หลังจัดการเรื่องวุ่นๆ เรียบร้อยแล้ว ธาดาจึงต้องไปบินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เคยวางแผนไว้ว่าจะลาหยุดก็มีอันต้องพับไป
ดังนั้นเมื่อได้จะได้ไปทำงานแน่ๆ แล้ว ผู้ช่วยนักบินคนเก่งจึงทำตามสัญญา อนุญาตให้หลานตัวน้อยจับอาแต่งตัว...
ธาดาเป็นผู้ชายไทยที่มีรูปร่างค่อนไปทางผอม ยิ่งด้วยอาชีพแล้ว วันนึงๆ แทบไม่ค่อยได้ออกแรง กล้ามเนื้อที่ทำให้ร่างกายดูบึกบึนจึงมีน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ออกกำลังกายฟิตหุ่นเป็นประจำ แต่เพราะความสูงก็ไม่ได้มากมายอะไร เฉลี่ยแล้วพอๆ กับมาตรฐานชายไทยเช่นกัน มองเผินๆ จึงดูสมส่วนดีไม่ขาดไม่เกิน
หลังจากปลุกเจ้าตัวน้อยให้ล้างหน้าล้างตาแล้วแยกตัวไปอาบน้ำ ธาดาสวมกางเกง ท่อนบนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นออกมาจากห้องน้ำ เดินเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง เพื่อมาเจอเด็กน้อยที่ยืนตัวตรงรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ธาดายิ้มให้ภาพนั้นน้อยๆ
เมื่อวานไม่ยักมีทีท่าอยากแต่งตัวตุ๊กตาแบบนี้เลย...
เพราะยังตัวเล็ก ปรมัตถ์จึงได้รับไฟเขียวเป็นกรณีพิเศษให้ยืนบนเตียงได้ ตอนนี้เด็กเจ็ดขวบ ด้วยความช่วยเหลือของฐานเตียงและฟูก จึงสูงเกือบเท่าผู้ใหญ่อายุยี่สิบเจ็ด…
ธาดาเดินเข้าหาจนเข่าชนขอบเตียง พยักหน้าเป็นสัญญาณว่า… เริ่มได้
เนื่องจากคนเป็นอาเพียงสวมเสื้อไว้บนบ่าหมิ่นๆ ไม่ได้ติดกระดุมและยังปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง
นิ้วเล็กๆ ของปรมัตถ์จึงค่อยๆ จับชายเสื้อให้เสมอกัน จากนั้นเริ่มกลัดกระดุมจากเม็ดล่างสุดขึ้นมาจนถึงบนสุดอย่างเป็นระเบียบ
วิธีการที่แตกต่างจากพฤติกรรมปกติของคนทั่วไปที่มักติดกระดุมจากบนลงล่าง เรียกความสนใจจากหุ่นจำลองเดินได้อยู่ไม่น้อย
แต่ธาดาก็ไม่ได้ถามอะไร เขาเพียงลอบสังเกตการกระทำของเจ้าตัวเล็กเงียบๆ แล้วจดจำเอาไว้ในใจ
พอปรมัตถ์กลัดกระดุมเรียบร้อย มือใหญ่ของคนเป็นอาก็เอี้ยวตัวไปหยิบเนคไทที่ผูกเงื่อนเป็นวงเตรียมพาดรอไว้บนหลังพนักเก้าอี้ส่งให้มือเล็ก ก่อนถามหยั่งเชิงเสียงนุ่ม
“ถ้ายังไม่เคย ให้อาผูกเองก่อนไหม แล้วมัตถ์ค่อยใส่เข็มขัดให้อาแทน”
ตาโตๆ ของปรมัตถ์จ้องเขานิ่ง เจ้าตัวเล็กเหลือบมองวงเนคไทในมือเล็กน้อยก่อนกระพริบตาและส่ายหน้าเบาๆ
ธาดาเอ็นดูท่าทางแบบนี้ของเด็กน้อยเหลือเกิน…
“อาก้ม…”
ปรมัตถ์พูดเบาๆ พร้อมกวักมือน้อยๆ ต่อหน้าอาธาดาที่ทำตามอย่างว่าง่าย คล้องเนคไทสีกรมท่าแต้มด้วยลวดลายดาวตกสีเงินลงไปแล้วรูดปมขึ้นจนชิดปกเสื้อได้อย่างไหลลื่น ไม่เงอะงะจนธาดาแปลกใจ
“แต่งตัวให้คุณพ่อบ่อยเหรอเรา? ผูกไทคล่องเชียว” ธาดาหัวเราะในคอ รู้สึกภูมิใจในตัวหลานชายคนเก่งจนอดยกมือขึ้นขยี้ผมสีดำสนิทนั่นไม่ได้
คนตัวเล็กถูกชมก็ได้แต่ก้มหน้างุดเพื่อซ่อนพวงแก้มขาวๆ ที่ตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ลืมไปหมดว่าตอนนี้ควรพยักหน้าตอบรับหรือส่ายหน้าปฏิเสธดี
ธาดานึกขำเด็กขี้อายในใจ…
หูแดงฟ้องออกแบบนี้… ซ่อนยังไงก็ไม่มิดหรอกครับคนดี
ฮึ่ย… มันเขี้ยว
