เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
ชีวิตเราถูกลิขิตให้มาทางนี้
  • "ถ้าทำงานภายใต้คำสั่งของคนอื่นมันทำให้คุณเครียด ลองมาเป็นเจ้านายตัวเองดูไหมคุณ" ครั้งหนึ่งนานมากแล้วหมอ C เคยพูดกับฉันอย่างนี้ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นยังไม่ออกมาจากที่ทำงานเก่า
    'คิดว่าทำธุรกิจอะไรซักอย่างนี่มันง่ายนักเหรอ' ฉันคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป ในหัวของฉันตอนนั้นคนที่ทำธุรกิจเป็นของตัวเองมีเพียงภาพของคนที่เป็นอาเสี่ยมีตังค์, คนรุ่นใหม่หัวฉลาดที่จับทางของตัวเองได้ ทำธุรกิจของตัวเองรอด เลี้ยงตัวเองได้ และสุดท้ายคือคนที่สิ้นหวังกับชีวิตเพราะธุรกิจเจ๊งไม่เป็นท่า แล้วอย่างนั้นมันจะไม่เครียดไปยิ่งกว่าเก่าเหรอ
    ความคิดและคำพูดของหมอ C ในวันนั้นมันกลับมาฉายในหัวสมองของฉันอีกครั้งหลังจากที่ฉันออกจากห้องฉุกเฉินรอบล่าสุดที่กินยาเบื่อหนู ครั้งนี้ในหัวของฉันเหมือนจะพักเรื่องการฆ่าตัวตายไปซักพักและมีแผนธุรกิจบางอย่างในหัวขึ้นมาตามประสาลูกแม่ค้าเก่า เดิมทีฉันเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ มีอยู่วันหนึ่งในวัยประถมระหว่างที่ฉันกำลังนั่งรถตู้รับ-ส่งนักเรียนไปโรงเรียน รถขับผ่านร้านหนังสืออิสระแห่งหนึ่ง ฉันคิดว่าดีจังเลยนะที่ได้ทำงานที่ล้อมรอบไปด้วยหนังสืออย่างนั้น ฉันเกิดความฝันในวัยเด็กว่าฉันก็อยากมีร้านหนังสือเป็นของตัวเองบ้าง ฉันคงมีความสุขมากที่ได้นั่งรายล้อมไปด้วยหนังสือ ได้แนะนำหนังสือที่ตัวเองชอบให้ลูกค้าได้รู้จักและเลือกหา การเจริญเติบโต การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และการเจ๊งของร้านหนังสืออิสระนั้นเบรคความฝันของฉันอย่างจัง ฉันก้าวเดินไปในเส้นทางการเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาเมื่อฉันเรียนจบ เพราะฉันรู้แล้วว่าความฝันที่ฉันมีในวัยเด็กมันทั้งยากและไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอ่านหนังสือเป็นกองมหึมา ใช้เงินไปกับการซื้อหนังสือเป็นหลักหมื่นต่อปี และมีกองดองสูงเท่าต้นคริสมาสต์ในป่าใหญ่
    'หรือจะลองเปิดร้านหนังสือที่บ้านดูดีมั้ย' ความคิดในหัวของฉันหลังออกจากห้องฉุกเฉินมันบอกมาอย่างนั้น ฉันต้องบอกก่อนว่าฉันเปิดไอจีขายหนังสือมือสองมาได้ประมาณ 1 ปีแล้วนับจนถึงวันนี้ สาเหตุเพราะฉันไม่มีทุนมากพอที่จะซื้อหนังสือใหม่ๆ และไม่มีที่เก็บหรือสร้างห้องสมุดของตัวเองให้กับหนังสือเก่าๆ ธุรกิจเล็กๆในไอจีของฉันก็เป็นไปได้ดีหรืออาจจะเรียกว่าก็เรื่อยๆ มีคนเข้ามาดูบ้าง กดไลค์บ้าง เข้ามาถามถึงหนังสือที่ฉันลงขายและซื้อออกไป ฉันยิ่งเพิ่มพูนความภูมิใจเวลาได้อธิบายเนื้อหาคร่าวๆในหนังสือให้ลูกค้าในไอจีได้ฟัง(อ่าน) ถึงแม้ฉันจะได้เงินมาซื้อหนังสือใหม่มาอ่าน แต่การขายแต่ละครั้งถือว่าเป็นการขายขาดทุน เนื่องจากตอนซื้อหนังสือเหล่านั้นมาฉันซื้อมาด้วยราคาเต็ม หรือลด 10% ตามสถานะสมาชิก แต่เวลาขายออกไปฉันต้องขายราคาต่ำกว่านั้น 2-3 เท่า ด้วยสภาพหนังสือและความต้องการทางการตลาด โดยปกติแล้วเวลาฉันหาซื้อหนังสือฉันมักไปเลือกเองที่ร้าน ฉันชอบการสัมผัส ดมกลิ่นหนังสือใหม่ เปิดดูคร่าวๆ พลิกไปพลิกมาก่อนที่จะเอาไปจ่ายตังค์ที่เคาท์เตอร์ แต่ในขณะที่ฉันกำลังนั่งรถไฟฟ้าไปโรงพยาบาลในวันหนึ่ง ฉันก็เข้าไปในเว็บขายหนังสือออนไลน์ชื่อดัง ในนั้นมีโปรโมชั่นซื้อ 1-3 เล่ม ลด 15% ถ้าซื้อ 4 เล่มขึ้นไปลด 20% ฉันเกิดความคิดที่ว่า ถ้าฉันซื้อจำนวนเยอะๆ ได้ราคาลด 20% แล้วฉันเอาหนังสือเหล่านั้นมาขายในสภาพมือหนึ่งโดยขายในราคาลด 10% ล่ะ จะมีคนมาซื้อมั้ย ฉันจะได้กำไรถึง 10% ต่อเล่มเลยนะ ฉันไม่รอช้าที่จะซื้อหนังสือล็อตแรกเข้ามาลองขายในไอจี ต้องบอกเลยว่าเป็นความคิดที่เสี่ยงมาก เนื่องจากฐานลูกค้าในไอจีของฉันเป็นคนที่รักการอ่าน แต่ต้องการลงทุนไปกับหนังสือให้น้อยหรือคุ้มค่าที่สุด หนังสือมือสอง มือสาม จึงถูกต้องกับความต้องการของพวกเขามากกว่า ถึงอย่างนั้นฉันก็ลองวิธีที่ฉันคิดอยู่พักใหญ่ ความคิดเรื่องกำไร-ขาดทุนค่อยๆพอกพูนในหัวของฉันทีละเล็กทีละน้อย ฉันเริ่มคิดไปถึงการซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์ในราคาที่ลดราคามากกว่านั้น และเอาลงมาขายในไอจีมันจะเกิดอะไรขึ้น ความคิดนี้อยู่ในหัวของฉันสลับกับความคิดฆ่าตัวตาย ความสิ้นหวัง เศรษฐกิจตกต่ำ การกินยาประคองอาการของฉัน มันจึงยังเป็นความคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งวันที่ออกจากห้องฉุกเฉินหลังกินยาเบื่อหนู
    ความประจวบเหมาะทางความคิด เศรษฐกิจ อาการป่วย การทะเลาะกับเพื่อนสนิทในคอนโดเดียวกันและอะไรอีกหลายๆอย่างทำให้ฉันตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้าน ฉันเสนอเรื่องรีโนเวทบ้านให้กลายเป็นร้านหนังสือให้หมอ C ฟัง และหมอ C เสนอตัวเป็นคนบอกไอเดียนี้ให้แม่ของฉันรู้ น่าแปลกใจที่แม่เห็นด้วยเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะช่วยเหลือในทุกทาง ระหว่างนั้นฉันเตรียมตัวติดต่อสำนักพิมพ์ต่างๆ ซื้อหนังสือมาตุน และเพิ่มฐานลูกค้าในไอจี ฉันรู้เป็นอย่างดีว่าคนแถวบ้านฉันไม่มีใครเข้ามาอ่านหนังสือในร้านของฉันแน่ๆ ฉันจึงยังยึดการขายหนังสือในไอจีไว้อย่างเหนียวแน่น ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเปิดบ้านให้กลายเป็นร้านหนังสือเพียงเพราะมันก็ยังดีกว่าเก็บหนังสือไว้ในลังหลังบ้านโดยไม่มีใครเห็น การรีโนเวทบ้านใช้ค่าใช้จ่ายมากกว่าที่แม่คิดเอาไว้ แม่จึงเริ่มบ่นๆเรื่องค่าใช้จ่ายในหลายทางที่เข้ามา ไม่ว่าจะค่าใช้จ่ายของแม่เอง ของฉัน และการรีโนเวทร้าน แน่นอนว่าคำพูดแต่ละคำของแม่มันฝังในใจฉันและบั่นทอนความคิดทางธุรกิจของฉันลงไปทีละเล็กละน้อย ฉันไม่โทษแม่ของฉันเลย เพราะสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง และฉันคิดว่าคนที่ทำธุรกิจของตัวเองได้อย่างเจริญรุ่งเรืองควรจะมีจิตใจที่มั่นคงกว่านี้ ไม่ใช่คนที่มีโรคจิตเวชอย่างฉัน
