เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
การกลับมาอีกครั้งของเพื่อนกลุ่ม O ในฉบับซีรีส์aorvip
การกลับมาอีกครั้งของเพื่อนกลุ่ม O ในฉบับซีรีส์
  • "เราจะลืมได้ยังไงล่ะฝุ่น ก็วันเกิดของฝุ่นน่ะ ตรงกับวันตายของแม่เรา เราจะลืมได้ยังไงล่ะ" (O-Negative รักออกแบบไม่ได้, 1998) 


    หลายๆคนคงคุ้นหูกับไดอะล็อกข้างต้น โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นยุค 90 ซึ่งเป็นประโยคเด็ดประโยคหนึ่งจากภาพยนตร์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนที่เล่าผ่านมุมมองความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนนักศึกษาวิชาออกแบบในมหาวิทยาลัยศิลปะ ที่เรื่องราวความรักของพวกเขาดูท่าจะออกแบบไม่ได้ แต่ในฐานะคนดูเราสามารถออกแบบความประทับใจต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ในแบบฉบับของตัวเองได้แตกต่างกันไป  : )


    ตัวเราเองเกิดปี 1993 ถึงจะเกิดร่วมสมัยกับหนังเรื่องนี้ แต่ช่วงเวลาที่หนังฉายเราก็อายุเพียง 5 ขวบ ซึ่งก็จะเรียกว่าเป็นวัยรุ่นยุค 90 ไม่ได้เช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้เราไม่อินกับไดอะล็อกเชยๆเหล่านั้น จริงๆแล้วเรารู้จักเพลงประกอบหนังก่อนที่จะรู้จักหนังเสียอีก เพลงนั้นก็คือ 'รัก...โลกาภิวัตน์' ซึ่งก็รู้จักผ่านหนังอีกเรื่องคือ 'ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ้น' (2008) ผลงานจากค่ายหนัง GTH ที่ตอนนี้ transform เป็น GDH559 ไปแล้ว แต่เพิ่งได้ฤกษ์งามยามดีที่จะได้ทำความรู้จักกับหนังเรื่องนี้ซะที เพราะเร็วๆนี้ O-Negative รักออกแบบไม่ได้ ได้กลับมารื้อฟื้นความทรงจำของวัยรุ่นยุค 90 อีกครั้งในแบบฉบับซีรีส์ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เรากลับไปดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์เพื่อซึมซับเสน่ห์ของนักแสดงในแบบ 90s kids และประกอบกับการดูซีรีส์ไปด้วยจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่อยากจะเขียนถึง 'O-Negative รักออกแบบไม่ได้' ทั้งสองเวอร์ชั่น 


    หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวมิตรภาพของกลุ่มเพื่อนนักศึกษาคณะมัณฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่บังเอิญมีเลือดกรุ๊ปเดียวกันคือ กรุ๊ปโอ ประกอบด้วย ปืน อาร์ท ปริม ฝุ่น และชมพู่ โดยหนังเรื่องนี้เล่าผ่านมุมมองของชมพู่ หญิงสาวที่ชอบบันทึกความทรงจำผ่านตัวอักษร ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทั้ง 5 คนก็มีทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขและความขมขื่นของความรักระหว่าง 'เพื่อนไม่จริง' ของบางคนในกลุ่ม ส่วนตัวแล้วมองว่านักแสดงทุกคนในเวอร์ชั่นหนังมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองแตกต่างกันไป และมันก็ทำให้หนังรักระหว่างเพื่อนที่บังเอิญมาผูกพันกันด้วยความชอบในวิชาออกแบบน่าติดตามว่าท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนจะออกมาเป็นแบบใด และสามารถออกแบบความรักระหว่างเพื่อนเหมือนออกแบบงานศิลปะที่พวกเขารักได้หรือไม่


                (อาร์ท ปริม ชมพู่ ฝุ่น ปืน รับบทโดย เรย์ แมคโดนัลด์ ทาทายัง อ้น ศรีพรรณ หลิว มนัสวีร์                  และชาคริต แย้มนาม ตามลำดับ)


