หิมะหยุดตกแล้ว รถทำความเร็วไปตามกำหนด พวกเรารู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ก่อนจะถึงเมือง Borganes ลมเริ่มแรง ถนนด้านหน้ามีหิมะปลิวเป็นริ้วๆ ดูสวยแปลกตา
“นี่เราอยู่บนโลกจริงเหรอเนี่ย” ปลาพูดขึ้น ผมกับคนอื่นในรถก็หัวเราะ
“เฮ้ยอยากถ่ายรูปอ่ะ พี่แอนดี้” ผมเสนอ... ถนนบ้านเรามีแต่หลุมบ่อ น้ำขัง มาเจอถนนสภาพแปลกแบบนี้ก็อยากจะลั่นชัตเตอร์เก็บบรรยากาศเอาไว้
“เอาจริงป่ะล่ะ” แอนดี้ถาม
“จริงดิพี่”
“งั้นจอดตรงไหล่ทางเลยนะ”
ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
เนื่องจากลมมันแรงมาก และถนนที่เพิ่งมีหิมะตกลงมาก็ลื่น รถของพวกเราเสียหลักไถลตกไหล่ทางลงไป ผมตกใจ เชื่อว่าทุกคนในรถก็ตกใจ พวกเราตั้งสติแล้วออกจากรถเพื่อประเมินสถานการณ์ ปรากฎว่ารถตกเอียงลงไปในองศาที่ไม่น่าจะขึ้นได้ด้วยตัวเองแถมไหล่ทางก็ชัน ผมหยิบโทรศัพท์กด 112 ซึ่งเป็นเบอร์ฉุกเฉินของไอซ์แลนด์ ตอนอ่าน Lonely Planet ไม่คิดว่าจะต้องใช้หรอก แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจที่จำเบอร์นี้เอาไว้
เสียงผู้หญิงปลายสายถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอธิบายว่ารถพลัดตกลงไปข้างถนน เธอโอนสายต่อให้กับผู้ชายอีกคน ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นตำรวจ ผมอธิบายอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าอีกฝั่งฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจหรือว่าเสียงลมมันดังมาก แต่ผมไม่สามารถสื่อสารกับอีกฝั่งได้ และใจของผมก็หล่นลงไปอยู่ตาตุ่มเมื่อ ได้ยินแต่ภาษาไอซ์แลนด์แปร่งหูที่ปลายสาย สุดท้ายผมก็วางหูโทรศัพท์ หันไปหาเพื่อนๆ แล้วส่ายหน้า
จังหวะเดียวกันมีชาวไอซ์แลนด์ขับรถผ่านมา ปลากับแอนดี้เข้าไปขอความช่วยเหลือ เขาบอกพวกเราว่าจะไปตามคนในฟาร์มให้มาช่วย และก็ขับออกไป
เกือบสิบนาทีผ่านไปแต่ทุกอย่างยังคงว่างเปล่า ไม่มีรถผ่านมาสักคัน เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ผมเริ่มเครียดเพราะอีกร้อยกว่ากิโลกว่าจะถึงที่พัก และด้วยอากาศแบบนี้ผมไม่อยากจะต้องขับรถในเวลากลางคืนเลย
สิบห้านาทีผ่านไปผมเริ่มหมดหวังกับความช่วยเหลือจากคนท้องถิ่น ผมลองโทรหาบริษัทเช่ารถซึ่งคำตอบที่ผมได้รับคือ “ให้โทรหา 112” ผมเลยติดต่อกลับไปหา 112 อีกครั้ง คราวนี้ปลายสายที่เป็นตำรวจคุยกับผมได้รู้เรื่อง ผมพยายามบอกจุดที่รถเสียให้ละเอียดที่สุด ถึงขนาดเดินฝ่าลมแรงกลับไปดูชื่อสะพานเล็กๆ ที่เพิ่งผ่านมา จนอีกฝ่ายบอกว่า “OK I know exactly where you are” ผมถึงวางใจ
ตำรวจแจ้งว่าให้อยู่กับรถและรอ แต่คงต้องใช้เวลานานอาจจะเป็นชั่วโมงเพราะสภาพอากาศเลวร้ายมาก และคนของเขาก็มีไม่พอ ผมถอนหายใจ ในหัวตอนนั้นมีแต่เรื่องแย่ๆ เต็มไปหมด ผมอยากด่าตัวเอง จริงๆ มันก็แค่ถนน จะอยากถ่ายรูปไปทำไมนักหนาวะ... แล้วดูสิ เดือนร้อนกันไปหมด
