หลังจากเจอภาวะทางเศรษฐกิจและโรคระบาดโควิดซัดเข้าให้อย่างเต็มตัว ฉันเริ่มคิดขึ้นมาอีกแล้วว่า หรือฉันจะตายไปเลยดีกว่า การตายมันเป็นสิทธิของฉัน ฉันถึงขนาดเขียนในจดหมายลาตายว่า
Suicidal is Personal Human Rights
มีวันหนึ่งที่เป็นวันสุขภาพจิตโลกคือวันที่ 10 ตุลาคม ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันฉันไปฟังสัมมนาเกี่ยวกับการป้องกันการฆ่าตัวตายในมนุษย์ (แน่ล่ะ) ฉันเลยเกิดคำถามว่า ทำไมต้องช่วยคนที่คิดฆ่าตัวตายวะ ทำไมต้องพังประตู งัดห้อง ปีนบันได หรืออะไรก็ตามแต่เพื่อไปช่วยคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายด้วย ทำไมเราทุกคนไม่มีสิทธิในตัวเองที่จะตัดสินได้ว่าเราจะเป็นหรือจะตายตอนไหน อย่างไร ฉันคิดว่าถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน การฆ่าตัวตายมันก็คือทางเลือกหนึ่งของชีวิตคนเรานะ คงจะมีใครมาบอกว่า 'เฮ้ย! แต่เธอกำลังทำให้ครอบครัวและคนใกล้ตัวเสียใจนะ' ก็ใช่ไง แต่ตายเพราะมะเร็งครอบครัวก็เสียใจ ตายเพราะไข้เลือดออกคนใกล้ตัวก็เสียใจ ถ้าไม่ว่าจะตายยังไงครอบครัวและคนรอบตัวก็เสียใจ การฆ่าตัวตายก็เป็นแค่อีกวิธีหนึ่งที่จะหยุดลมหายใจคนเราก็เท่านั้นเอง ทำไมเราไม่มองว่าการฆ่าตัวตายมันก็คือการตายจากโรคทางจิตเวชไง เหมือนโรคมะเร็งหรือโรคเอดส์นั่นแหละ มันเป็นโรคทางกายที่เกี่ยวเนื่องกับสารสื่อประสาทในสมองหลั่งผิดปกติไม่ใช่ความอ่อนแอ ความสิ้นหวังอย่างที่ใครเขาคิดกัน เพราะฉะนั้นฉันอยากให้ทุกคนเปิดโอกาสให้คนเราสามารถเลือกเวลาตายของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ
ปล. ในงานศพขออย่าให้มีพระสวด ฉันไม่เชื่อและไม่ชอบ ฉันได้บันทึกเพลงลงในแอพ Spotify ไว้หมดแล้ว ให้เปิดเพลลิสต์ที่ชื่อ 'งานศพ'
ปล2. ภาพของฉันในงานศพขอให้เป็นภาพติดบัตรที่ถ่ายล่าสุดจากร้านเพชรศิลป์ ฉันชอบลิปสติกสีนั้น
ปล3. ฉันอยากกินชาเย็นทุกวันเชงเม้ง
หลังจากที่ฉันเขียนจดหมายลาตายกึ่งๆวิชาการจบลงฉันก็เริ่มกระวนกระวายและอยู่เฉยไม่ได้ ฉันเดินไปเดินมาทั่วห้องในหัวคิดแต่เพียงว่าคราวนี้ฉันจะตายอย่างไรดี ฉันมองขึ้นไปบนเพดาน แต่ไม่มีขื่อหรือคานให้ฉันผูกคอได้เลย ฉันเดินไปที่ระเบียงและมองลงไปข้างล่าง ถ้ากระโดดลงไปก็ติดสายไฟฟ้าไม่น่าจะตาย ทันใดนั้นฉันได้ยินข่าวรายงานว่า มีคนใจบาปใช้ยาเบื่อหนูผสมกับอาหารให้หมากินจนตายเป็นเบือที่วัดแห่งหนึ่ง หลอดไฟอันสว่างเจิดจ้าส่งเสียง ปิ๊ง! ดังขึ้นบนหัวฉัน ฉันรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอง กดซื้อยาเบื่อหนูจากแอพช็อปปิ้งชื่อดังแอพเดิม
