** Spoiler Alert **
ตามรอยหนังของหว่อง กาไว
แวะเมืองเสียมราฐในกัมพูชาก็ได้
ถ้าไม่อยากไปไกลถึงฮ่องกง.
ตัดสินใจไปเมืองเสียมราฐที่กัมพูชา เพื่อตามรอยหนังเรื่อง In The Mood For Love ของ หว่อง กาไว ผู้กำกับชาวฮ่องกง เพราะยังไม่เคยเห็นคนไทยเขียนถึงเรื่องการตามหาเสารูแห่งความลับของคุณโจวมาก่อน...
1. In The Mood For Love
พูดถึงสไตล์หนังของผู้กำกับชื่อดังชาวฮ่องกง 'หว่อง กาไว' ก็คงจะต้องนึกถึงหนังโทนเหงาๆ เศร้าๆ เปล่าเปลี่ยว เซื่องซึม เงียบงันราวกับปลูกป่าช้าไว้ในใจ หนังทุกเรื่องของหว่องจะมีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องของความเหงา ความแปลกแยก และความทรงจำที่เชื่อมโยงเข้าหากัน จนทำให้ผู้ชมหลงใหลไปกับเสน่ห์ของความเดียวดายเหล่านี้ แต่ทว่าหากสังเกตให้ดีจะพบว่าตัวละครหลักของหว่องต่างก็โหยหาสัมพันธภาพที่มั่นคง รวมไปถึงไขว่คว้าหาการฝากฝังตัวตนก่อนที่มันจะหล่นหายไป
เรื่อง Chungking Express (1994) เป็นหนังของหว่องที่เราชอบมากที่สุด แต่ถ้าถามถึงงานชิ้นโบว์แดงที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันก็คงเป็น In The Mood For Love (2000) ที่โดดเด่นด้านงานภาพระดับมาสเตอร์พีซจากฝีมือของ คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ช่างภาพคู่ใจหว่อง มู้ดและโทนสีของหนังก็เป็นเอกลักษณ์ เนื้อเรื่องก็น่าจะดูง่ายกว่าเรื่องอื่นๆ แต่กลับมีการผูกเรื่องที่จะนำไปสู่การตั้งคำถามเรื่องความรักและกรอบศีลธรรมได้อย่างน่าสนใจ
In The Mood For Love เล่าเรื่องราวความรักต้องห้ามของ
โจวหมู่หวัน และ
ซูวไหล่เจิน ที่ต่างแต่งงานมีครอบครัวแล้ว และพบว่าคู่ครองของตัวเองลักลอบเป็นชู้กัน ทั้งคุณโจวและคุณนายเจินต่างตกอยู่ในความเจ็บปวด จนกระทั่งเกิดความเห็นใจและตกหลุมรักกันเองในที่สุด แต่คำถามคือทั้งคู่ควรเลือกอะไรระหว่าง
เสียงของหัวใจ หรือ
กรอบจารีต ? โดยมีบรรยากาศของฮ่องกงในยุค 60s เป็นฉากหลัง แม้ว่าเค้าโครงเรื่องจะดูธรรมดาแต่ขึ้นชื่อว่าหนังหว่องแล้วมันมีเสน่ห์ให้ติดตามเสมอเนื่องจาก In The Mood For Love เป็นหนังที่ค่อนข้างมี
'พื้นที่อิสระ' ให้ผู้ชมได้ตีความท่ามกลางความคลุมเครือของตัวละคร นอกจากนี้ยังมีสุนทรียภาพด้านดนตรีที่ขับอารมณ์ให้หนังมีท่วงทำนองที่น่าจดจำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเพลงภาษาสเปน
Quizas, Quizas, Quizas ของ Nat King Cole หนึ่งใน Ost. ของหนัง น่าจะเป็นเพลงที่เข้ากับบรรยากาศและอธิบายความรูัสึกของคุณโจวออกมาได้ดีทีเดียว
___________________________________________________________________________________________________
2. มีฉากหนึ่งถูกตัดออกไป หลายคนอาจไม่เคยรู้
สุดท้ายแล้วคุณโจวเลือกที่จะเดินทางไปสิงคโปร์และทำงานข่าวประจำอยู่ที่นั่น เขาเคยเล่าเรื่องราวเก่าแก่เรื่องหนึ่งให้อาปิงเพื่อนของเขาฟังว่า...
