เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังหน้าดีryoheiehoyr_
รีวิว Die Tomorrow(2017) หากพรุ่งนี้คือวันสุดท้าย
  • Die Tomorrow

    Nawapol THAMRONGRATTANARIT

    คุณจะเสียดายชีวิตไหม ถ้าคุณจะตายในอีก24ชั่วโมงข้างหน้า

      Die Tomorrow หนังบันเทิงคดีกึ่งสารคดี ปรัชญา ของผู้กำกับฝีมือดี ลายเซ็นจัดของ “เต๋อ นวพล”คนนี้จะทำให้คุณรู้คุณค่าของการใช้ชีวิตในทุกๆวินาที (ย้ำว่าทุกวินาทีจริงๆ) ทำให้คุณหาเป้าหมายในชีวิตตัวเองได้และกลับไปบ้านเพื่อไปกอดคนที่คุณรักมากที่สุดในชีวิตไว้แน่นที่สุดก่อนที่จะถึงพรุ่งนี้เช้าแน่นอน


    เพลงประกอบภาพยนตร์ Die Tomorrowเปิดคลอไปพลางๆขณะอ่านรีวิวนะครับ

         


    ตั้งแต่ที่พี่เต๋อได้ปล่อยข่าวออกมาว่ากำลังถ่ายทำหนัง Die Tomorrow เมื่อตอนต้นปี2017 ก็ทำให้แฟนหนังสายอินดี้ตั้งหน้าตั้งตารอกันเป็นเดือนเลยโดยเฉพาะเมื่อหนังเรื่องนี้อยู่ในมือของพี่เต๋อแบบเต็มรูปแบบไม่ได้ผ่านทางค่ายหนังใดๆจึงมั่นใจได้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องมี ความเต๋อ มากแน่ๆ

    ภาพโปสเตอร์สุดไวรัลในอินเตอร์เน็ตที่ถูกนำไปใช้ทั้งในเชิงโฆษณาจนถึงเชิงที่เกินความคาดหมาย



    DIE TOMORROW (OFFCIALTRAILER)
    เผยแพร่เมื่อ 3พ.ย. 2017 ก่อนวันฉายจริง 20 วัน

    ถึงแม้ตัวทีเซอร์ที่พี่เต๋อปล่อยออกมาจะมีความมึนงงไม่ค่อยรับรู้เนื้อหาภายในหนัง และไม่ชวนติดตามให้ไปจ่ายตังเท่าไหร่ บางช่วงเสียงเพลงตีกับเสียงพูดจนแทบฟังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นเต๋อ จึงยังสามารถสะกดให้คนติดใจและยิ่งอยากจะดูหนังเข้าไปอีก โดยมีคนที่ดู trailer แล้วแตกความคิดเห็นออกเป็น 2 ฝ่าย คือ อยากดูและไม่อยากดู

         ภาพคอมเม้นจากวีดิโอ DIE TOMORROW (OFFCIALTRAILER) จากเพจ Nawapol Thamrongrattanarit



    แต่ด้วยความสามารถในการโปรโมทหนังของพี่เต๋อที่ดีโคตรๆ เลยทำให้คนรู้จัก และรอดูหนังเพิ่มเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยการคอยปล่อยตัวโปรดักชั่นขั้นตอนการทำหนังเป็นแบบ SKIT คลิปวีดิโอสั้นๆประมาณ 30-60 วินาที ออกมาเป็นรายวันและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวนักแสดงแต่ละคนทำให้ผู้ติดตามเริ่มซึมซับตัวหนังและส่องเพจดูในทุกวันว่า วันนี้จะมีเรื่องอะไรมาอัพเดทบ้างในหน้าเพจของพี่เต๋อ

    SKIT clip https://www.facebook.com/pg/ternawapol/videos/?ref=page_internal



                           รายการวิทยุ CAT RADIO มีจูนจูน, วี วิโอเลต, พาย My Life as Ali Thomas, เต๋อ นวพล                        มาพูดคุยโปรโมทหนังกัน เมื่อวันที่ 20 พ.ย. หนึ่งคืนก่อนรอบ sneak peek

            โดยในระหว่างถ่ายทำจนถึงวันฉายรอบ sneak preview (21.11.2017) นักแสดงในแต่ละพาร์ทของเรื่องจะไม่รู้เนื้อเรื่องของพาร์ทอื่นๆในเรื่องเลย (ในหนังจะแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นพาร์ทๆ เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่จะอยู่ในคอนเซ็ปต์เดียวกันคือความตายที่เราออกแบบไม่ได้) โดยในครั้งแรกพี่เต๋อได้คิดจุดเชื่อนของเนื้อเรื่องไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องตัดออก