    ฉันทิ้งทุกอย่างไว้ที่กรุงเทพและกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่บ้าน บ้านครึ่งหนึ่งถูกทาสีใหม่ตามที่ฉันต้องการ ชั้นวางหนังสือใหม่ถูกติดตั้งอย่างสวยงาม ฉันจัดวางหนังสือทั้งมือหนึ่งและมือสองที่ขนมาจากกรุงเทพขึ้นชั้นหนังสือ และยังไม่ลืมขยันโพสหนังสือลงในไอจีทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าลูกค้าน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ฉันเริ่มหันมาขายหนังสือมือหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะขายในราคาลด 10% ก็ตาม ความเครียดจากการค้าขายสั่งสมลงไปในสมองของฉันเรื่อยๆอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัว ฉันหันกลับมาจับธุรกิจการจัดส่งสินค้าที่บ้านเพื่อช่วยพะยุงค่าใช้จ่ายและรายได้ แต่การทำธุรกิจนี้มันไม่ง่ายเลย ติดต่อไปที่ไหนๆก็ติดปัญหาไปเสียทุกครั้ง ความเครียด ความวิตกกังวล ถาโถมเข้ามาจนฉันตั้งตัวไม่ทัน น้ำตาของฉันไหลลงมาไม่ขาดสาย
    "จะร้องไห้ทำไมอ่า เรื่องแค่นี้เอง" เสียงของพ่อดังเข้ามาใส่หู 
    "อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้องไห้" เสียงของแม่เข้ามาสมทบ ในคืนนั้นฉันซัดยาเกินขนาดเข้าไป โดยเป็นยาแก้วิตกกังวลแผงละ 14 เม็ด 2 แผง ยาช่วยนอนหลับอีกนับไม่ถ้วน รู้แต่ว่าหมดทุกแผงที่หมอให้มา และไม่ลืมที่จะสั่งเชือกไนลอนขนาด 10 เมตรมาจากเว็บขายของเว็บเดิม โชคดีที่บ้านของฉันมีขื่อสูง เหมาะแก่การผูกคอฆ่าตัวตาย แผนธุรกิจอันสวยงามและแผงหนังสือที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบไม่สามารถช่วยดึงฉันไว้ได้อีก ฉันคิดจะไปขอโทษหมออีกครั้ง และหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ทุกอย่างมันจะได้ผลอย่างงดงาม

    'เมื่อวันนั้นที่หมอเรียกแม่เข้ามาคุยในห้องด้วยกัน และบอกแม่ว่ามอบหมายหน้าที่ในการจัดยากินเองให้กับฉัน ฉันขอขอบคุณมากนะคะที่หมอไว้ใจฉันขนาดนั้น และขอโทษหมอจากใจจริงที่ฉันทำลายความไว้ใจของหมอให้พังทะลายจนหมดสิ้น ฉันกินยาเกินขนาดอีกแล้วค่ะ ครั้งนี้เกินไปเยอะเสียด้วย ไม่มีใครพาฉันไปล้างท้องหรือไปหาหมอที่ไหนหรอกค่ะ ฉันแค่นอนหลับไปและตื่นขึ้นมาพร้อมความทุกข์เหมือนเช่นทุกวัน ฉันขอขอบคุณหมอในไอเดียการเปิดร้านหนังสือในฝันของฉันด้วย ฉันไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งฝันของฉันจะเป็นจริง แต่น่าเสียดายที่ฉันคงแบกรับความฝันที่ยิ่งใหญ่นี้ไว้ไม่ไหว ธุรกิจที่ก้าวหน้าไปได้อย่างสวยงามย่อมต้องผ่านขวากหนามที่แหลมคม ฉันเข้าใจข้อนี้ดี แต่คนที่ผ่านความแหลมคมของขวากหนามเหล่านั้นไปได้ คงไม่ใช่คนเช่นฉัน ฉันอยากทะลายกองดองหนังสือของตัวเองให้หมดก่อนจากไป แต่มันคงเป็นไปได้เพียงแค่ความคิด แค่ฉันได้เสพงานของฮิงาชิโนะ เคโงะก่อนตายฉันก็มีความสุขแล้ว ฉันมีความสุขมากและทุกครั้งที่ได้คุยกับหมอ หมอเป็นผู้รับฟังและที่ปรึกษาปัญหาที่ดีให้ฉันเสมอมา ฉันไม่รู้จะขอบคุณและขอโทษหมอยังไง ฉันขอฝากบล็อคนี้ไว้ให้หมอได้อ่านเมื่อฉันจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หมอบอกว่าไม่เคยมีคนไข้คนไหนของหมอเลยที่ฆ่าตัวตาย ครั้งนี้ฉันขอโทษจริงๆที่เป็นคนทำลายสถิตินั้น แต่อยากให้หมอได้รู้ว่าตลอดมาหมอรักษาฉันเป็นอย่างดีและเต็มที่แล้ว ชีวิตของฉันคงเดินมาได้แต่เพียงเท่านี้ ไม่ใช่เพราะการรักษาของหมอไม่ดี แต่มันเป็นการตัดสินใจของฉันเอง ฉันขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งอย่างค่ะ'

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in