ในหนึ่งชีวิตของคนเรา
มีคนหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
บางคนเข้ามาเพื่อมีเรื่องราวกับเราไปอีกยาวนาน
บางคนเข้ามาเพื่อมีเรื่องราวเพียงระยะเวลาอันสั้น
หรือบางคนเข้ามาเพื่อผ่านเลยไปเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม
อย่างน้อยจะมีช่วงเวลาหนึ่ง
ที่เราได้เคยพูดคุย แลกเปลี่ยน
ความคิดเห็น . . . ความรู้สึก . . .
หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ให้อีกคนหนึ่งฟังเสมอ
ทั้งแบบผิวเผิน หรือเชิงลึกก็ตาม
หลายครั้งที่เราเป็นผู้รับฟังไปโดยไม่รู้ตัว . . .
หลายครั้งที่เราเป็นคนเอ่ยคำพูดปลอบประโลมใจ . . .
เป็นทั้งผู้คลายความทุกข์และผู้สร้างกำลังใจในเวลาเดียวกัน
" ดูๆไปฉันเองก็เป็นเหมือนศาลาพักใจ
เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้ใครหลาย ๆ คนเหมือนกันนะ "
แต่ก็เป็นหลาย ๆ ครั้งอีกเช่นกัน
หลาย ๆ ครั้ง เวลาที่พวกเขาดีขึ้น พร้อมที่จะไปต่อ
พวกเขากลับเดินออกไปจากศาลาพักใจแห่งนี้
โดยไม่มีแม้แต่ . . . หันหลังกลับมามอง
"ทำไมพวกเขาช่างเย็นชาเหลือเกิน"
ประโยคนี้ ก่อนเคยเป็นประโยคที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันมาตลอด
ฉันรู้สึกสงสัยทุกครั้ง ที่มันเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
" นี่ฉันมีความสำคัญกับเขา เพียงแค่ความสบายใจเท่านั้นหรือ ? "
ความคิดนี้เองที่อาจทำให้เราน้อยใจ
รู้สึกไม่อยากจะเป็นที่ปรึกษาให้ใครอีกต่อไป
. . . แต่ถ้าถามความรู้สึกจริงๆที่มาจากภายในใจเราล่ะ . . .
ทุกครั้งที่เราคอยให้กำลังใจ ปลอบประโลมเขา
ให้เขาคลายกังวล และพ้นจากความทุกข์ที่เป็นอยู่
ให้เขามีความสบายใจ และลุกขึ้นยืนหยัดได้อีกครั้งหนึ่ง
มันมีความรู้สึกอิ่มเอมใจใช่มั้ย ที่เราได้ทำอย่างนั้น
รู้สึกมีความสุขเหมือนกัน ที่ได้เห็นรอยยิ้มและความมุ่งมั่นของเขา
เหตุใดเล่า เราถึงจะยังคงความอคตินี้เอาไว้อยู่
ตัวฉันผู้ซึ่งตัดความอคตินี้ออกไป . . .
ฉันมีความคิดที่จะกลับมาช่วยเหลือผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน
เท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
ให้เขาได้กลับมาอยู่บนเส้นทางของเขาได้อีกครั้ง
ในวันที่เขาเดินหลงทาง
และได้มาพบเจอกับ ที่ปรึกษา อย่างฉัน .
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in