ถ้าต้องเลือกเพลงประกอบความรักครั้งล่าสุดของตัวเอง คงจะไม่มีท่อนไหนเหมาะไปกว่า “... We found love in the hopeless place...” ของ Rihanna อีกละ
เพราะผมกับเธอ เจอกันในแอปมือถือนามว่า Tinder
แอปที่ใครหลายคนมองว่าเป็นแอปนัดยิ้ม แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันคือแอปสำหรับมองหาความสัมพันธ์ใหม่ๆ มากกว่า
และด้วยวิธีการที่เราสองคนเจอกันมันดูพิสดารกว่าปกติอยู่พอควร ดังนั้น ตอนที่ขึ้นประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าผมกับเธอเป็นแฟนกัน คนรอบตัวเลยดูตื่นเต้นอยากฟังเรื่องราวของเราสองคนมากเป็นพิเศษ เรียกว่า ช่วงนั้นไปไหนมาไหน เรื่องผมกับ Tinder ดูจะเป็นหัวข้อบังคับที่ต้องเปิดปากเล่าซ้ำไม่รู้กี่รอบ
ฟังดูเหมือนเทพนิยายแฟรี่เทล ชายหญิงได้มาเจอกันในดินแดนลึกลับ ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนพูดคุย สุดท้ายก็ได้ครองรักกันอย่างมีความสุข Happily Ever After แต่จริงๆ แล้ว อย่างที่ทุกคนรู้ ไม่มีอะไรที่สมหวังดังปรารถนาทุกประการขนาดนั้นเหมือนในนิทานหรอก
Tinder มันก็เหมือนกับการนัดบอด เหมือนสวนสาธารณะ เหมือนร้านหนังสือ เหมือนโรงหนัง เหมือนบาร์ เหมือนร้านกาแฟ เหมือนชั่วขณะที่เดินสวนกันตรงประตูรถไฟฟ้า เหมือนการเดินชนกันแล้วช่วยกันก้มลงเก็บหนังสือในละครช่อง 7
มันก็แค่ประตูที่เปิดโอกาสให้คนสองคนที่ไม่เคยเจอหน้ากัน มาเจอกัน โดยไม่ต้องออกมาเจอกัน
แต่เรื่องราวหลังบานประตูที่ถูกเปิดออก... มันก็ต้องเป็นเรื่องของคนสองคน
หากไม่นับว่า เราเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ มีความลุยพอประมาณ และชอบเพลงแบบ Tropical House และ Porter Robinson เหมือนกัน
ผมกับเธอราวกับเดินทางมาจากโลกคนละใบ
ผมทำงานด้านโฆษณา เธอทำงานด้านบัญชี / ผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์ เธอชอบคุยนานๆ / ผมเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เธอเป็นคนใส่ใจกับดีเทลเล็กๆ น้อยๆ / ผมโกรธที่เธอไม่ตรงต่อเวลา เธอโกรธที่ผมไม่เข้าไปคอมเมนต์ตอบเธอในเฟซบุ๊ค ฯลฯ
หนึ่งสิ่งที่ช่วยให้ผ่านพ้นความยากลำบากต่างๆ อันเกิดจากความไม่เหมือนกันตรงนี้มาได้ คือ การพูดตรงๆ ใส่กัน มีอะไรอยากจะบอกกันก็ใส่กันมาตรงๆ แบบไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องเก็บงำอะไรให้ค้างคาใจต่อกัน บางครั้ง การพูดใส่กันแบบนี้ ย่อมตามมาด้วยความเจ็บปวดและน้ำตา แต่รอยยิ้มที่จะตามมาในภายหลังระยะยาวนั้น ยังไงก็คุ้มค่าและสวยงามกว่า
และใน 1 ปี ที่ผ่านมาบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้เรียนรู้คือ "อย่าใช้ชีวิตคู่แบบการเล่น Tinder"
การแบ่งปันช่วงเวลากับใครบางคน มันไม่ใช่การบอกปัด "ซ้ายเกลียด-ขวาชอบ" เหมือนตอนที่เราเจอกัน อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ เราพร้อมจะปัดมันทิ้งโดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจกดเข้าไปดู ต่างกับ อะไรที่เราชอบ ยังไงๆ เราก็ปัดเลือกไปแบบไม่ต้องคิด
แต่จริงๆ มันคือการประนีประนอมรอมชอมหาจุดกึ่งกลางระหว่างกัน ยอมแบ่งปันตัวตนเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างไปพร้อมๆ กัน เพราะโลกไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ ดังนั้น เราต้องทดลองเป็นสีเทากันดูบ้าง
ผลลัพธ์จากสิ่งนี้คือ ตอนนี้ ผมเริ่มคุยโทรศัพท์ได้นานขึ้น และ เธอก็บ่นน้อยลงเวลาที่ผมเล่นเกม
เราเคยมานั่งคุยกันและเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะคบกันมาได้นานขนาดนี้ เพราะด้วยอะไรหลายๆ อย่างทั้งความแตกต่างและความเห็นที่แตกต่างกันในบางเรื่อง
ตอนนั้นผมได้แต่หัวเราะและพยักหน้าเห็นด้วยกับเธอ
แต่ในตอนนี้ ผมได้คำตอบแล้ว...
ก็ขนาดคนบนโลกมีเยอะขนาดนี้ เราสองคนที่ต่างกันสุดขั้วขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มา match กันได้
อะไรมันก็เกิดขึ้นได้แล้วล่ะ
สุขสันต์ 1 ปี
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in