  • หลังจากที่ทราบว่าจะมีการรีเมคภาพยนตร์เรื่อง O-Negative รักออกแบบไม่ได้ ในเวอร์ชั่นซีรีส์ ในตอนแรกก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก แต่พอได้ดูเวอร์ชั่นหนัง ก็ทำให้อยากติดตามว่าเวอร์ชั่นซีรีส์จะทำออกมาในรูปแบบใด ซึ่งเมื่อลองชิมลางสอง EP. แรก ก็เรียกได้ว่าเก็บทุกเม็ดของฉากสำคัญๆจากหนังเมื่อปี 1998 ได้ดีทีเดียว เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย อย่างเช่น การสื่อสารผ่านไลน์ การรับน้อง ซึ่งในเวอร์ชั่นซีรีส์ก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการว้ากให้ดูเข้ากับปัจจุบันที่จะมีรุ่นพี่มาคอยแหกปากพูดเรื่องความสามัคคี และคอยกวนประสาทด้วยคำพูดที่แทบจะมองไม่เห็นว่าจะทำให้รักกันยังไง โดยใส่ฉากระหว่างที่กลุ่ม O ต้องโดนรับน้องเข้าไปในซีรีส์มากกว่าที่ปรากฏในหนัง หรือมีการเพิ่มเติมเนื้อหา สอดแทรกมุกเรื่อยๆให้ดูเพลินๆ คาแรกเตอร์พี่โก๋ พี่ว้ากปี 4 ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่จะเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์ของเพื่อนกลุ่ม O ซึ่งรับบทโดย สตาร์บัค พงศ์พิชญ์ ครั้งนี้ได้เปลี่ยนภาพพี่โก๋แบบเดิมไปเลยทีเดียว แม้จะเป็นพี่โก๋ที่ไม่ได้ดูน่าเกรงขามแบบในเวอร์ชั่นหนัง แต่ด้วยลุคที่ดูเป็นหนุ่มติสท์ เหมาะกับคาแร็กเตอร์เด็กศิลปากร จึงทำให้เห็นภาพพี่โก๋ในแบบพี่ว้ากหนุ่มเดคที่ดูเซอร์ๆ บ้าๆ และกวนประสาท เป็นพี่โก๋ที่เรามองว่า "เออ    สตาร์บัคก็เล่นกวนต*นดีว่ะ 555"

    เวลาผ่านไปสามสัปดาห์ ตอนนี้ซีรีส์ก็ดำเนินมาจนถึงครึ่งเรื่อง เรื่องราวก็กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ มีการเพิ่มเนื้อหาเพื่อให้เนื้อเรื่องไม่สั้นเกินไป แต่ถ้าจะให้เขียนถึงเวอร์ชั่นซีรีส์ สิ่งที่อยากเขียนมากที่สุดคือ เสน่ห์ของตัวละครแต่ละคน ถึงแม้ว่าจะได้นักแสดงรุ่นใหม่มาสวมบทบาท แต่ก็มีความน่าสนใจในเสน่ห์ของคาแรกเตอร์ ปืน อาร์ท ปริม ฝุ่น และชมพู่ ในแบบวัยรุ่นยุค 2016 ซึ่งแน่นอนว่าต้องแตกต่างจากแบบฉบับของ ชาคริต เรย์ ทาทา หลิว และอ้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังคาดหวังว่านักแสดงชุดนี้จะยังคงเสน่ห์ของเดิมไว้ให้ใกล้เคียงที่สุด ก่อนที่ซีรีส์จะออกอากาศ ก็ได้มีการเทียบนักแสดงชุดเดิมและชุดใหม่ ซึ่งแต่ละคนก็เคยผ่านผลงานการแสดงมาแล้ว ตอนแรกก็นึกไม่ออกหรอกว่านักแสดงชุดนี้จะเป็นกลุ่ม O สไตล์ไหน แต่พอได้ดูมาจนถึง EP.7 เมื่อเวลาทั้ง 5 คนอยู่รวมกัน ก็เริ่มรู้สึกถึงตัวละครเดิมๆได้ชัดขึ้น แต่ถ้าจะให้เขียนโดยใช้มุมมองส่วนตัว คงจะเรียงตามลำดับความประทับใจในบทบาทที่ได้รับชม ซึ่งส่วนตัวเราชอบ 'เก้า' และ 'เก้า' ที่สุดแล้ว (เก้า จิรายุ อาจจะมากกว่าหน่อยนึง เพราะในเวอร์ชั่นหนังเราชอบตัวละคร 'อาร์ท' ที่สุด)
  • คนแรกขอพูดถึงเก้า จิรายุ ซึ่งรับบทเป็น อาร์ท ก่อนเลยละกัน เก้ามีประสบการณ์การเล่นละครมาตั้งแต่เด็ก การมาเล่นซีรีส์ที่รีเมคจากภาพยนตร์ครั้งนี้ก็เชื่อว่าเก้าจะสามารถทำได้ดีไม่แพ้เรื่องอื่นๆ ส่วนตัวชอบในความเป็นธรรมชาติ การแสดงออกผ่านสายตา ด้วยคาแรกเตอร์ของหนุ่มติสท์ อารมณ์ร้อน แต่มีความจริงใจ จำได้ว่าตอนดูหนังรู้สึกว่าเรย์ แมคโดนัลด์ทำได้ดีมาก และเก้าก็ทำให้นึกถึงอาร์ทในแบบเรย์ได้เยอะทีเดียว ฉากสำคัญอย่างตบมาตบกลับไม่โกง หรือผลักมาต่อยกลับ ซึ่งเป็นฉากสำคัญของบทอาร์ท เก้าก็แสดงได้ผ่านฉลุย จึงปักหมุดรอติดตามฉากที่อาร์ทจะต้องตบผู้ปกครองขององอาจเพราะโดนตบก่อนเลยทีเดียว ไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงในการโต้ตอบ แต่อยากเห็นการแสดงอารมณ์ของเก้าว่าจะทำได้แบบที่เรย์เล่นไว้หรือไม่ ซึ่งก็คิดว่าสำหรับเก้า จิรายุคงไม่ใช่ปัญหา