ธาดารวบเด็กน้อยขึ้นอุ้ม… อา… เจ็ดขวบแล้ว แต่ตัวปรมัตถ์ยังเบาหวิวอยู่เลย
เช้านี้เด็กน้อยช่วยเขาใส่เสื้อผ้า เย็นนี้กลับมาจากไฟล์ทเขาลองชวนไปหาอะไรอร่อยๆ กินนอกบ้านดีมั้ยนะ มัตถ์จะได้กินข้าวได้เยอะๆ
เอ… หรือจะพาไปเดินดูขนมที่สนามบินหาดใหญ่ดี…
ความคิดผุดขึ้นในหัวแว่บหนึ่ง ธาดาไม่รอช้า รีบโทรขออนุญาตปรพลที่ยังติดงานอยู่ต่างจังหวัด และเรียกพี่จิตเข้ามาอธิบายว่าต้องทำอะไรบ้าง ทั้งที่ตัวเองยังอุ้มปรมัตถ์ติดแขนอยู่อย่างนั้น พอรายงานปรพลและให้พี่จิตไปเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อย ก็หันมาคุยกับเจ้าตัวเล็ก
“วันนี้อาจะพาไปกินไอติม มัตถ์อยากไปมั้ยครับ”
เด็กน้อยกลับจ้องเขาเฉยๆ ไม่หือไม่ฮือ
นี่ไง… เพราะไม่ค่อยชอบกินอะไรแบบนี้ เจ็ดขวบแล้วถึงยังตัวนิดเดียว
ธาดาจึงลองอีกครั้ง
“งั้น… อาพาไปที่ทำงานดีมั้ยครับ…”
เด็กน้อยตาโต… ผงกศีรษะสองสามทีก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปม
ที่ทำงานอาธาดา…? หมายถึงห้องนักบินบนเครื่องบินน่ะเหรอ? แต่อีกฝ่ายเคยบอกว่าคนนอก แม้กระทั่งเด็กเล็กๆ อย่างปรมัตถ์ก็ไม่สามารถเข้าห้องนั้นเวลาเครื่องกำลังบินอยู่นี่นา…
ธาดาคิด ก่อนจิ้มหว่างคิ้วขาวนุ่มดังปึก เป็นเด็กเป็นเล็กทำหน้าซะเครียดเชียว
“คิดอะไรอยู่ครับ ไหนบอกอาหน่อยสิ…”
ธาดายิ้ม แล้วถามคำถามแหย่ไปอีกรอบ
“คิดถึงไอติมโยเกิร์ตซอฟเสิร์ฟ ยี่ห้อพิ้งเบอรี่เหมือนอารึเปล่าน้า…”
แน่นอนว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้ห่วงแต่เรื่องรับประทานเหมือนอาธาดาของเขา แต่กำลังเป็นห่วงเป็นใย กังวลว่าถ้าอีกฝ่ายพาเขาไปด้วยจะลำบากในที่ทำงาน
“มัตถ์ไม่ไป… มัตถ์กินซอฟเสิร์ฟ… มัตถ์รอ อยู่บ้าน...”
ธาดาเลิกคิ้วให้กับเสียงเบาๆ หวานๆ ของคนตัวเล็ก เพราะนานๆ ครั้ง ปรมัตถ์ถึงจะพูดทีละหลายๆ คำแบบนี้ และส่วนมากจะต้องมีบางอย่างผิดปกติ
เขาจึงวางหลานลง ให้ยืนที่พื้นแล้วค่อยคุกเข่าตามลงไปถาม
“มัตถ์ไม่อยากไปดูอาขับเครื่องบินเหรอครับ”
ปรมัตถ์ก้มหน้า คล้ายพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะซ่อนอากัปกิริยานั้นไว้ด้วยการวางคางจนชิดอก
อยาก…? รึไม่อยากนะ…?
เกิดอะไรขึ้นกับหลานคนโปรดของเขากันเนี่ย… หรือไม่อยากกินซอฟต์เสิร์ฟกันนะ มัตถ์กลัวไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
แน่นอนว่าปรมัตถ์ไม่ได้กังวลถึงไอศกรีมนุ่มๆ สีขาวๆ เหล่านั้น เด็กน้อยรู้สึกวิตกในหน้าที่การงานแทนอาของเขาต่างหาก...เพียงแต่ธาดาคิดไม่ถึงว่าเด็กอายุแค่เจ็ดขวบจะใจกว้างคิดเผื่อเขา จนทำให้มีความคิดล้ำลึกเกินเด็กได้ขนาดนี้
ธาดาคิดจนหัวแทบแตก ว่าจะเอาอะไรมาล่อปรมัตถ์แทน…
แต่คิดเท่าไรก็ยังคิดไม่ออก...
ปกติธาดาหัวไวและช่างสังเกต จึงรอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง แต่เรื่องเดียวที่เขามักหัวช้าจนเกินคาด ก็คือเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง...
จริงๆ แล้ว ถ้าธาดาแค่ตัดเรื่องกินออกจากหัวไปบ้าง ก็น่าจะพอมีสติและลองถามหลานตัวน้อยอีกครั้งก็จะหาคำตอบได้ไม่ยาก...
พยายามเข้านะ อาธาดาคนเก่ง...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in