    "หนังเหมือนเพลงในอัลบั้ม ที่เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน แต่อยู่ในขอบเขตคอนเซ็ปต์เดียวกัน"

    - เต๋อ นวพล



    พอหนังเข้าโรงปุ๊บ ก็เป็นประเพณีของพี่เต๋อที่ต้องทำของล่อตาล่อใจออกมาขายให้กับแฟนคลับ



    ณ หน้าห้าง Central World

    18.58 น. 21 พ.ย. 2560


         หลังเลิกเรียน ผมก็รีบออกจากโรงเรียนและมุ่งหน้าไปที่เซ็นทรัลเวิลเพื่อไปรับบัตรเข้าชมภาพยนตร์ (ผมได้ไปร่วมกิจกรรมทางเพจ We Love SF มา เลยได้ตั๋ว 2 ใบมาฟรีๆครับ :) ดีใจมากๆ) พอถึงชั้น9 ก็ไปยื่นบัตรประชาชน เซ็นชื่อรับบัตรที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ได้เลย ง่ายมากๆ ตอนนั้นก็เวลาประมาณ 1ทุ่มกว่าๆครับ หลังจากนั้นผมก็เดินไปเดินมา สักพักเห็นพี่ทู-สิราษฎร์ อินทรโชติ เดินมาก็ตกใจนิดนึง แอบถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วก็เห็นพี่เต๋อและนักแสดงเกือบทุกคนทยอยกันมาเรื่อยๆ
         ตอนนั้นอยากขอถ่ายรูปด้วยมากๆครับ จากสถานการณ์ตอนนั้นก็ไม่ได้แออัดกันจนยากเกินสามารถด้วย แต่ผมอาย ไม่กล้ามากกว่า เลยไม่ได้ขอใครถ่ายรูปเลย เลยขอเก็บภาพเหล่านี้เป็นความทรงจำที่ได้เจอคนดังมาเป็นคอมโบ้แบบนี้แล้วกันครับ (ชีวิตนี้คงไม่ได้เจอบ่อยๆ)

    ต้องเขย่งขาถ่ายเลยไม่ค่อยชัดนะครับ ขออภัยด้วย กล้องที่อยู่ข้างหน้าแต่ละตัวตัวใหญ่มากๆ 55555



    พอถึงตรงนี้มาเปลี่ยนเพลงฟังกันดีกว่าครับ

    เพลงประกอบภาพยนต์ MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY.(2013)
    ผลงานชิ้นหนึ่งที่ทำให้เต๋อ นวพลเป็นที่รู้จักมากขึ้นครับ

        

    ณ ชั้น 9 หน้าโรงภาพยนตร์ CTW

    20.18 น.

         หลังอิ่มเอมกับขบวนเหล่านักแสดงและผกก. ก็ยืนจนเมื่อยเลยมาหาที่นั่งสักแปบ แล้วมองดูนาฬิข้อมือตัวเอง เวลาก็เลย 2 ทุ่ม (เวลาหนังฉาย) มาสักพักแล้ว บอกแม่ไว้ว่าน่าจะกลับไม่เกิน 4 ทุ่มครึ่งแน่ เลยเริ่มมีความคิดปั่นป่วนสับสนเข้ามาในหัว

         ทันใดนั้นก็เหมือนพี่เต๋ออ่านใจทุกคนออก ยืนขึ้นบนเก้าอี๋แล้วหยิบโทรโข่งขึ้นมา

    "ตอนนี้ทางโรงมีปัญหาขัดข้องนิดหน่อยนะครับ...."

    - เต๋อ นวพล


    เอาละ ชีวิตเราแม่งคอนโทรลอนาคตไม่ได้จริงๆวะ (555...)


         แต่เนื่องจากตั๋วของผมเป็นตั๋วของคนที่ร่วมกิจกรรมกับทางเพจเอสเอ็ฟ จึงได้เข้าไปในโรง9 ก่อน โดยไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อไป พอเข้ามาในโรงหนังแล้วก็ต้องนั่งรออีกสักพักเลย (ประมาณเกือบ20นาทีได้) จนกว่าโรงหนังจะดับไฟ และแล้วหนังที่รอมานานสองนานก็เริ่มฉาย....

    / (หนัง) จบ.