"ในอดีต หากใครมีความลับแล้วไม่อยากให้คนอื่นรู้ เขาจะปีนขึ้นไปบนภูเขา หาต้นไม้สักต้นแล้วเจาะรูที่ต้นไม้ กระซิบบอกความลับกับรูนั่น จากนั้นก็เอาโคลนมาอุดรู ด้วยวิธีนี้จะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความลับนั้นได้"
"Do you know what people did in the old days when they had secrets they didn't want to share ? They'd climb a mountain, find a tree, carve a hole in it, whisper the secret into the hole and cover it up with mud. That way, nobody else would ever learn the secret"
แต่แล้วยุคสมัยเปลี่ยนผ่านไป ซึ่งเราสังเกตได้จากฟุตเทจเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศกัมพูชา คุณโจวก็ได้เดินทางไปยังนครวัด พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าแก่เรื่องนั้นขึ้นมา คุณโจวได้บรรจงกระซิบความลับลงไปยังรูรูหนึ่งบนปราสาทหินโบราณแห่งนี้ และใช้โคลนอุดรูนั้นไว้ก่อนจะเดินจากไป
อันที่จริงก่อนจะถึงฉากกระซิบความลับ มีอีกฉากหนึ่งที่โดนตัดออกไปจากหนัง (
คลิกชมที่นี่) เป็นตอนที่คุณโจวได้บังเอิญพบกับคุณนายเจินที่นครวัด โดยก่อนจะแยกย้ายกัน คุณโจวถามว่า
"มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้มาตลอด คุณได้โทรหาผมบ้างหรือเปล่า ?" คุณนายเจินนิ่งเงียบและตอบกลับว่า
"ฉันลืมไปหมดแล้ว" และเดินจากไป ซึ่งเหตุนี้เองทำให้คุณโจวเดินไปหารูกระซิบความลับ ซึ่งต่อมาเฮียหว่องแกก็เอาไปแถต่อในหนังเรื่องต่อมา หากใครอยากจะเปิดรูแห่งความลับของคุณโจวก็ต้องตามไปดูเรื่อง 2046
_____________________________________________________________________________________________________
3. ทำไมต้องเป็นนครวัด ?
ฉากจบของ In The Mood For Love เป็นฉากที่ดีพและน่าจดจำอย่างยิ่ง หนังเรื่องนี้ใช้โลเกชั่นถ่ายทำใน 3 ประเทศคือ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง (ประเทศจีน) ,
ย่านเจริญกรุง (ประเทศไทย) และนครวัด (ประเทศกัมพูชา) แล้วทำไมต้องเลือก
'นครวัด' ให้เป็นสถานที่ฝังความลับของคุณโจว ?
นครวัด ถือว่าเป็นศาสนสถานทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีอายุเก่าแก่เกือบ 1,000 ปี แม้จะทรุดโทรม แต่ปราสาทหินแห่งนี้ก็ตั้งโดดเด่นมาเป็นเวลายาวนานหลายช่วงอายุคน การที่คุณโจวเลือกกระซิบความลับไว้ ณ นครวัด ก็เป็นนัยว่าความลับนั้นจะถูกฝังไว้ที่นี่ตลอดกาล นอกจากนี้นครวัดก็ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับตัวละครอย่าง 'โจวหมู่หวัน' ชายผู้มีความหลังที่ต้องเก็บซ่อนความรักที่เป็นไปไม่ได้ไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียว ซากปรักหักพังที่ทรุดโทรมก็เปรียบเสมือนหัวใจที่แตกสลายของคุณโจวนั่นเอง แม้เวลาจะล่วงผ่านไป แต่เขากลับเหนี่ยวรั้งความทรงจำเอาไว้ เหมือนดั่งข้อความตอนหนึ่งที่ปรากฎในหนัง (สำนวนแปลโดย :
คุณต่อ-คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง)
"ชายผู้นั้นยังคงจดจำกาลเวลาที่สูญสลายหายไป
เปรียบดั่งเพ่งพิศมองบานกระจกที่ปกคลุมด้วยฝุ่น
อดีตนั้นคือสิ่งมองเห็นได้ แต่มิอาจสัมผัส
และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันช่างเลือนรางเหลือเกิน”
“He remembers these vanished years.
