"ฮัลโหลพี่จะโทรมาเรื่องนัดครั้งต่อไปกับหมอ" เสียงพี่ T ดังขึ้นจากปลายสาย
"ตอนนี้เขาปิดเมืองค่ะ คงไม่ได้ไปหาหมอตามนัด" ฉันบอกด้วยความกังวล
"ใช่ วันนี้พี่เลยจะโทรมาให้โหลดแอพนึงที่เอาไว้คุยกับหมอทางวิดีโอคอลได้" โห!สมัยนี้เขาพัฒนากันไกลขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย
สรุปว่าฉันมีนัดคุยวิดีโอคอลกับหมอ C ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ฉันต้องโหลดแอพพลิเคชั่น 2 แอพด้วยกัน หนึ่งเอาไว้ใช้จัดการเรื่องจ่ายเงินและรับยาอีกแอพเอาไว้ใช้คุยกับคุณหมอ ชื่อแอพ Teleclinic ตรงตัวเข้าใจง่ายการตรวจมันจะออกมาเป็นยังไงก็เกินความคาดเดาของฉัน
ระหว่างที่ฉันรอคุยกับหมอ C ทางมือถือฉันก็ส่งอีเมล์ไปถามหมอ A เรื่องที่ฉันอาจขาดยาในล็อตต่อไปถ้าโรงพยาบาลส่งยามาให้ช้า แต่หมอ Aไม่ตอบอีเมล์ฉันเลยตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้นั่นยิ่งทำให้ความคิดชั่วร้ายคืบคลานเข้ามาในสมองอย่างง่ายดาย 'หรือว่าหมอจะรำคาญฉัน' รึไม่ก็ 'หมอไม่อยากคุยกับฉันแล้ว' ฉันคิดวนเวียนเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาทั้งวันแม่บอกว่าหมออาจจะกำลังทดสอบดูว่าถ้าหมอไม่ตอบ ฉันจะอยู่ได้รึเปล่า
ระหว่างที่ฉันกำลังรออีเมล์จากหมอ A พี่ T ก็โทรมาและขอให้ฉันเป็น casestudy ของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนกับพี่ T นักจิตวิทยาคนนี้ชื่อว่าคุณ M เราสองคนต้องใช้วิธีสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เนื่องจากฉันยังกลับไปกรุงเทพไม่ได้'วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ' คือประโยคที่คุณM ทักทายฉันทุกอาทิตย์ ฉันตอบไปส่ง ๆ และไม่ค่อยจริงจังกับการคุยกับเขานักตั้งแต่นั้นมาก็มีคำถามจากคุณ M อย่างนี้ทุกอาทิตย์ไม่รู้ว่าคุณ M จะได้ประโยชน์จากบทสนทนาเหล่านั้นบ้างหรือเปล่า
หลายวันมานี้อยู่ ๆ มันก็รู้สึกว่างเปล่าในจิตใจฉันพยายามเอาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเติมเข้าไปให้เต็ม ไม่ว่าจะเป็นซีรี่ส์ที่ฉันชอบหรือการเล่นกับหลาน ๆ แต่จิตใจก็เติมไม่เต็มเสียที เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นทำให้ฉันคิดไปถึงการเอาใบมีดกรีดเนื้อและการทำร้ายตัวเองรูปแบบต่าง ๆรวมไปถึงการกินยาฆ่าแมลงตอนนี้ในจิตใจฉันเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้อย่างควบคุมไม่ได้จริง ๆ
"ฮัลโหล สวัสดีครับ" เสียงหมอ C ดังออกมาตามสาย"ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ" หมอถามฉันเหมือนที่ถามทุกครั้ง
"รู้สึกโดดเดี่ยวมากค่ะเหมือนไม่มีใครอยู่รอบตัวทั้งๆที่คนในครอบครัวก็คอยเป็นกำลังใจอยู่พร้อมหน้า"
"หมอคิดว่าสาเหตุมันน่าจะมาจากคุณหยุดยาเคตามีนเร็วเกินไปถ้ายังไงตอนเราเจอกันเรามาเริ่มเคตามีนกันใหม่นะครับ ไม่ทราบว่าช่วงนี้ตอนอยู่ที่บ้านคุณทำอะไรบ้างครับ"
"เล่นกับหลาน ๆ ค่ะ"
"แล้วเป็นยังไง มีความสุขไหมครับ"น้ำเสียงของหมอเต็มไปด้วยความคาดหวัง
"มีความสุขค่ะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า น่าสงสารพวกเขานะที่ต้องมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายสิบปี"
"ถ้าให้คุณให้คะแนนความสุขจาก 0 ถึง 10 ไม่ทราบว่าคุณจะให้เท่าไหร่ครับ"
"5 ค่ะ" ฉันนิ่งคิดอยู่นานก่อนจะตอบคำถามของหมอ C ช่วงนี้ชีวิตฉันมีความสุขไหมนะรอยยิ้มทุกวันของฉันมันมาจากความสุขที่แท้จริงในใจ หรือมาจากเปลือกนอกอันฉาบฉวย