    เห้ย หนังดีโคตรอะ

         หนังมีความเป็นหนังทดลองที่พอทำออกมาแล้ว เหมือนเลือกสารเคมีถูกประเภท ระเบิดออกมาเป็นความละมุน เหงา หดหู่ และเกินความคาดหมายเอามากๆในด้านของการได้แง่คิดและผลกระทบต่อจิตใจหลังจากหนังจบ หนังจำกัดความคำว่า ความตาย ได้ดีและครอบคลุมประสบการณ์ของคนดูในวัยต่างๆได้ดีมาก ทั้งด้านความหลากหลายของเนื้อเรื่อง ตัวละคร และสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆในชีวิตจริงอย่างไม่ต้องสงสัย

         ขณะที่คุณกำลังนั่งดูหนัง คุณจะรู้สึกเหมือนกำลังฟังวิทยุรายงานข่าว หรือไม่ก็หนังสือรวมชีวประวัติคนตาย โดยตอนเริ่มเรื่องจะมีการยกทฤษฎีคนตายมาว่าทุกๆวินาทีจะมีคนตาย 2 คน เป็นการเริ่มต้นทำให้คุณอินกับชีวิตทุกขณะได้อย่างดี เพราะชีวิตมนุษย์ทุกคนถูกกำลังเวลาขับเคลื่อนไป และเมื่อเวลาของทุกคนหมด นั่นก็คือจุดจบของชีวิต

         ตัวหนังดำเนินเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติและลื่นไหล เนื่องจากการถ่ายทำแบบลองเทค อาจจะทำให้ดูน่าเบื่อบ้างในบางฉาก เพราะต้องใช้เวลาเพื่อดึงให้เราเข้าไปอยู่ในจุดลึกที่สุดของหนัง

         สี โทน อารมณ์ของหนังละมุนและอบอุ่น แต่ก็เหงาในเวลาเดียวกัน ทำให้เราเหมือนนั่งดูสารคดีของจริง ชีวประวัติคนตายจริงๆ เป็นเวลานาน70กว่านาที แต่ก็ไม่รู้สึกเบื่อเลย เนื่องจากตัวหนังถูกแบ่งออกเป็นพาร์ทๆ เลยทำให้อยากรู้เรื่องราวในพาร์ทถัดไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครนั้นๆ ซึ่งก็ทำออกมาได้ไม่น่าผิดหวังจริงๆ

         แต่ในบางพาร์ทนั้นตัวบทกลับไม่หนักแน่นมากพอที่จะทำให้อินไปกับตัวละคร บางช่วงอาจน่าเบื่อจนรู้สึกหงุดหงิดและคิดว่าไม่น่าจะมีส่วนนี้อยู่ในเนื้อเรื่องเลย มันทำให้ตัวหนังดูอ่อนแอลง และเสียเวลาดูไป อีกทั้งถ้าหากใครคาดหวังที่จะไปซื้อตั๋วหนังดูเพราะแค่อยากจะดูนักแสดงคนนี้ อาจจะต้องผิดหวังเพราะแต่ละตัวละครออกมาเป็นช่วงสั้นๆเพื่อนำเสนอความตายในรูปแบบนั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ออกมาเล่นตลอดทั้งเรื่อง

         ในหนังคุณจะได้เห็นการใช้ชีวิตและมุมมองความรักที่แตกต่างออกไปตามตัวบุคคล การมอบความรักให้คนรอบข้าง เพื่อน พี่-น้อง แฟน สามี-ภรรยา เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ คนเราทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย ความตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ เด็กที่ยังไม่ได้ลืมตามองโลก เด็กไม่กี่เดือน เด็กอนุบาล เด็กวัยรุ่นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่มีสอบแกทแพทพรุ่งนี้ แฟนที่กำลังจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ เด็กที่จะรับปริญญาในวันพรุ่งนี้ คนที่ตั้งใจจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว คุณยายอายุ 150 ปี



    Would you mind changing the rhythm of life?

    เพลง Winter's Love จากวง My Life as Ali Thomas ร้องโดยพี่พาย นักแสดงคู่วี วิโอเลต


    ต่างคนต่างความคิด แต่ถ้าเราทำให้คนคนหนึ่งตาย มันจะเป็นความผิดเรารึเปล่า?

