ซ่อนกลิ่น
Scarlett Johansson x Elizabeth Olsen
"เธอคือดอกซ่อนกลิ่น"
เสียงนุ่มยังทุ้มอยู่ในหู ความอบอุ่นยังปกคลุมอยู่บนฝ่ามือ
หากแต่รอยน้ำตาค่อย ๆ จางไปตามกาลเวลา...
อลิซาเบธหายใจเข้ารับออกซิเจนยามเช้า เธอสูดอากาศบริสุทธ์เสียจนสุดปอด ให้สมกับ 24 ปีที่ผ่านมาที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมัน
ฉายานางสาวสายเสมอไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เชื่อเถอะว่า ณ ปัจจุบัน เธออยู่ในจุดที่สามารถตื่น 7 โมงเช้าโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป
หากเป็นแต่ก่อน คงไม่มีเพื่อนบ้านคนไหนได้เห็นหน้าเธอก่อนบ่ายคล้อย ไม่มีทางจะพบเธอหน้าร้านน้ำเต้าหู้ที่เปิดขายเฉพาะยามเช้า แม้กระทั่งมื้อเที่ยงก็ยังกลายเป็นมื้อบ่าย และนั่นแปลว่าไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่ามื้อเช้าเกิดขึ้น
นาฬิกาบอกเวลา 7 โมงครึ่ง อลิซาเบธก็มาอยู่หน้าร้านโจ๊กเสียแล้ว
ครั้งแรกที่มาร้านนี้ แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากความตั้งใจจะสละเวลานอนอันมีค่า แต่เป็นเพราะหญิงสาวมีเหตุให้ต้องปั่นงานฟรีแลนซ์โต้รุ่งยันฟ้าสว่างต่างหาก
ตอนนั้นเธอนึกสงสัยว่าเหตุใดคุณป้าเจ้าของร้านถึงดูยิ้มแย้มอารมณ์ดี ทั้งที่ต้องตื่นเช้ามากขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอก็ได้เข้าใจแล้วว่า คนเรายิ่งตื่นเป็นเวลาได้เท่าไหร่ก็ยิ่งแจ่มใสมากขึ้นเท่านั้นต่างหาก
เมื่อโจ๊กหมูใส่ไข่หอม ๆ ถูกจัดการจนเกลี้ยงจาน หญิงสาวก็รีบจ่ายเงิน ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณคุณป้าเจ้าของร้านด้วยความสุภาพ เธอเดินออกจากร้านได้สี่ห้าก้าวก็ได้ยินเสียงคุณป้าแว่ว ๆ ไล่หลังมาว่า 'ฝรั่งคนนี้น่ารักจริง ๆ'
นับเป็นการเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดี
อลิซาเบธย้ายมาอยู่ประเทศไทยได้ 8 ปีแล้ว จากการตั้งใจเรียนภาษาไทยอย่างแข็งขันใน 2-3 ปีแรก ทำให้อลิซาเบธในตอนนี้พูดชัดกว่าคนไทยบางคนเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะความหัวไวของตัวเธอเท่านั้น แต่เป็นเพราะได้ 'ครู' ดีในช่วงท้ายอีกต่างหาก
หญิงสาวเดินย่ำลัดเลี้ยวไปตามถนนที่คุ้นเคย เลียบเคียงไปยังแปลนผืนดินขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยหญ้าสูงเรียงราย ชะเง้อมองบางสิ่งที่กำลังตามหา และเมื่อเธอได้พบกับสีขาวนวลคุ้นตา เธอค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลง
เมื่อถึงจุดหมาย เธอหยุดยืนกับที่ ก่อนจะทอดสายตามองทิวแถวเรียงรายของเหล่า 'ดอกซ่อนกลิ่น' ชั่ววินาทีที่สายลมพัดผ่าน พลันกลิ่นหอมของมันก็โชยตลบอบอวล
อลิซาเบธหลับตาลงช้าๆ ปล่อยความคิดให้ร่วงลงจมดิ่งสู่ความทรวงจำในวันวาน ภาพรอยยิ้มหวาน กับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของใครบางคนฉายแจ่มชัดขึ้นในห้วงคำนึง
"นี่ดอกซ่อนกลิ่น" เสียงทุ้มหวานเอ่ย ก่อนจะวางกลีบดอกไม้สีขาวนวลลงบนฝ่ามือเธอ
"เอามาได้ไง"
อลิซาเบธเอ่ยขมวดคิ้ว ดอกไม้ควรจะอยู่กับธรรมชาติ เหตุใดอีกฝ่ายจึงถือวิสาสะเด็ดมันออกมาให้เธอเหมือนเด็กไม่รู้ประสีประสา
"ตอนเช้าฉันออกไปเดินเล่น บังเอิญเจอมันขึ้นอยู่ริมทางน่ะ"
"ดอกไม้ควรอยู่กับต้น เด็ดออกทำไมกัน แนน... It's not cute"
เธอกล่าวตำหนิคนรักไปเล็กน้อย
"โถ ฝรั่ง จริงจังไปได้ ดอกซ่อนกลิ่นนี่สมัยก่อนผู้หญิงไทยเขาจะเด็ดพับเก็บไว้ในผ้าเช็ดหน้า เพราะมันหอมมากยังไงล่ะ ไม่ได้เด็ดมาให้ทั้งต้นเสียหน่อย"
อีกฝ่ายค้านเสียงแข็ง แต่ยังไม่วายส่งยิ้มยียวน
"ใครฝรั่ง เธอไม่ฝรั่งเหรอ?
" ถึงปากจะพร่ำบ่น แต่เธอก็เผลอยกกลีบสีขาวขึ้นจรดปลายจมูกไม่รู้ตัว เธอยังจำความหอมธรรมชาติของมันในครั้งแรกที่สูดดมได้ดี ช่างหวานละมุนติดตรึงยิ่งกว่าน้ำหอมราคาแพงที่เธอใช้อยู่เสียอีก
"ฉันเป็นฝรั่งแค่ครึ่งลูกเท่านั้นหรอกน่า"
เมื่อประเด็นเรื่องเชื้อชาติถูกหยิบยกขึ้นมา 'แนน นิรชา โจแฮนส์สัน' สาวลูกครึ่งไทย-อเมริกันจะตอบเธอแบบนี้ทุกครั้ง
เธอกับแนนเจอกันเมื่อต้นปีก่อน จะเรียกเธอว่าเป็นอดีตครูสอนภาษาไทยของฉันก็ได้ อันที่จริงในตอนนั้นเธอก็ยังเป็นครูของอลิซาเบธอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจากการเสียค่าเล่าเรียน มาเป็นเรียนฟรีตลอดชีพ
ตลอดชีพ แต่ชีพนั้นมิได้มีได้ตลอด
การคบหากับครูสอนภาษาไทยเพียงปีครึ่ง ทำให้ทักษะอ่านออกเขียนได้ของอลิซาเบธก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังถูกเพื่อน ๆ แซวอีกต่างหากว่าใช้คำไทยได้เยอะกว่าคนไทยเสียอีก นั่นก็เพราะติดคำโบราณมาจากคนรัก ศัพท์วัยรุ่นไทย ๆ อย่างที่ควรจะรู้ เธอดันไม่สันทัดมันเอาเสียเลย
ปรี๊ดดดดดดดดดดดดด
เสียงแหลมเสียดหูดังก้องไปทั่วบริเวณ เธอรีบคว้าโทรศัพท์มือถือก่อนจะกดปุ่มปิดเสียงด้วยความรวดเร็ว
เผลอแป๊บเดียวผ่านไป 15 นาทีแล้วเหรอนี่?