ผมเดินเซ็งๆ มุ่งหน้ากลับมาที่รถ แต่ภาพตรงหน้าทำให้ผมมีความหวังและยิ้มออก
รถแทรกเตอร์คันยักษ์ที่ไม่บอกก็รู้ว่าคงมาจากฟาร์มใกล้ๆ นี้ กับรถกระบะอีกคันจอดอยู่ด้านข้าง มีชาวไอซ์แลนด์ใจดี 3-4 คนลงมาช่วยเอาเชือกคล้องกับตะขอหน้ารถและขับรถแทรกเตอร์ดึงรถของพวกเรา ท่ามกลางความลุ้นระทึกของพวกเรา คุณลุงเร่งเครื่องรถแทรกเตอร์ แต่รถตู้ของพวกเราก็ยังไม่ยอมขยับอยู่ดี ในที่สุดชาวไอซ์แลนด์ทั้งหมดก็มาสุมหัว รัวภาษาไอซ์แลนด์ปรึกษากันอีกรอบ โดยมีพวกเรายืนให้กำลังใจอยู่ พวกเขาลองเปลี่ยนมุมดึงของรถแทรกเตอร์ดู เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม รถตู้ค่อยๆ ไต่ขึ้นมา ล้อหน้าผ่านแล้ว (สู้เขาลูกพ่อออ ผมลุ้นมาก พูดเลย) ล้อหลังค่อยๆ ตามมา และความพยายามครั้งที่สองก็สำเร็จ!!
ทั้งคนไทยคนไอซ์แลนด์ส่งเสียงเฮกันดังลั่น
ผมนี่อยากกระโดดกอดคุณลุงเจ้าของรถแทรกเตอร์คันนั้นจริงๆ เนื่องจากคุณลุงพูดอังกฤษไม่ได้ ผมเลยพูดแต่ Thank you ไปซ้ำๆ และคุณลุงก็คงเข้าใจ ผมหันไปขอบคุณคนอื่นๆ ที่เหลือ พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไร และอวยพรให้พวกเราเดินทางปลอดภัย
. . .
หลังจากร่ำลากันเสร็จ ผมรีบโทรไปยกเลิก 112 กลัวว่าเขาจะมาเสียเที่ยว พวกเราขับเข้าเมือง Borganes เพื่อทุกคนจะได้พักเบรคจากเรื่องขวัญหนีดีฟ่อที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ และจะได้หาอะไรใส่ท้องสักหน่อย เพราะนี่ก็บ่ายสามแล้วแต่ทุกคนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่แซนวิชตอนเช้า
เนื่องจากบางส่วนของ Borganes เป็นเนินสูง และพวกเราก็กำลังมองซ้ายมองขวาหาร้านอาหารกันอยู่ แอนดี้จึงขับรถเร็วมากไม่ได้ และสุดท้ายก็ไปหยุดล้อฟรีอยู่กลางเนิน (โอ้ย อะไรมันจะโชคร้ายรัวๆ ขนาดนั้นนะ) พวกเราจะขับขึ้นเนินก็ไม่ได้ พอจะให้ไถลลงรถก็ปัดจนกลัวจะไถลไปชนบ้านคนอื่นเขา
ทุกคนลงจากรถอีกรอบ เจี๊ยบวิ่งเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก แล้วฉกตัวคุณลุงในร้านออกมา พอเปลี่ยนคนควบคุมพวงมาลัยเป็นคนในพื้นที่ทุกอย่างก็ดูง่ายดาย แค่แป๊บเดียวรถก็ไถลตัวลงไปจอดนิ่งอยู่ที่ต้นเนินอย่างสวยงาม
พวกเราตัดสินใจแวะทานอาหารที่ปั๊มใน Borganes เพื่อเพิ่มพลัง หลังจากอกสั่นขวัญหายมาสามรอบติดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมเลยเสนอให้เปลี่ยนตัวคนขับรถ แอนดี้จะได้พักบ้าง (คือไม่ได้ขับเหนื่อยหรอกนะ แต่มันเครียด!) ผมเองยังคงต้องทำหน้าที่เป็นนาวิเกเตอร์เพราะเป็นคนรู้เส้นทางดีที่สุด ผู้ชายที่เหลืออยู่คนเดียวก็คือเอก หมอฟันคนเดียวในสมาชิกทั้งหมด
