เอาล่ะ ตัดกลับไป
ตลาดเบนถั่น
เบนถั่น เป็นตลาดที่คุ้นตามาก ถึงแม้จะไม่เคยเหยียบมาก่อน แว่บแรกที่เห็นเพดานสูงๆ ผมนึกว่าตัวเองโผล่เข้ามาเดินกาดหลวงที่เชียงใหม่ เดินไปสักพักเจอร้านเสื้อผ้ารองเท้าเรียงรายติดกันหลายร้านก็นึกถึงจตุจักร เลี้ยวเข้าตรอกเจอนาฬิกาวางเกลื่อนเต็มตู้โชว์ก็คิดถึงคลองถม ออกมาปุ๊บเจอร้านขายกับข้าว..โอ้วนี่มัน อตก.ชัดๆ
ฉะนั้นโดยรวมๆ แล้วผมไม่ได้ประทับใจมากมายอะไรกับเบนถั่น แต่ใครจะไปเยือนไซง่อนตลาดนี้มันอยู่ตรงทางลงรถเมล์ แวะไปเดินเล่นหลบแดดร้อนสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่เสียหาย
เดินตลาดเสร็จพวกผมก็เริ่มเหงื่อไหลไคลย้อย เนื่องจากกคาดว่าต้องไปเผชิญอากาศอันหนาวเหน็บของไอซ์แลนด์ทำให้ทุกคนจัดเต็มเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาวกันมาเต็มอัตราศึก โดยลืมไปว่า โฮจิมินท์มันร้อน!
อาจจะไม่เผาไหม้เท่ากรุงเทพ แต่มันก็ร้อน จากตอนแรกจะกินเฝอ ทุกคนเปลี่ยนใจเลี้ยวเข้าร้านไอติมซอฟครีมทันที ตอนแรกเขาให้กดไอติมมาก่อน แล้วก็ไปเลือกท้อปปิ้งอีกตู้นึง ไอ้เราก็งงว่าทำไมท้อปปิ้งมันไม่แปะราคาไว้ หรือว่าจะฟรี!!! แหม่ โป่ะเข้าไปเต็มสิครับ (ในรูปนี่คือกินท้อปปิ้งไปเกือบหมดแล้ว) พอเดินมาจ่ายเงิน พนักงานจับถ้วยไว้วางบนตราชั่งน้ำหนัก “5 หมื่นดองค่ะ” ส่วนของเพื่อนคนละสองหมื่นกว่าดอง น้ำตาจะไหล
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากใช้ WIFI และแอร์ในร้านจนคุ้ม ผมก็พาเพื่อนออกมาเดินเล่นชมตึกรามบ้านช่อง อาคารบางหลังเหมือนยกมาจากที่ยุโรปเลย คงเป็นเพราะโฮจิมินท์เคยตกอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสมาก่อน
ที่แรกที่เราเตร็ดเตร่ไปเจอก็คือ ไซง่อนโอเปร่าเฮ้าส์ ซึ่งมีสถาปนิกผู้ออกแบบเป็นชาวฝรั่งเศส และมีรูปร่างคล้ายกับ Opéra Garnier ในกรุงปารีส (ที่พิมพ์มานี่... ผมก็ยังไม่เคยไปนะครับ ฮาา)
เดินเรื่อยๆ ต่อมาก็เจอ Ho Chi Minh city hall
เป้าหมายถัดไปผมก่ะว่าจะพาเพื่อนๆ ไปหลบแดดใต้ร่มเงาต้นไม้ที่จตุรัสกลางเมือง เพื่อสักการะอนุสาวรีย์ลุงโฮจิมินท์ แต่ดันปิดซ่อมเสียได้ ไอ้เราก็พาเพื่อนเดินพาเหรดหาจตุรัสอยู่ตั้งนาน... เอ๋~ มันก็น่าจะอยู่ตรงนี้นี่หว่า เปิด ipad จิ้มดูแผนที่เกาหัวแกรกๆ อยู่ร่วมสิบนาที เพื่อนที่เริ่มลิ้นห้อยก็พากันส่งสายตาอาฆาตจนผมต้องรีบพาเพื่อนแว๊บไปหาอะไรกระแทกปากที่ร้านเฝอ 2000 พออาหารเข้าปากบวกกับได้แอร์เย็นๆ ทุกคนก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ถึงแม้รสชาติจะไม่ถูกปากสักเท่าไหร่)
หลังจากนั้นผมชวนเพื่อนก้าวเท้าเดินต่อไปที่ War Remnants Museum แปลตรงๆ ตัวคือพิพิธภัณฑ์เศษซากที่เหลืออยู่ของสงครามเวียดนาม สำหรับคนที่ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ผมจะพยายามเล่าเท่าที่ทราบนะครับ
"
สมัยที่เวียดนามตกอยู่ในการปกครองของฝรั่งเศส ประชาชนเวียดนามก็โดนกดขี่ เอารัดเอาเปรียบกันตามระเบียบ ชาวเวียดนามคนหนึ่งชื่อลุงโฮจิมินท์ก็ก่อตั้งกองกำลังทหารนามว่าเวียดมินท์ขึ้นมาต่อสู้กับฝรั่งเศส เรื่องมันไม่จบง่ายๆ เพราะตอนนั้นโลกกำลังตกอยู่ในสงครามเย็น โดยมีสองขั้วอำนาจนั่นคือ ฝั่งประชาธิปไตย และฝั่งคอมมิวนิสต์ คราวนี้ลุงโฮแกอยู่ฝั่งคอมมิวนิสต์ อเมริกาเองก็กลัว เขามีทฤษฎีว่าหากประเทศใดกลายสภาพเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะเปลี่ยนตามเป็นโดมิโน่ คราวนี้ถ้าเอเชียทั้งหมดเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ อเมริกาต้องถึงคราวซวยเป็นแน่แท้ ภาพของกองทัพนาซีเยอรมันที่ขยายอาณาเขตไปทั่วยุโรปยังคงติดตรึงอยู่ในใจ