เธอจำเป็นต้องตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้อยู่ตรงนี้นานเกินไป เมื่อถึงเวลาอันสมควร หญิงสาวก็มีอันต้องบอกลามวลดอกซ่อนกลิ่น เพื่อกลับสู่การดำเนินชีวิตอีกครั้ง
15 นาทีไม่เคยน้อยเกินไป หากพรุ่งนี้ฉันยังได้กลับมา
แต่ใครบางคนที่ต้องจากลา ต่อให้เคยโอบกอดทั้งชีวิตก็คงไม่เพียงพอ
อลิซาเบธใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงบ้านทัน 8 โมงครึ่ง
จากที่เคยเริ่มทำงานตอนสี่โมงเย็น นาฬิกาชีวิตได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็น 10 โมงเช้า ตอนนี้เธอจึงมีเวลามากพอสำหรับการพักผ่อน ทำอะไรต่อมิอะไรก่อนจะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มทำงาน
วันนี้เธอตัดสินใจจะเคลียร์ของบนโต๊ะทำงานเสียหน่อย แม้ในบ้านจะดูสะอาดสะอ้าน แต่บริเวณที่เธอใช้ทำงานกลับรกยุ่งเหยิง มันเต็มไปด้วยสารพัดหนังสือ นังสือภาพต่าง ๆ ที่เธอไว้ใช้อ้างอิงเวลาทำงาน และโพสต์อิท ปากกา ดินสอ ทุกสิ่งกระจัดกระจาย
ตั้งแต่วันที่เธอ 'เริ่ม' ใช้ชีวิตเพียงลำพัง อลิซาเบธไม่ค่อยจะใส่ใจตรงพื้นที่ที่เป็นของตัวเองเสียเท่าไหร่ แต่ในส่วนของ 'ผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่แล้ว' เธอกลับจัดเรียงมันอย่างเป็นระเบียบ ราวกับวันใดวันหนึ่งเจ้าของพื้นที่นั้นจะกลับมายืนมองมันด้วยความชื่นชม
เธอนำปากกาสารพัดสีเก็บเข้าลิ้นชัก เรียงหนังสือให้เป็นระเบียบ โยนทิชชู่ กระดาษ แผ่นโพสต์อิทที่ไม่จำเป็นโยนทิ้งลงขยะ จากนั้นจึงยกกองหนัง แมกกาซีนต่าง ๆ ออกจากโต๊ะ หวังจะหาที่อยู่ใหม่อันเป็นระเบียบมากขึ้นให้มัน ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องตัดใจบริจาคเสียบ้าง
ฟึ่บ! --
ภาพถ่ายสีจาง ๆ ร่วงหล่นลงมา เธอรีบยกกองหนังสือออกไปวางที่มุมห้อง ก่อนจะเดินกลับมาหยิบกระดาษแผ่นบางที่ลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้น เธอเดาว่ามันคงจะหล่นออกมาจากสมุดจดสักเล่ม
หญิงสาวหยิบภาพถ่ายแผ่นนั้นขึ้นมาดู แล้วเธอก็ต้องหัวเราะออกมา เพราะคนในภาพไม่ใช่ใคร แต่เป็นเธอเอง
ภาพสาวฝรั่งผมสีอ่อนสวมสไบไทยช่างดูประดักประเดิด พัดแบบไทยที่ถือในมือก็ดูตั้งตรงเสียจนองค์ประกอบทุกอย่างในรูปดูแปลกปลอมไปหมด
พลันภาพจำในอดีตได้หวนคืนสู่ห้วงคำนึง เมื่อบางสิ่งย้ำเตือนว่าใครเป็นผู้ถ่ายภาพนี้ ความปลวดแปลบดั่งพิษร้ายก็แล่นเข้าสู่หัวใจ
'เธอสวยมากเลย'
เสียงกระซิบแผ่วของใครบางคนยังติดตรึงที่ข้างหู ราวกับใครคนนั้นเพิ่งเอ่ยมันจากริมฝีปากเพียงเมื่อชั่วครู่ น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ไหลรินออกจากดวงตา เมื่อเหลือเพียงเธอและรูปถ่ายหนึ่งใน ทุกสิ่งดั่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าอลิซาเบธไม่มีนิรชาอีกต่อไป
"I Miss You Nan"
- To Be Contined -
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in