เราจบบทสนทนากันอย่างเรียบง่ายก่อนที่ฉันจะวางหูโทรศัพท์ไปและคิดไปถึงคำถามของหมอซ้ำไปซ้ำมาคราวนี้หมอปิดท้ายการตรวจของฉันด้วยการสั่งปรับยาเล็กน้อยเนื่องจากฉันนอนไม่หลับและน้ำหนักขึ้นอย่างพรวดพราด
แท้จริงแล้วความรู้สึกเป็นภาระไม่เคยหายออกไปจากหัวของฉันเลยสิ่งสกปรกที่ฝังอยู่ในหัวของฉัน ความรังเกียจของคนรอบข้าง ความเหน็ดหนาละอาใจมันสะท้อนออกมาจากสายตาคนในครอบครัวฉันในตอนนี้เหมือนถูกใครบางคนถีบให้ออกมายืนท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนบ้านและคนในตลาดเพลงท่อนหนึ่งดังขึ้นในสมองและลอยวนอยู่อย่างนั้นทั้งวันไม่ไปไหน 'เขาบอกว่าฟ้าร้องไห้ออกมาเป็นน้ำฝน' น้ำตาในใจของฉันมันก็หลั่งออกมาเป็นน้ำฝนต้นฤดูแล้วเช่นกัน
หลังจากนั้นอีกหลายวันถัดมาฉันได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งฉันรู้จักเขาเพราะเราแอดมิทในแผนกจิตเวชพร้อมกันเราปรับตัวท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแปลกใหม่ไปด้วยกันหลังจากฉันออกมาจากโรงพยาบาลไม่นาน เธอคนนั้นก็ถูกปล่อยตัวตามออกมาแต่แล้ววันหนึ่งฉันได้รับรู้ว่าเธอกำลังจะฆ่าตัวตายเธอปีนขอบสะพานหวังจะกระโดดแต่ก็มีคนมาช่วยดึงเธอเอาไว้สิ่งนี้ทำให้ฉันคิดวกวนในหัวว่า
ฉันมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ?
ดูอย่างเธอสิว่าเธอทำอะไรลงไปบ้างฉันมันก็แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่ง รึไม่ก็ ฉันคิดถูกแล้วเหรอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป? เรื่องของเพื่อนคนนี้กวนใจฉันตลอดทั้งคืนและทั้งวันในวันถัดไปแต่เมื่อถึงตอนเย็นฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันตายไม่ได้เพราะฉันจองคิวสักไว้แล้วช่วงปลายเดือนพฤษภาคม บางทีชีวิตของฉันมันก็แค่เกิดมาเสพงานศิลปะ และตายไปก็ได้
'แป๊นๆ' เสียงแตรรถไปรษณีย์ดังขึ้นที่หน้าบ้านพ่อผู้เป็นคนชอบสั่งซื้อของออนไลน์รีบวิ่งออกไปหน้าบ้านแต่คราวนี้พัสดุมันมาถึงฉัน ฉันสั่งซื้อหนังสือสองเล่มเมื่อไม่กี่วันที่แล้วเล่มหนึ่งในนั้นชื่อว่า 'เธอไม่ได้อ่อนแอเธอแค่เข้มแข็งมานานเกินไป' ของคุณวินนี่เป็นผู้เขียนหนังสือเป็นแนวให้กำลังใจและบทเรียนในการใช้ชีวิตแนวทางการยอมรับความรู้สึกทั้งอกหักหรือผิดหวัง ฉันร้องไห้เมื่ออ่านไปเรื่อยๆจนจบ
ในตอนแรกนั้นฉันวางแผนไว้ว่าจะเอาหนังสือนี้ไปขายต่อเป็นหนังสือมือสองในร้านค้าของฉันแต่เมื่ออ่านจบลงแล้ว ฉันเปลี่ยนแผนในการจัดการหนังสือนี้ทันทีหนังสือที่ฉันไม่ต้องการแล้วมันกลับมีประโยชน์กับใครสักคนหนึ่งที่กำลังสิ้นหวังกับชีวิตฉันเดินไปหยิบปากกาและกระดาษก่อนเขียนเป็นจดหมายไปถึงเพื่อนผู้ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ
ถึง...คุณ D
เป็นยังไงบ้างช่วงนี้สุขภาพใจดีขึ้นบ้างไหม เราเห็นรูปและเรื่องราวของคุณในไอจีแล้วนะเรายอมรับว่าเรื่องราวของคุณมันส่งผลกับสุขภาพจิตของเราเราเลยพยายามไม่เปิดเข้าไปอ่าน แต่ทุก ๆ ครั้งที่มีข่าวคนฆ่าตัวตายเราลุ้นมากนะขอให้มันไม่ใช่คุณ
เรามีหลานตัวเล็ก ๆ อยู่คนหนึ่งอายุประมาณ 1 ขวบเศษ ๆกำลังหัดเดินได้ไม่นาน เด็กมักเดินเซไปเซมาทั้งเดินไปหน้าและถอยหลังตามแต่เสียงเชียร์ของผู้ใหญ่พอล้มลงก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "เอ้า ไม่เป็นไร ๆ ลุกขึ้น ๆ"แล้วเด็กก็จะลุกขึ้นมาเดินต่อ เราสังเกตว่าทุกครั้งที่เด็กล้มเค้าจะลุกขึ้นมาเดินต่อได้เสมอ ก้าวแต่ละก้าวจะมีผู้ใหญ่คอยเชียร์อยู่ข้างหลังตลอด
ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณเคยเป็นอย่างเด็กคนนี้ล้มลงไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ยังลุกขึ้นมาเดินต่อจนเดินได้มั่นคงอย่างทุกวันนี้คุณเก่งมากที่ผ่านอุปสรรคตรงนั้นมาได้โรคของคุณอาจจะทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่เหลือใครแต่เชื่อเถอะลองมองหันหลังกลับมา คุณจะพบผู้คนมากมายที่เป็นกองเชียร์อยู่ข้างหลังคุณเสมอ
รักและคิดถึง
L
เช้าวันหนึ่งในขณะที่ฉันกำลังนั่งรอซื้ออาหารเช้าเดลิเวอรี่อยู่ที่บ้านจู่ ๆ ก็รู้สึกว่างเปล่าในหัวใจยังไงบอกไม่ถูก ถ้ามีคนมาพบเห็นเขาก็คงจะบอกกันว่า 'โอ๊ย! ว่างเปล่าอะไรไร้สาระ หัดช่วยแม่ทำงานบ้านบ้างสิหัดช่วยพ่อขายของบ้างสิ' พวกเขาคงไม่เคยเห็นซอมบี้ทำความสะอาดบ้านร่างกายทำตามคำสั่งของแม่ แต่จิตใจฉันไม่รู้ว่าทำตามคำสั่งของใครความว่างเปล่าในจิตใจของฉันเป็นเหมือนรูโหว่ใหญ่ ๆ ที่ไม่สามารถหาอะไรมาเติมเต็มได้นอกจากความเจ็บปวดจากการทรมานตัวเอง ฉันเลิกพฤติกรรมนั้นไปนานแล้วแต่เมื่อจิตใจต้องการความเจ็บปวดทางกายอีกฉันต้องใช้พลังงานหลายพันกิโลแคลอรี่เพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองทำร้ายร่างกายได้มันช่างทรมานเหลือเกิน
ฉันท่องอินเทอร์เน็ตไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ 'มนุษย์กรุงเทพฯ'เป็นหนังสือรวมคำสัมภาษณ์จากคนที่หลากหลายอาชีพทั่วกรุงเทพฉันกดซื้ออย่างไม่ลังเล วันที่หนังสือส่งมาถึงบ้านฉันก็เปิดอ่านด้วยความอยากรู้บทสัมภาษณ์ในหนังสือมันช่างเรียบง่าย ไม่ว่าจะสัมภาษณ์คนดัง, คนข้างถนน, นักวิ่งที่สวนลุมฯหรือแม่ค้าขายของข้างทาง เนื้อหาในเล่มมันทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นว่าชีวิตคนมันก็เท่านี้แหละ มีลมหายใจอยู่บนเส้นด้ายที่ต่อยาวไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดจะมีคนมาตัดเส้นด้ายแห่งชีวิตของเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แค่ก็ใช้ชีวิตไปวัน ๆสู้ชีวิตบ้าง ท้อแล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่บ้าง ชีวิตนี้ช่างว่างเปล่าสิ้นดีถ้าใครมาเห็นฉันในตอนนี้คงเห็นแค่ผู้หญิงที่ไฟสู้ชีวิตในดวงตามันมอดดับลงไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับมาลุกโชติช่วงได้อีกครั้ง
"เนื้อร้ายในตัวคนเรานี่อยู่กี่วันถึงจะตายคะ"ฉันอยากถามหมออย่างนี้สักครั้งถ้าได้เจอหน้ากันขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสือที่ซื้อจากร้านออนไลน์ สมองฉันก็คิดไปถึงเพื่อนคนหนึ่งที่เมื่อ3-4 ปีที่แล้วเขาพบเนื้อร้ายในร่างกายและเป็นมะเร็งครั้งแรกที่ฉันได้รู้ข่าวก็มีความคิดว่า 'เฮ้ย!ทำไมไม่เป็นเรา, โชคดีจังเลยนะที่ได้ตายโดยไม่ต้องฆ่าตัวตายให้เป็นตราบาปของชีวิต'แทนที่จะห่วงเพื่อนฉันกลับคิดอกุศลว่า ถ้าฉันเป็นนะฉันจะไม่ยอมรักษาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันจะใช้ชีวิตอยู่กับเนื้อร้ายจนวาระสุดท้ายของชีวิตทุกวันนี้เพื่อนของฉันคนนั้นยังคงมีชีวิตปกติสุขดี เนื้อร้ายโดนผ่าออกไปและทำคีโมรักษามะเร็งจนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้แล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in