ผมมีนัดเจอกับฮีโร่ยามผมยังเป็นวัยรุ่นตอนต้น (ขณะนี้ ยังเป็นแค่ตอนปลาย อย่าใช้คำว่าแก่เลย) ปีละสองครั้ง ที่งานขายหนังสือประจำปีแห่งสยามประเทศ
ฮีโร่คนแรก คือ ผู้นำทางความคิดของผมในสมัยนั้น เหมือนศาสดา เหมือนผู้กุมกุญแจจักรวาล เปิดประตูวิเศษพาให้ผมได้ไปเจอกับสารพัดโลกที่เด็กเนิร์ดๆ คนนึงไม่เคยรู้มาก่อน และ หนึ่งในโลกที่เขาพาผมไปเยี่ยมชมก็ได้กลายมาเป็นหน้าที่การงานของผม ณ ปัจจุบัน
ฮีโร่คนสอง คือ ปรมาจารย์ยอดยุทธ เจ้าของเคล็ดวิชาคมคาย กระบวนท่าเล่าเรื่องที่ไม่เคยมีใครได้พบเห็นมาก่อน วินาทีแรกที่ได้ประมือกับผลงานของเขา สองขาผมหมดแรง มือไม้สั่นเทา ก้มลงกราบแทบเท้า ประกาศต่อโลกหล้าว่า ขอนับถือเขาเป็นอาจารย์ด้านการเขียน พร้อมลอกเลียนเคล็ดวิชาของเขามาลองใช้อยู่หลายต่อหลายครั้ง
ฮีโร่คนสาม คือ ส่วนผสมที่ลงตัวของสองคนแรก เขาเป็นได้ทั้ง ไกด์พาเราท่องโลกด้วยวิธีที่ในตอนนั้นยังไม่เคยมีใครกล้าลอง หรือ จะเป็นนักคิดซึ่งเล่าเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายผ่านรสชาติแปลกใหม่อร่อยลิ้น จังหวะจะโคนและความต่อเนื่องในการสร้างงานของเขา คือ ตัวการอันทำให้ผมต้องติดหนึบในตัวอักษรที่นิ้วเขาบรรจงพิมพ์
แต่การนัดกันที่ว่า อาจจะดูไม่ถูกต้องสักทีเดียว
มันเหมือนการพบปะกันแบบห่างๆ มากกว่า เพราะกาลเวลาที่เปลี่ยนไป จากสถานะฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาผมเมื่อตอนนั้น ก็กลับกลายเป็นคนธรรมดาสามัญในสายตาผมในตอนนี้ บ้างก็เปลี่ยนตัวเองไปไกลลิบโลกจนไม่เหลือมนต์ขลังในแบบเดิม บ้างก็หมดพลัง พลังงานวิเศษที่เคยมีก็ร่อยหรอระเหิดหาย เขาได้กลายเป็นมนุษย์ปุถุชนไปเสียแล้ว ส่วนอีกคน ด้วยวัยและมุมมองของชีวิตที่โตขึ้น มนต์วิเศษที่เคยสะกดผมเสียอยู่หมัด มันกลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเสียแล้ว
สถานะของเรากับเขาคงเหมือนกับอดีตคนรัก
ได้แต่ห่วงใย ยืนมองอยู่จากไกลๆ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันตามสมควร คิดถึงวันคืนเก่าๆ ที่เคยสุขร่วมกันมา แต่แน่ล่ะ จะให้หวนกลับมารักกันดังเดิมมันย่อมยาก ยากมากๆ
ถ้าเขาไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง หรือ ผมไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง
ท้ายที่สุด ผมก็ทำได้แค่นี้
และเดินไปทักทายกับ ว่าที่ฮีโร่คนใหม่ ที่กำลังค่อยๆ เข้ามาแทนที่พวกเขา
. . .
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in