ไม่กี่วันต่อมามีพัสดุมาส่งที่นิติบุคคล ฉนรีบออกไปรับแล้วซื้อลาบหมูสับกับอเมริกาโน่เย็นหวานน้อย 2 แก้ว ฉันหอบหิ้วอาหารพะรุงพะรังขึ้นมาบนห้อง จัดแจงแกะห่อพัสดุมีกระป๋องยาเบื่อหนูเล็กเท่าฝ่ามือข้างใน ข้างกระป๋องเขียนว่า ซิงค์ฟอสไฟด์ ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคือสารอะไร เพราะฉันสอบตกวิชาเคมีสมัยมอปลายทุกครั้ง ฉันรู้เพียงว่าถ้ามันเข้าไปทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหาร และซึมเข้ากระแสเลือดแล้วจะทำให้เลือดแข็งตัว ใจสั่น เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายไม่ได้ และตายลงในที่สุด อาจจะต้องใช้เวลาและความอดทนสักหน่อย ฉันจัดการเปิดกระป๋องและผสมผงยาเบื่อหนูสีดำเข้ากับลาบหมูสับและอเมริกาโน่ทั้ง 2 แก้ว ฉันตักลาบหมูเข้าปากคำแรกอ้วกแทบพุ่ง ไม่อร่อยเอาเสียเลย ไม่รู้เพราะลาบหมูไม่อร่อยหรือเพราะยาเบื่อหนูกันแน่ ทันใดนั้นฉันล้างปากด้วยอเมริกาโน่เย็นหวานน้อย ยาเบื่อหนูที่ฉันผสมลงไปไม่ละลายน้ำทำให้ในปากของฉันมีแต่ความกรุบกรอบของเจ้าผงนั้น ฉันต้องฝืนกลืนเข้าไปพร้อมทั้งน้ำตา ในวินาทีนั้นฉันแทบไม่คิดถึงความตายเสียแล้ว ฉันคิดเพียงแค่ว่าต้องฝ่าฟันอุปสรรคอันกรุบกรอบนี้และจัดการอาหารให้หมดให้เร็วที่สุด
หลังจากฉันกินลาบหมูสับและอเมริกาโน่เย็นทั้ง 2 แก้วหมดแล้วฉันล้างปากด้วยบานอฟฟี่ที่ไม่ผสมยาเบื่อหนู รสชาติความหวานของกล้วยและครีมช่วยให้ฉันสามารถกลืนยาเบื่อหนูที่ติดค้างตามกระพุ้งแก้มลงคอไปได้อย่างดี ฉันนั่งดูหนังทาง Netflix อย่างสบายใจหลังจากที่จัดการอาหารทั้งหมดออกไปแล้ว ความคลื่นเหียนอยากจะอาเจียนปรากฏขึ้นมาเป็นพักๆแต่ฉันก็กล้ำกลืนมันกลับลงไปได้ จนกระทั่งผ่านไป 1 ชั่วโมง อาเจียนกองใหญ่พุ่งออกมาจากปากอย่างรวดเร็วจนฉันหยิบถังขยะแทบไม่ทัน อ้วกเลอะโซฟาและพื้นไม้ลามิเนตไปเสียครึ่งห้อง ฉันรีบทำความสะอาดและใช้ผ้าเช็ดของเสียทั้งหมด อ้วกออกมามากมายขนาดนี้ฉันจะตายไหมนะ ในหัวของฉันคิดเพียงเท่านั้นในขณะที่มือกำลังซับเศษซากลาบหมูออกไปจากพื้น
ฉันเตรียมเก็บข้าวของลงในกระเป๋าเตรียมไปทำ Art Therapy ที่โรงพยาบาลตามนัดในเวลาบ่าย 2 ฉันเดินเซไปเซมาจากความคลื่นเหียนไปเรียกแท็กซี่และไม่ลืมที่จะเตรียมถุงขยะไปด้วยเผื่ออาเจียนกลางทาง