อย่าโดนลุคทันตแพทย์ใสๆ หลอกเอาได้ เห็นตัวเล็ก หน้าเด็ก เหมือนจะขับรถไม่แข็ง แต่ความเป็นจริงแล้ว เอกเป็นคนที่ขับรถทางไกลบ่อยกว่าใครเพื่อน (คอนโดอยู่กรุงเทพ แต่บางทีเฮียแกไปออกตรวจแถว นครปฐมบ้าง อ่างทองบ้าง) วันๆ เอกขับรถร่วมร้อยโล
ถึงแม้จะเป็นผู้ที่มีสกิลการขับรถที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่ก็ยังต้องตกที่นั่งลำบาก เมื่อเอกกำลังจะเจอกับสภาพถนนอันเลวร้ายที่สุดในชีวิต
มันเป็นเวลาเย็นมากแล้วตอนที่เรามุ่งหน้าออกจาก Borganes พอขับออกนอกเมืองได้ไปสักพักจากหิมะที่ตกหนัก ก็เปลี่ยนความรุนแรงเป็นพายุหิมะเต็มขั้น จากประสบการณ์ของคนที่เคยติดอยู่กลางพายุหิมะมาก่อน ผมบอกเลยว่านี่มันเลวร้ายกว่าที่ญี่ปุ่นจนเทียบชั้นกันไม่ติด ตัวการที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงมากคือลมครับ ภูมิประเทศในไอซ์แลนด์ไม่ค่อยมีต้นไม้ ลมที่ไอซ์แลนด์เลยแรงมาก... ผมหมายถึงแรงมากมากกกกกก!!! พวกเราที่นั่งอยู่ในรถรู้สึกได้เลยว่ารถโคลงเคลง เอกบอกว่าเวลาขับจะถือพวงมาลัยตรงไม่ได้ ต้องกินไปทางฝั่งที่ลมพัดมา เวลาเลี้ยวนี่ลำบากมากเพราะลมเปลี่ยนทิศ บางช่วงอาการหนักถึงขนาดไม่เห็นอะไรด้านหน้าเลย สิ่งเดียวที่ทำให้เรายังไม่ตกถนนคือคือพลาสติกสะท้อนแสงสีเหลืองซึ่งปักอยู่ตรงไหล่ทางเท่านั้น
“ด้านขวานี่เป็นอะไรอ่ะ” เอกถาม ท่ามกลางความเครียดของทุกคน
ผมดูแผนที่ก่อนจะตอบ “ทะเลน่ะ"
“หมายถึงมหาสมุทรเลยเหรอ”
“ใช่... ถามทำไมวะ”
เอกตอบว่า “อ๋อ ก็ถ้าตกถนนจะได้เลือกฝั่งถูก!!!”
เงียบกันทั้งรถ!!!
เพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่มุข แต่เอกหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
ผมถามตัวเองว่าจะหยุดพักก่อน หรือไม่ก็ถอยกลับไปตั้งหลักดีไหม แต่ในช่วงที่พายุเลวร้ายถึงขั้นสุด พวกเราอยู่เลยครึ่งทางไปแล้ว ถ้าหยุดรถก็ไม่รู้ว่าพายุจะหยุดเมื่อไหร่เกิดรถเสียขึ้นมาท่ามกลางอากาศแบบนี้ได้มีแข็งตายกันแน่ เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็คือที่โรงแรมนั่นแหละ ฉะนั้นพวกเราเลยไม่มีทางเลือกนอกจากค่อยๆ ขับฝ่าความมืดและพายุไปเรื่อยๆ
ทั้งรถเงียบกันหมด มีบทสนทนาสอดแทรกขึ้นมาประปราย แต่ผมสัมผัสได้ว่าทุกคนเครียด และอยากให้ถึงโรงแรมเร็วๆ หลังจากฝ่าพายุหิมะอันโหดร้ายและนั่งสวดมนต์มาเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ในที่สุดเอกก็พาพวกเรามาถึงที่พักของเราในคืนนี้ได้สำเร็จโดยยังไม่มีส่วนใดบุบสลาย ที่พักของเราเป็นโฮสเทลที่มีชื่อเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างมาก "The FREEZER hostel" ผมเคาะประตูเสียงดัง หญิงสาวผมบลอนด์ที่ออกมาเปิดประตูทำตาโตประหนึ่งเห็นผี พลางร้องเสียงหลง
“OH MY GOD!!!! How did you get HERE!!”
(เฮ้ย พวกมึงมากันได้ยังไงเนี่ย!!!)