ฉะนั้นอเมริกาเลยให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสต่อสู้ สุดท้ายจบลงที่แยกประเทศเป็นเวียดนามเหนือซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ และเวียดนามใต้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศสและอเมริกา
ต่อมาไม่กี่ปีอเมริกาอ้างว่าเรือของเวียดนามยิงขีปนาวุธใส่เรือของพี่มะกันที่กำลังลาดตระเวณอยู่ในอ่าวทองคิน (บางคนออกมาบอกว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรอก) แต่ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้าง หรือเรื่องจริงเหตุการณ์นี้ก็ทำให้คุณพี่มะกันเปิดฉากสงครามเวียดนามอย่างเต็มเหนี่ยว
ในพิพิธภัณฑ์เราจะได้เห็นความโหดร้ายทารุณของสงคราม อาวุธเคมีชื่อดังอย่างเช่น Agent Orange หรือฝนเหลือง ที่เป็นยาฆ่าแมลงซึ่งปนเปื้อนกับสารพิษ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ และยังก่อให้เกิดความพิกลพิการของทารกในครรถ์ มีการใช้ระเบิดนาปาล์มที่ลุกไหม้เป็นไฟปลดปล่อยความร้อนนับพันองศาเผาคร่าชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ รวมถึงมีการสังหารหมู่อย่างเลือดเย็นเกิดขึ้นหลายครั้ง
ผมเห็นชาวอเมริกันหลายคนยืนทึ่งอยู่กับรูปและเรื่องราวโหดร้ายที่รัฐบาลในอดีตของพวกเขาเป็นผู้จุดชนวน และได้ยืนเสียงพึมพำว่า oh my god ดังขึ้นหลายรอบ
แรกเริ่มอเมริกาเองคิดว่านี่เป็นสงครามที่ชิวๆ น่าเอาชนะได้ในเวลาอันสั้น เพราะมั่นใจในแสนยานุภาพและเทคโนโลยีทางทหารของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงทหารอเมริกันกลับต้องสู้รบอย่างยากลำบาก เพราะกองกำลังแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติเวียดนามใต้ หรือเวียดกง ใช้ความคุ้นเคยพื้นที่ซึ่งเป็นป่าดิบชื้นซ่อนตัว และทำการรบแบบกองโจรมากกว่าจะใช้กำลังทางทหารเข้าต่อสู้กันแบบปกติ แถมยังขุดเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่เอาไว้หลบซ่อนตัว, ส่งเสบียง ถึงขนาดมีโรงพยาบาลอยู่ในอุโมงค์กันเลยทีเดียว อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi tunnel) เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายซึ่งรัฐบาลเวียดนามได้อนุรักษ์และเปิดให้เยี่ยมชมได้ หากใครมีเวลามากกว่าหนึ่งวันที่โฮจิมินท์ ผมแนะนำให้ลองไปเที่ยวดูครับ
เวลาผ่านไป สงครามยืดเยื้อกว่าที่คิด และชาวอเมริกันเองก็สูญเสียจากการโจมตีของเวียดกงไปไม่น้อย ประชาชนเริ่มรวมกลุ่มประท้วงและเรียกร้องให้ยุติสงคราม ตามมาด้วยการกดดันจากสื่อโทรศัพท์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสุดท้ายรัฐบาลก็เริ่มถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามใต้ โดยคาดการณ์ว่ามีทหารอเมริกันเสียชีวิต 58,000 คน และจำนวนชาวเวียดนามผู้เสียชีวิตสูงถึง 1-3 ล้านคน
อเมริกาถอนกำลังทหารไปเวียดนามเหนือก็บุกยึดเวียดนามใต้และรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ"
. . .
ผมไม่ได้ถ่ายภาพที่อยู่ใน Museum นี้เลย เดินดูแล้วรู้สึกหดหู่เอามากๆ คิดว่าเดี๋ยวจะไปขอรูปเพื่อนคนอื่นมาทำรีวิว แต่ทุกคนก็ดันรู้สึกเหมือนกัน เลยไม่มีใครถ่ายรูปมาเลยสักคน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in