"ทำไมวันนี้ดูสีหน้าไม่ดีเลยล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง" พี่ T เจ้าของคลาสถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของฉัน
"อย่างนั้นเหรอคะ" ฉันตอบเพียงเท่านั้นแล้วนั่งลง
"ไหนลองเล่าให้พี่ฟังซิว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาไปเจออะไรมาบ้าง" พี่ T เริ่มต้นคลาส
ฉันเล่าเรื่องไปเรื่อยๆสลับกับยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองด้วยความพะอืดพะอม พี่ T ตัดสินใจไปตามพยาบาลเข้ามาดูอาการของฉัน
"ไปกินอะไรมาเนี่ย" พยาบาลถามขึ้น
"ยาเบื่อหนูค่ะ" ฉันบอกทั้งน้ำตาและคิดว่ามันคงซึมเข้ากระแสเลือดจนเกินจะช่วยเหลือแล้ว
ฉันถูกพาไปห้องฉุกเฉินทันทีด้วยเตียงผู้ป่วย ในห้องฉุกเฉินนั้นฉันอาเจียนออกมาอีก 4 ครั้ง ทุกครั้งอาเจียนของฉันจะเป็นสีดำ พยาบาลกุลีกุจอใส่สายน้ำเกลือให้ฉันพร้อมทั้งสอดสายยางเข้าทางจมูกเพื่อล้างท้อง
"อึ๊บไว้นะครับ อึ๊บไว้ อย่าอ้วกออกมา อีกนิดเดียวเท่านั้น" บุรุษพยาบาลพูดกับฉันขณะกำลังยัดชาโคลลงท่อสายยาง
หลังจากให้ Activated Charcoal ไปเป็นที่เรียบร้อยฉันก็นอนเป็นผักอยู่อย่างนั้น 3 วัน 2 คืนโดยที่ห้ามกินอะไรทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นน้ำหรืออาหาร พยาบาลเข้ามาเจาะเลือดของฉันไปตรวจทุกๆ 6 ชั่วโมงเพื่อดูว่าเลือดของฉันทำปฏิกิริยากับสารซิงค์ฟอสไฟด์หรือไม่
วันสุดท้ายก่อนที่ฉันออกจากห้องฉุกเฉินเป็นวันที่ฉันต้องไปพบหมอ C พอดี ฉันจึงร้องขอให้หมออายุรกรรมปล่อยตัวฉันไปพบจิตแพทย์อย่างที่ฉันต้องการ หมอยอมใจดีปล่อยฉันออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมบัตรนัดในอีก 6 วันต่อมาเพื่อตรวจเลือดอีกครั้งหนึ่ง ส่วนด้านครอบครัวและญาติๆของฉันถึงแม้จะตกใจจนต้องบินตรงมาจากต่างจังหวัดแต่ดูเหมือนพวกเขาจะชินชากับอาการของฉันเสียแล้ว
มีวันหนึ่งที่ลูกพี่ลูกน้องของฉันเข้ามาเยี่ยมถึงในห้องฉุกเฉิน เสียงถอนหายใจดัง ‘ฮื้มมม’ ดังออกมาจากเขาหลังจากที่ฉันบอกไปว่ากินยาเบื่อหนู ลมหายใจจากความเบื่อหน่ายเพียงนิดเดียวนั้นมันกรีดหัวใจของฉันจนเป็นแผลขนาดใหญ่ คนรอบตัวฉันคงเอือมระอาต่อการกระทำของฉันไปเสียแล้วสินะ ถึงอย่างนั้นความคิดฆ่าตัวตายของฉันก็ยังไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะผ่านบทเรียนมาซักเท่าไหร่ ล้างท้องมาซักกี่ครั้งฉันก็ยังหาวิธีฆ่าตัวตายใหม่ๆอยู่ดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in