As though looking through a dusty window pane,
the past is something he could see but not touch.
And everything he sees is blurred and indistinct."
คุณโจว ผู้ยังไม่ยอมผละออกจากห้วงแห่งรัก คือเงาสะท้อนของผู้ไม่อาจก้าวข้ามอดีตภายในใจและเลือกที่จะกระซิบความลับแห่งรักที่สูญสลายไว้ที่แห่งนี้ ในขณะที่คุณนายเจินคือตัวแทนของผู้ที่สามารถก้าวข้ามอดีตเพราะเธอเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าหว่อง กาไวได้หยิบยกประเด็นธรรมดาสามัญมาขยี้ให้ตัวละครต้อง 'กระทำความหว่อง' กันถ้วนหน้า เข้าคอนเซปต์ของเฮียหว่องที่เคยบอกไว้ว่า
"แม้แต่เวลาที่ว่ารักษาได้ทุกอย่าง หัวใจที่แตกสลายก็ยังเป็นข้อยกเว้น"
_____________________________________________________________________________________________________
4. ตามหา 'รูกระซิบความลับ' ของคุณโจวที่นครวัด
เห็นแฟนหนังหว่องส่วนใหญ่ไปตามรอยหนังกันที่ฮ่องกง แต่ความจริงแล้วสถานที่ใกล้ๆอย่าง 'นครวัด' ในเมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ก็เป็นอีกหนึ่งพิกัดที่อาจถูกมองข้ามไป เราเสิร์ชหาในเน็ตไม่เจอข้อมูลภาษาไทยเลย แต่เชื่อว่าเคยมีคนไทยไปตามหา 'รูกระซิบ' นี้กันแล้วล่ะ โดยเฉพาะชาวหว่องทั้งหลาย แต่เมื่อสืบค้นข้อมูลภาษาอังกฤษก็พบว่ามีนักท่องเที่ยว (น่าจะเป็นชาวจีนและฮ่องกง) เคยมาหารูกระซิบจนเจอ แล้วเขียนบล็อกบอกพิกัดไว้ แม้ไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แต่ก็มีผังภาพเล็กๆให้พอจินตนาการตามได้
ต้องขอบคุณแหล่งอ้างอิงอันนี้ :
ที่ช่วยให้เราหารูกระซิบของคุณโจวจนเจอ เขาไปมาเมื่อปี 2014 ซึ่งตอนนั้นพิกัดหว่องยังสามารถขึ้นไปเดินชมได้ แต่ตอนเราไปเขากั้นห้ามเข้า เพราะมันทรุดโทรมมากแล้ว แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ได้เจอ :)
แต่เอาเข้าจริงๆเมื่อไปถึงนครวัด มันยิ่งใหญ่โอ่อ่าทรงคุณค่ากับคำว่ามรดกโลกมาก หินแต่ละก้อนสลักอย่างวิจิตรงดงาม การจะเนรมิตสิ่งก่อสร้างปราสาทหินขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ มันต้องอาศัยศรัทธาในการสร้าง และต้องใช้แรงงานจำนวนมหาศาลตรากตรำทำงานเป็นเวลาหลายปีทีเดียว รูบนหินในนครวัดมีนับแสนนับล้านรู การที่เราจะหา 'รูกระซิบความลับของคุณโจว' ก็อาจต้องใช้หัวใจและเซนส์นำทางเช่นกัน เราเซฟภาพฉากในหนังใส่มือถือไว้ เอาไปเดินหาและเปรียบเทียบตำแหน่งรู ลายน้ำ และภาพสลักนางอัปสร เพื่อหาพิกัดที่ถูกต้องที่สุด !
นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมุ่งหน้ามายังนครวัด แต่เชื่อไหมว่าเราไม่เจอคนไทยในนครวัดเลย คนไทยอาจไม่ค่อยนิยมเที่ยวสถานที่แบบนี้หรือเปล่า 555 ในขณะเดียวกันก็คงไม่มีใครมาเดินบ้าหารูกระซิบคุณโจวเหมือนเราเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนแย่งกัน ไม่มีใครสนใจหรอก เดินหาเงียบๆ เจอแบบเงียบๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว น่าเสียดายที่ปัจจุบันจุดดังกล่าวมันค่อนข้างทรุดโทรม เจ้าหน้าที่เลยกั้นไม้ไว้ไม่ให้ขึ้นไป ซึ่งอันนี้โอเคเลย ในฐานะคนที่เรียนประวัติศาสตร์จะรู้ว่า 'อิฐเพียงก้อนเดียวก็มีค่า' เราก็ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบ เลยยืนถ่ายรูปจากด้านล่างแทน แต่พอไปเสิร์ชดูอินสตาแกรม มันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ประเทศที่น่าจะเดาออก) ขึ้นไปถ่ายรูปทำท่ากระซิบเลยว่ะ
หากแฟนหนังหว่องคนไหนอยากจะมาตามรอย In The Mood For Love ส่องหารูกระซิบความลับของคุณโจวที่นครวัดก็ลองมาหาดู เราว่าเสน่ห์ของการตามหาโลเกชั่นเหล่านี้มันอยู่ที่ ความพยายามระหว่างตามหาและความรู้สึกเมื่อได้พบ เสน่ห์มันจะหายไปทันทีหากเราบอกพิกัดที่ชัดเจน เพราะคุณจะไม่ได้ค้นพบสิ่งอื่นๆระหว่างทาง มัวแต่มุ่งตรงไปสู่จุดหมายเพียงอย่างเดียวไง ใบ้ให้ว่าบางทีการขึ้นไปอยู่ที่สูงๆมันอาจจะทำให้มองเห็นอะไรๆชัดขึ้น !
หากคุณไปนครวัดแล้วเจอรูกระซิบความลับของคุณโจว กลับมาก็ อย่าบอกพิกัดที่ชัดเจน ให้เพื่อนล่ะ ให้เพื่อนมาตามหาเอง (อาจพกแหล่งอ้างอิงจากภาพในหนังสักสองสามภาพ) เพราะอยากให้ทุกคนที่ไปหาได้สัมผัสความรู้สึกของ 'การค้นพบ' กันโดยถ้วนหน้า แค่เปิดใจ ใจเย็นๆ เพราะเราไม่อยากให้เสน่ห์ของการตามหาท่ามกลางสถานที่อันกว้างใหญ่แห่งนี้หมดไปตั้งแต่คุณยังไม่เริ่มเดินทาง
สุดท้ายนี้สิ่งที่ค้นพบระหว่างการไปตามรอย In The Mood For Love ที่นครวัด คือการตั้งคำถามที่ว่า
"เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องฝังความลับหรือความหลังอะไรสักอย่างเอาไว้เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่าหากทำเช่นนั้นแล้ว เราจะสามารถก้าวข้ามบาดแผลและความเจ็บปวดในอดีตได้ ?" หรือทว่าจริงๆแล้ว 'คุณโจว' ต่างหากที่ยังไม่ยอมเดินออกมาจากบาดแผลนั้น
แน่นอนว่านครวัดจะต้องมีอายุยืนยาวมากกว่าหนึ่งช่วงอายุขัยของมนุษย์หนึ่งคนอยู่แล้ว การฝังความลับไว้แบบตัวละครคุณโจวนั้น มั่นใจได้เลยว่าความลับนั้นก็จะยังคงอยู่ตลอดกาลจนกว่านครวัดจะพังทลายลงมา ขณะเดียวกันในอีกแง่หนึ่งมันอาจเป็นหมุดหมายสำคัญให้ชีวิตของคุณโจวเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็ได้ สุดท้ายแล้วคุณโจวจำเป็นต้องทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลังดังเช่นการที่ไม่มีใครเหนี่ยวรั้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ เหมือนกับประโยคหนึ่งใน In The Mood For Love...
“That era has passed. Nothing that belonged to it exists anymore."
เมื่อยุคสมัยนั้นได้ผ่านพ้น ไม่มีสิ่งใดในยุคนั้นจะคงอยู่สืบไปได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in