาไปทำงานที่ฉันคิดว่าฉันน่าจะทำไหว ฉันลงท้ายเรื่องราวแห่งอนาคตด้วยน้ำตาแหมะสองแหมะ เพราะฉันกลัวอนาคตที่มันจะเกิดขึ้น ถ้าฉันทำไม่สำเร็จล่ะ? ถ้าเครียดจนฉันหาวิธีฆ่าตัวตายอีกล่ะ? ถ้าๆๆๆๆๆ
         หมอ : เอ้อ ดีเลยนะ ตัวเราเองก็ยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะ คนเราวางแผนอนาคตของตัวเองได้ แต่อย่าเอาอารมณ์ไปใส่ให้มัน เรากลัวไปก่อนทั้งๆที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้น ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
    ฉันพยักหน้าพร้อมเช็ดน้ำตาออกจากสองแก้ม ฉันและหมอนั่งคุยกันเกือบชั่วโมงก่อนที่ฉันจะอำลาหมอด้วยการฝากของขวัญล่วงหน้าไปให้หมอ J และเปิดน่องขาให้หมอตรวจเช็คสภาพแผลที่ฉันเพิ่งกรีดมาด้วยความกลัว 
         หมอ : อืมมมม มันก็ไม่ลึกมากนะ จะเย็บก็ได้ แต่ก็คงจะเจ็บตัวฟรี ให้พยาบาลทำแผลให้ละกัน
    ฉันเดินออกมาจากห้องตรวจแล้วเข้าไปที่ห้องทำการพยาบาลเพื่อให้พยาบาลทำแผลให้ ฉันนั่งบนเก้าอี้แล้วพาดน่องขาบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง พยาบาลใจดีที่คุ้นเคยใส่ถุงมือยางแล้วกดๆบริเวณรอบๆแผล
         พยาบาล : ไปทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
         ฉัน : เมื่อคืนค่ะ
         พยาบาล : ทำไมถึงตอนนี้แล้วเลือดยังซึมอยู่เลย พี่ว่าไปห้องฉุกเฉินให้เค้าประเมินแผลดีกว่า
    นั่นคือที่มาของแผลเย็บ 10 เข็มที่น่องซ้ายของฉัน ฉันกลับมาที่คอนโด ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน รักษาตัวเอง กินยาสม่ำเสมอ และไม่ลืมทำการบ้านที่นักบำบัดให้มา ฉันรู้สึกถึงอนาคตลูกคลื่นขึ้นๆลงๆเหมือนลานสเก็ตบอร์ด ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้ มีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา แก้หูฟังไอโฟนพันกันยังต้องใช้สติและเวลา นับประสาอะไรกับแก้ปัญหาชีวิต
    ........................
    นั่นคือ 3 วันที่ฉันมีอนาคต จนมาวันนี้ วันที่ฉันตื่นมาพร้อมความรู้สึกไม่อยากลืมตาไปเจอโลกแห่งความเป็นจริง ฉันปิดมือถือ ปิดรับการสื่อสารทุกชนิด และตื่นมากินกาแฟลาเต้เย็นไม่หวานเหมือนที่กินอยู่ทุกเช้า "ไม่อยากหายใจแล้ว" เสียงในหัวของฉันมันร้องขึ้นมากัองสมอง ฉันเดินออกจากห้องไปนั่งที่บันไดหนีไฟของชั้น 10 ที่คอนโดเหมือนเดิม ที่นี่คือที่ที่ปลอดภัยสำหรับฉัน มันคือ Safe place ในความเป็นจริงที่นักบำบัดกล่อมให้ฉันฝึกนึกภาพในยามที่ฉันไม่สบายใจ ฉันนั่งลงบนบันไดขั้นที่สาม ทอดขาที่มีรอยเย็บยาวออกไปข้างหน้า น้ำตาเอ่อคลอและไหลลงมาอย่างเกินความควบคุม