แหม ช่างเป็นคำทักทายที่น่าประทับใจจริงๆ
พวกเราขนของเข้ามาด้านในโฮสเทล พนักงานที่นี่มีทั้งหมด 3 คนเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่พวกเขามาทำงานที่โฮสเทลแลกกับที่พักฟรี เธอบอกว่าพวกเราเป็นแขกกลุ่มเดียวที่นี่ในคืนนี้ เพราะคนอื่นๆ ยกเลิกการเข้าพักทั้งหมด เธอยังคงซักไซ้ผมต่อว่าขับมากันยังไง
ผมอธิบายเส้นทางที่พวกเราใช้ เธอถามเสียงดัง “นี่พวกคุณ ขับเส้นที่ตัดผ่านภูเขามาเหรอ!!!”
ผมพยักหน้า เธออ้าปากค้างก่อนจะบอกว่า “YOU GUYS ARE CRAZY!!!” เธอเล่าให้ฟังว่าตอนหัวค่ำเธอขับรถไปเมืองข้างๆ ที่ห่างไปแค่สิบนาที เธอยังอยากจะกรี๊ดไปตลอดทางเพราะเธอมองไม่เห็นอะไรเลย เธออยู่ที่นี่มาตลอดช่วงฤดูหนาวสามเดือน แต่เธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย
ผมเริ่มตระหนักในเวลานั้นว่าพวกเราโชคดีมากแค่ไหนที่ไม่เกิดอุบัติเหตุตกเขาตกทะเลไประหว่างทาง
พนักงานที่เหลืออีกสองคนพาพวกเราเดินชมพื้นที่ของโฮสเทล พวกเขาบอกว่าสมัยก่อนที่นี่เป็นโรงงานปลา แต่เจ้าของมารีโนเวทเป็นโฮสเทล
The freezer มีส่วนกลางที่กว้างขวางน่านั่งเล่นมาก และในหน้าร้อน จะมีกิจกรรมตอนกลางคืนอยู่สม่ำเสมอ บางทีเป็นดนตรีอะคูสติก บางคืนก็เป็นการแสดง หรือไม่ก็จะแปลงร่างห้องว่างให้กลายเป็นโรงหนังขนาดเล็ก แต่ที่แน่นอนคือวันนี้ไม่มีกิจกรรมใดๆ
พวกเราต้มมาม่าร้อนๆ กินกัน ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ
ประมาณเที่ยงคืนหิมะหยุดตก ผมเปิดดู Activity ของแสงเหนือ KP อยู่ที่ 2 ผมเลยชวนเพื่อนขับรถออกไปดูแสงเหนือกัน ซึ่งปรากฎว่าไม่เห็นครับ! น้ำตาจะไหล มันไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ถ้าตั้งกล้องถ่ายยังพอเห็นอยู่นิดหน่อย พวกเราถ่ายกันแค่ไม่กี่รูปแล้วก็กลับไปนอนเอาแรง ผมก่ะว่าเดี๋ยวสักตีสามจะลองใหม่อีกที
ตีสามนาฬิกาปลุก ผมแซะเพื่อนออกมาจากที่นอนทีละคน
แอนดี้ดูจะพักเต็มที่แล้ว พวกเราเลยเปลี่ยนเอกมาพักแล้วให้แอนดี้ขับช่วงสั้นๆ...
ทุกคนขึ้นรถเรียบร้อย แอนดี้ใส่เกียร์แล้วเคลื่อนรถไปข้างหน้า
ชั่วเวลาที่ผมละสายตาจ้อง ipad เพื่อหาจุดเหมาะๆ ไว้ดูแสงเหนือ
ครืดดดดดดดดดดดดดดดดด
อืม... เสียงและองศาเอียงๆ อันคุ้นเคย
รถไถลตกไปข้างทางอีกแล้วครับ!!! (นับเป็นครั้งที่ 4 ของวัน)
หิมะตกลงมาเยอะจนแยกไม่ออกว่าอันไหนถนน อันไหนเป็นไหล่ทาง ทุกอย่างที่พื้นมันขาวไปหมดเลย สมาชิกทุกคนยอมแพ้แล้วล่าถอยกลับไปนอน
เป็นการจบวันแรกของการผจญภัยได้อย่างไม่รู้ลืม
. . .
การผจญภัยยังไม่จบ
พบกันใหม่ในตอนต่อไปนะครับ
つづく
ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
. . .
ปล.
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา... แอนดี้ไม่ยอมขับรถอีกเลยจนจบทริป
...ขอกำลังใจให้แอนดี้หน่อยคับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in