    มันเป็นการสินใจของเขาเองนิ เขาอ่อนแอ

    หรือเราใจร้ายเกินไป ที่เราไม่อาจเข้าใจชีวิตของเขา และไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใจ

         การใช้ชีวิตทุกวินาทีมีค่า ถ้าคุณใช้มันอย่างไร้ค่า เมื่อคุณตายไปคุณจะเสียดายชีวิต แต่ถ้าคุณทำทุกวินาทีให้มีคุณค่า ทำตามความฝันของคุณ ไม่ท้อถอย เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องตาย คุณจะไม่เสียใจ และเสียดายแม้แต่น้อย เพราะชีวิตของคุณ คุณได้เลือกที่จะใช้มันได้อย่างเต็มที่แล้ว บางครั้งคุณอาจจะอยากพัก พักได้ แต่ยังคง carry on กับเป้าหมาย เพราะนั่นคือชีวิตของคุณเอง

    เหมือนกับที่ผมได้กล่าวไว้ที่ชื่อบทความ

    หากพรุ่งนี้คือวันสุดท้าย

    คุณจะเสียดายชีวิตของคุณมั้ย?

        ทั้งนี้ ความชอบไม่ชอบก็เป็นเรื่องของส่วนบุคคล แต่ละคนสไตล์ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้ดีไหมก็ควรจะลองเข้าไปดู เอาประสบการณ์ด้วยตัวคุณเอง เพราะผมรับประกันได้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ทำให้คุณเสียเวลา อีกทั้งยังนำเรื่องนี้ไปครุ่นคิดกับตัวเองและคนรอบข้างได้อีกหลายวัน


          ตอนนี้มีคนอยากมาดู Die Tmorrow ท่วมท้นมาก เลยมีโรงหนังที่เพิ่มจำนวนรอบขึ้นมาครับ อันนี้คือรอบหนังล่าสุด                ใครที่อยู่ใกล้โรงไหนก็ลองไปได้นะครับ




    (SPOILER ALERT!)

         โดยส่วนตัวแล้วชอบตอนของซันนี่-พลอยที่สุด ด้วยความที่เป็นตอนเรียบง่ายที่สุด มันเลยtouchyชีวิตคนดูได้ง่ายและดีที่สุด เรื่องราวความรักของคนสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างมอบความรักจากก้นบึ้งของหัวใจให้แก่กัน ซึ่งทั้งสองคนมีมุมมองเรื่องการใช้ชีวิตและความตายที่แตกต่างกัน คนหนึ่งยอมรับได้ อีกคนยอมรับไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่โคตรจะทั่วไปของชีวิตคู่อะ คือ "เรื่องการทะเลาะและไม่เข้าใจกัน คนรักกันไม่ว่าจะรักกันปานจะกลืนกินแค่ไหนก็ต้องมีเรืองที่ไม่ตรงกัน แต่ก็ยังคงรักกันจนตายจากกันไป"  ทุกคนเคยร้องไห้ โดยที่ไม่บอกให้คนที่คุณรักและไว้ใจที่สุดได้ยิน เพราะมันเป็นเรื่องที่โคตรจะเบสิคอีกเหมือนกัน เรารักเขา เราคิดเสมอว่าเราเป็นภาระเขา ถึงเราจะรู้ดีอยู่แล้วในหัวใจว่าเขาก็รักเรา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา และในตอนจบของเรื่องก็ยิ่งตอกย้ำไปอีกว่า ชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอน บางครั้งมันไม่ใช่เรื่องของคนแค่สองคน แต่มันเป็นเรื่องของโชคชะตา มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เราออกแบบมันไม่ได้ เราควบคุมมันไม่ได้ ถึงเราทั้งสองคนยังคงรักกันเหมือนวันแรกที่เราเป็นแฟนกัน แต่สุดท้ายถ้าวันหนึ่งเราจะต้องจากกัน แม่งก็ต้องจากกันอยู่ดี    แต่ถ้าเราสามารถมองในแง่ดีได้ คนรักเหมือนกับภาระอย่างหนึ่ง ถึงมันจะไม่ได้หนักมาก หรืออาจจะเบาจนไม่มีน้ำหนัก หรือเราจะยินดีที่จะมีภาระนั้นคอยดูแล พอเราต้องเสียมันไป อย่างน้อยตัวเราก็เบาลง เราจะยังอยู่ได้ ถึงจะไม่มีภาระนั้นเราก็ยังอยู่ได้ บางครั้งบางอย่างอาจจะดีขึ้น เหมือนเราได้หายป่วยจากอาการอะไรบางอย่าง.


    Twitter : ryoheiehoyr_

    IG : thanangam__




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in