         "หมอ J น่ะหรอ ต่อให้ฉันกระโดดลงไป หัวแบะแหลกสลายติดไปกับพื้นปูนเค้าก็คงไม่มาสนใจคนอย่างฉันหรอก ฉันมันคือคนที่ตามตื๊อเค้าอยู่เกือบ 3 ปี คอยให้ของขวัญที่ฉันคิดว่าเค้าอยากได้ นั่งคอยพบเค้าตอนที่ฉันไปหาหมอที่โรงพยาบาล น่ารำคาญเนอะ เนี่ย ความรู้สึกของหมอที่มีต่อฉันมันเป็นเพียงความรำคาญและความรังเกียจเท่านั้นแหละ ฉันจะเป็นจะตายยังไงเค้าก็ไม่สนใจ ก็มันไม่ได้ไปสะดุ้งสะเทือนอะไรกับวิชาชีพของเค้านี่ คนไข้อ่านะ พอออกจากห้องตรวจไปก็กลายเป็นคนอื่นแล้ว ความรับผิดชอบและหน้าที่ของเค้ามันอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมหน้าตอมพิวเตอร์เท่านั้นแหละ หมดเวลาตรวจก็หมดหน้าที่การเป็นหมอแล้ว ใครที่คิดว่าเป็นหมอต้องเป็นตลอด 24 ชั่วโมงนั้นไม่จริงเลย อย่าโลกสวยให้มันมากนัก เค้าไม่ได้แขวนป้าย 'นพ.' ไว้ที่คอนี่ ที่เคยคุยกับนักบำบัดว่าหมอเป็น Supporter ยามที่ทุกข์ใจนั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริง การที่หมอมานั่งถามว่า 'เป็นยังไงบ้างครับ?' มันเป็นเพียงหน้าที่ของเค้าที่เค้าต้องตรวจโรค ต้องสั่งยา มันไม่มีใครสนใจหรอกว่าเราจะเป็นยังไง รู้สึกยังไง ถึงแม้จะเป็นจิตแพทย์ก็ตาม หมอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีความรู้สึก มีหัวใจ แล้วใครมันจะอยากอยู่ใกล้คนที่มีแต่ความคิดมืดมนกัน อย่าโลกสวยให้มากนักเลย สุดท้ายเราก็ต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ ไม่มีใครอยากอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ไปตายได้แล้ว จะมาแบกหินแห่งความเศร้าซึมที่หนักอึ้งนี้อยู่ทำไม อย่าอยู่ให้เป็นภาระครอบครัว, ภาระนักบำบัด, ภาระสังคม ไปตายสิ รออะไรอยู่?!"
    คนซึมเศร้าในวันเศร้าซึม ไม่ว่าจะทำอะไรความคิดที่มีในหัวสมองมันก็บิดเบี้ยวไปหมด แต่ฉันเชื่อว่าฉันคิดถูก นี่คืออีก 1 สัจธรรมที่ต้องยอมรับให้ได้; ไม่มีใครอยากเคียงข้างฉันหรอก ฉันปาดน้ำตา สูดน้ำมูกแล้วมองลงไปยังชั้น 1 ของคอนโด มองจากตรงนี้มันช่างสูงดี แต่วันจริง ฉันคงขึ้นไปชั้น 29 ราวบันไดที่กั้นนี้มันสูงจังเลยนะ คงปีนยากน่าดู ฉันคงเอาเก้าอี้ไปช่วยปีนด้วย ฉันจะกรีดน่องข้างขวาที่ยังว่างอยู่ ให้เลือดชั่วในตัวมันไหลออกมากองข้างนอก แล้วก้าวขาออกไปเหยียบอากาศอันว่างเปล่า ฉันจะหล่นลงไปหัวระเบิดติดพื้นปูนอยู่ที่ชั้น 1 และฉันจะไม่มีความรู้สึกกลัว, ไม่รู้สึกเจ็บ, ไม่รู้สึกกดดัน, ไม่มีความคิดว่าเป็นภาระ และสุดท้ายฉันจะไม่หายใจอีกเลย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in