เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
โครงการแบ่งรัก ปันใจ
  • เคตามีน 9 ครั้ง!!! ถ้านับรวมที่ฉันเคยทำมาทั้งหมดในชีวิตก็รวมเป็น 21 ครั้ง!! ถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับผู้ที่เป็นผู้ป่วยจิตเวช แถมหมอยังให้ฉันทำต่อไปอีก 1 เซ็ต (6 ครั้ง)
         หมอ C : งั้นเราหยุดเคตามีนกันก่อนมั้ย หรือคุณว่ายังไงครับ?
         ฉัน : เอาแผนที่หมอบอกมาก่อนหน้านี้ดีกว่าค่ะ ที่หมอเคยบอกว่าจะให้เคตามีนแบบห่างๆ
    นั่นคือที่มาของเคตามีนอีก 6 ครั้งที่เหลือ ฉันบอกหมอไปด้วยความไม่ไว้ใจตัวเอง ฉันไม่รู้เลยว่าความคิดเลวร้ายและภาพหลอนต่างๆมันจะเข้ามาจู่โจมสมองฉันอีกรึเปล่า ผลของการทำเคตามีนเซ็ต 9 ครั้งล่าสุดมันแปลกมาก ปกติฉันจะรู้สึกดี ดี๊ด๊า แทบกระโดดโลดเต้นท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ แต่ทำเคตามีนครั้งนี้ฉันกลับสงบ นิ่ง มีสติ ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะการทำ CBT ในแต่ละอาทิตย์ด้วย ชีวิตของฉันตอนนี้นิ่งมาก แต่จะมีช่วงที่ฉันเรียกว่า Sad time เป็นของตัวเอง คือซักประมาณช่วงเย็นๆภาพหลานสาวสุดที่รักโดนรถชนตาย หรือไม่ก็ภาพดาดฟ้าตึกชั้น 29 จะโผล่เข้ามาในหัว ความคิดอันไม่แน่ไม่นอนเริ่มปั่นป่วน น้ำตาของฉันไหลออกมาพร้อมความเศร้าที่ค่อยๆพอกพูนขึ้นในจิตใจ บางครั้งฉันก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนกว่าจะพอใจ บางครั้งฉันก็ไม่สามารถทนกับความเศร้านั้นได้ แต่ฉันไม่ได้ไปหามีดมากรีดแขนหรือไปหยิบยามา Overdose เหมือนที่เคยทำสมัยก่อน ถ้าฉันอยู่ที่คอนโดสิ่งที่ฉันทำคือเปิด Youtube ใน Smart TV แล้วร้องคาราโอเกะ ร้องทั้งน้ำตาอย่างนั้นแหละ เสียงร้องเพลงอู้อี้เพราะร้องไห้จนคัดจมูกไปหมด ฉันร้องเพลงสลับกับสั่งน้ำมูกด้วยความรำคาญ เมื่อเวลาบอก 18.00 hrs. ฉันต้องไปอาบน้ำ การวางแผนชีวิตในแต่ละวันให้แน่นอนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคจิตเวชไม่จมจ่อมไปกับความเศร้านานเกินไป ไม่ว่าตอนนั้นฉันจะเศร้า จะร้องไห้มากแค่ไหน เมื่อถึง 6 โมงเย็นฉันต้องไปอาบนน้ำ บางวันเป็นวันสระผมฉันก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นจากน้ำอุ่นที่ไหลรดหัว ยิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเจอกับแอร์เย็นๆที่เปิดทิ้งไว้ฉันก็ยิ่งสดชื่น หมดกันทีกับความเศร้าที่มันเข้ามาทำลายชีวิตฉัน แกแพ้การอาบน้ำอุ่นๆและแอร์เย็นๆไปซะแล้ว 555 หมอ C ดีใจมากหลังจากที่เล่าเรื่องนี้ให้หมอ C ฟังในห้องตรวจหมายเลข 5 (แฟนของหมอก็ตรวจคนไข้อยู่ที่ห้องตรวจหมายเลข 6) หมอ C บอกว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ฉันจะทำได้ แต่ตอนนี้ฉันมีความดันสูงระดับปานกลาง และน้ำหนักขึ้นพรวดๆแบบไม่มีทางลง สิ่งต่อไปที่ฉันควรทำคือออกกำลังกาย อย่าหักโหมนัก และลดของเค็ม ทาสแม็กกี้อย่างฉันแทบร้องไห้ การเป็นคนป่วยมันไม่ง่ายเลย แค่แม็กกี้ที่ฉันชอบก็กินไม่ได้ แท้จริงแล้วชีวิตมันน่าเศร้าอย่างนี้นี่เอง ฉันโดนส่งไปหาหมออายุรกรรมและต้องจดความดันเช้า-ก่อนนอนไปให้หมอดู
    โครงการแบ่งรัก ปันใจที่ฉันคิดค้นขึ้นกำลังไปได้สวย เวลาฉันขายหนังสือได้แต่ละครั้งฉันจะสอดโปสการ์ดไปให้ลูกค้า 2 ใบ ใบหนึ่งให้ลูกค้าเป็นที่ระลึกจากทางโครงการ อีกใบหนึ่งฉันติดสแตมป์ 3 บาทเอาไว้ เพื่อให้ลูกค้าเขียนถึงคนที่เค้าห่วงใย ฉันคิดว่าการเขียนสื่อความรักความห่วงใยไปให้คนอื่นจะช่วยให้จิตใจของทั้งผู้ส่งและผู้รับชุ่มชื่นขึ้นได้ และคิดว่ามันอาจจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคทางจิตเวชไปได้ในระยะยาว อาจจะไม่ใช่ที่รุ่นฉัน แต่อาจจะเป็นรุ่นหลานของฉัน เหมือนสมัยก่อนที่ไม่ค่อยมีใครนิยมกินนม ประชากรไทยจึงตัวเล็กพอๆกันไปหมด แต่เมื่อมีการรณรงค์ให้คนดื่มนมซักประมาณ 20-25 ปีก่อน ประชากรไทยรุ่นหลังๆก็ตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กับโรคทางจิตเวชก็เช่นเดียวกัน ฉันหวังว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปได้ในทางที่ดี ความจริงฉันไม่ต้องมาสนใจก็ได้ว่าผู้ป่วยทางจิตเวชจะลดน้อยลงหรือเพิ่มมากขึ้น ฉันไม่เดือดร้อนถ้าคนรอบตัวเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพล่ากันหมด แต่ฉันแค่มีความคิดว่า ฉันสงสารคนป่วยคนอื่น ฉันเข้าไปดู #โรคซึมเศร้า ในทวิตเตอร์หลายครั้ง มีทั้งคนที่ทำร้ายตัวเองเหมือนอย่างที่ฉันเคยทำ คนที่ร้องขอความตายเหมือนอย่างที่ฉันเคยขอ วันนี้ฉันผ่านช่วงนั้นมาได้แล้ว ฉันก็อยากให้คนอื่นผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นไปได้ด้วย อีกอย่างโรคทางจิตเวชเป็นโรคที่สามารถสืบทอดได้ทางพันธุกรรม มันจะแย่มากๆถ้าหลานสุดที่รักของฉันไม่คนใดก็คนหนึ่งเป็นโรคจิตเวชขึ้นมา ถึงตอนนั้นที่หลานโตพอจะรู้ตัว ฉันต้องเตรียมสังคมให้พร้อมรองรับผู้ป่วยทางจิตเวชทุกคน

         ส่วนหนึ่งจาก #โรคซึมเศร้า




    นั่นคือสิ่งต่อไปที่โครงการแบ่งรัก ปันใจจะทำขึ้นมา 'การสร้างความเข้าใจต่อผู้ป่วยทางจิตเวชของคนในสังคม' การเข้าใจ"โรคทางจิตเวช"เป็นสิ่งที่ง่ายมาก เสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ต ใช้เวลาอ่านไม่กี่นาทีก็เข้าใจ แต่การเข้าใจ"ผู้ป่วยทางจิตเวช"นั้นแตกต่างกันมาก คุณต้องเจอ ต้องสัมผัสถึง ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณถึงจะเข้าใจพวกเค้าได้ แต่เมื่อสังคมไทยยังไม่ค่อยยอมรับผู้ป่วยทางจิตเวชมากนัก จึงไม่มีใครมาสะกิดบอกคุณว่า "เธอๆ ฉันเป็นโรคซึมเศร้าแหละ ถ้าอยากเข้าใจฉันก็มาคุยกับฉันสิ" มันไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งต่อไปที่โครงการจะทำนั่นคือเป็นสื่อกลางให้กับผู้ป่วยทางจิตเวชและคนภายนอกในสังคม มีนิสิตแพทย์คนหนึ่งสนใจโครงการโปสการ์ดที่ฉันทำ พี่ T จึงนัดให้เรามาคุยกัน นสพ.เสนอไอเดียถ่ายวิดีโอคนไข้ ให้เค้าพูดในสิ่งที่เค้าต้องเจอและสิ่งที่เค้ารู้สึก แล้วนำไปเผยแพร่ให้คนนอกได้รับรู้ แน่นอนว่าปิดหน้าปิดตาและปกป้องชื่อเสียงของผู้ป่วยด้วย ฉันจึงเสนอว่าให้ถ่ายวิดีโอคนนอกด้วยเช่นกัน และเอาไปให้คนนอกคนอื่นดู ให้เค้าได้รู้ว่าสังคมส่วนใหญ่ในตอนนี้เค้าคิดเห็นเรื่องนี้กันอย่างไร หลังจากคุยกันประมาณชั่วโมงครึ่ง เราก็สรุปได้ว่าให้แยกย้ายกันไปทำสิ่งที่พอจะทำได้ก่อน ฉันคิดว่าจะจัดทำแผ่นพับแนบไปกับหนังสือที่ขายเพิ่มเข้าไปอีกด้วย เพื่อสร้างความเข้าใจคร่าวๆให้คนในสังคมแคบๆของฉันได้รับรู้ พี่ T ก็ไปคุยกับอาจารย์หมอ เผื่อว่าจะสามารถหางบมาได้โดยที่ฉันไม่ต้องออกเงินเองทั้งหมด ส่วนนสพ.ก็จะไปหาคนที่จะสัมภาษณ์ได้ไว้ก่อน ก่อนจากกันพี่ T บอกเรื่องงานสัปดาห์สุขภาพจิตที่จะจัดขึ้นประมาณปลายปี ถ้าเราสามารถติดต่อผู้จัดงานได้ โครงการแบ่งรัก ปันใจของเราอาจจะไปร่วมแจมได้อีกด้วย แวบนั้นเองในสมองฉันก็คิดว่า "ฉันจะมีชีวิตอยู่ถึงปลายปีเลยหรอ" ฉันยังคงคิดอย่างนั้นตลอดทางกลับคอนโด แต่ก็ยังลงมือทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ฉันไปหาข้อมูลทุกทางแล้วเขียนแผ่นพับขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ก่อนเอาไปให้หมอ C ช่วยเช็คเรื่องความถูกต้องของเนื้อหา
    ในขณะที่ฉันต้องลงทุนไปกับโครงการแบ่งรัก ปันใจ ร้านหนังสือของฉันก็ขายออกได้เรื่อยๆ บางวันมีคนมาซื้อบ้าง ไม่มีบ้าง ขาดทุนบ้าง ได้กำไรบ้างสลับๆกันไป แต่เงินทุนซื้อหนังสือของฉันเริ่มร่อยหรอ หนังสือใหม่ๆก็ออกกันมาไม่ขาดสาย ฉันต้องซื้อตุนและซื้ออ่านเองจำนวนมาก นั่นทำให้เงินฉันหายไปจากบัญชีจนแทบไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ฉันต้องขอเงินจากที่บ้านเพื่อมาพยุงธุรกิจของฉันให้เดินต่อไปได้ แต่ฉันไม่ฟุ้งซ่านร้องไห้สติแตกเหมือนแต่ก่อน ฉันไม่ขึ้นไปชั้น 29 ตามที่หมอสั่ง สิ่งที่ฉันทำคือ Here & Now Theory คืออยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ผลที่ตามมาจะดีหรือไม่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดเดา ฉันรู้ว่าการทำธุรกิจต้องมีการวางแผนและคาดการณ์อนาคตล่วงหน้า ฉันสามารถทำมันได้ แต่ต้องไม่ยึดติดกับมันมากนัก ถ้ามันผิดแผนขึ้นมาฉันต้องยืนให้ไหว และรู้ว่ามีคนคอยประคองฉันอยู่หลายมือ
    ตอนนี้ฉันยังทำอย่างที่ฉันพิมพ์เอาไว้ได้ แต่หลังจากนี้ หลังจากที่ฉันถ่วงเวลาทำเคตามีนให้นานที่สุด นั่นแหละคือบททดสอบของจริง ฉันจะอยู่ได้รึเปล่าเมื่อไร้เคตามีน 
    ฉันคิดมาตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าฉันเป็นโรคทางจิตเวชแล้วว่า การตายของฉันต้องเป็นการตายที่เป็นประโยชน์ที่สุด นั่นคือเหตุผลให้ฉันไปลงชื่อบริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับสภากาชาดไทย การทำโครงการแบ่งรัก ปันใจก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่ฉันรู้ว่าฉันอาจจะไม่ได้มีชีวิตที่ยืนยาว ชีวิตของฉันเหมือนเดินอยู่บนเชือกเส้นเรียวเล็ก จะตกลงมาเมื่อไหร่ก็แล้วแต่อารมณ์จะพาไป โครงการแบ่งรัก ปันใจจึงเป็นเหมือนชนวนระเบิดที่ฉันทิ้งเอาไว้ในสังคม ค่อยๆให้สังคมรับรู้ถึงการมีอยู่ของผู้ป่วยโรคจิตเวช ถ้าวันที่ฉันตายไปมาถึง การฆ่าตัวตายของฉันจะไม่สูญเปล่า มันจะเปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ระเบิดตู้ม!! จนคนที่หันหลังให้พวกเราได้หันหน้ามามองปัญหาที่เกิดขึ้น หันมาใส่ใจหัวใจของพวกเรา และพร้อมที่จะเรียนรู้ ยอมรับพวกเราเข้าไปเป็นหนึ่งในสังคมของพวกเขา ความจริงฉันไม่อยากแบ่งพวกเขาหรือพวกเรา เพราะไม่ว่าจะมีโรคทางจิตเวชหรือไม่ เราก็ต่างเป็นคนเท่าเทียมกัน แต่เอาเป็นว่าความตายของฉันจะจุดประกายไฟให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพจิตและพยายามคิดหาวิธีที่ทำให้มันดีขึ้นๆก็แล้วกัน ฉันอยากให้สังคมตั้งคำถามกับการฆ่าตัวตายให้เยอะกว่านี้อีกหน่อย ทำไมมันถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น? โรคอะไรที่พาให้ชีวิตของคนๆหนึ่งมาถึงจุดนี้? วันหนึ่งฉันจะเป็นโรคนี้บ้างรึเปล่า? คนรอบตัวของฉันเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้บ้างรึเปล่า? แต่สิ่งที่สังคมยุคนี้พูดหลังจากรู้ข่าวการฆ่าตัวตายคือ มันโง่เนอะ, คิดสั้น, ตัดช่องน้อยแต่พอตัว, แค่นี้ก็ทนไม่ได้ และคำพูดอีกมากมายที่ทำให้ผู้ป่วยยอมตายๆไปซะดีกว่าต้องมาทนฟังสังคมพูดกันอย่างงี้ ซักวันสังคมมันจะเปลี่ยนไป ฉันเชื่ออย่างนั้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in