    จิรายุ ละอองมณี รับบท อาร์ท


    ผ่านไปหนึ่งเก้า ตามมาด้วยเก้าที่สอง ซึ่งรับบทเป็น ฝุ่น ฝุ่นเป็นลูกคุณหนูที่ดูมั่นๆหน่อย แต่ก็ยังเข้ากับเพื่อนได้ ดูรวมๆแล้วมีความน่ารักสดใสสมวัย อีกทั้งยังไม่ทิ้งลายความอ้อย ความแอ๊วเอินผู้ของนาง เก้าเป็นฝุ่นที่มีเสน่ห์มากๆ คำพูดคำจาก็ดูน่ารัก ในซีรีส์ได้มีการเพิ่มเรื่องราวระหว่างฝุ่นกับปืนเพิ่มจากในหนัง ให้ดูมีที่ไปที่มาระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งเราก็จะได้เห็นโมเม้นน่ารักชวนจิ้นระหว่างเก้ากับต่ออีกครั้ง ในส่วนของฝุ่นฉากสำคัญก็คงหนีไม่พ้นตอนที่ต้องทะเลาะกับปริมเมื่อเห็นปริมอยู่กับปืนสองต่อสองในวันเกิดตัวเอง ซึ่งจะเป็นอย่างไรนั้น นักแสดงหน้าใหม่แต่มากฝีมืออย่างเก้าก็น่าจะเอาอยู่

    สุภัสสรา ธนชาต รับบท ฝุ่น


  • ปืน ในเวอร์ชั่นหนังรับบทโดย ชาคริต แย้มนาม พระเอกที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงที่เป็นธรรมชาติ ในคราบหนุ่มเซอร์ ผมยาว เจ้าชู้ ขี้เล่น แต่พอมาถึงฉบับซีรีส์ที่ได้ต่อ ธนภพ มารับบทนี้ตอนแรกนี่นึกภาพไม่ออกเลย เพราะต่อกับชาคริตมีคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างต่างกัน แต่เมื่อได้ดูไปตั้งแต่สอง EP. แรก ต่อก็สามารถเป็นปืนที่ดูน่ารักไปอีกแบบ ในภาพของเด็กหนุ่มลูกชายคุณหมอ ฐานะดี ที่มองเผินๆก็อาจจะมีหน้าตา บุคลิกไม่เข้ากับการเรียนศิลปะ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร เพราะต่อก็ยังคงมีเสน่ห์ในแบบของปืนที่ยังมีความน่ารัก ขี้เล่น เจ้าชู้นิดๆ ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และจะต้องได้เห็นฉากร้อนแรงระหว่างปืนกับฝุ่นอย่างแน่นอน แต่อีกหนึ่งความจิ้นที่พลาดไม่ได้ ก็คือมิตรภาพดีๆระหว่างปืนกับอาร์ท ความเข้าขากันของชาคริตและเรย์ก็ดูเป็นธรรมชาติ ส่วนของต่อและเก้าก็ดูซ่อนความมุ้งมิ้งน่ารักเหมือนกัน ซึ่งจะมีจุดแตกหักระหว่างเพื่อนสนิทหรือไม่ก็ต้องคอยติดตาม 

    ธนภพ ลีรัตนขจร รับบท ปืน


    มาถึงตัวละครที่สำคัญอีกคน ครั้งนี้ได้นักแสดงหน้าใหม่ซึ่งเคยฝากผลงานไว้ในซีรีส์วัยรุ่นชื่อดังอย่าง ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 3 กับบทบาท ดิว รุ่นพี่ชั้นม.6 ที่ทำให้คนหมั่นไส้เพราะความปากดีของเธอมาแล้ว ครั้งนี้ ก้อย อรัชพร ต้องมาทำหน้าที่คอสเพลย์เป็นอ้น ศรีพรรณที่เคยรับบทเป็น ชมพู่ ในหนังเรื่องนี้ จะว่าไปบุคลิกของเธอก็ดูใกล้เคียงกับชมพู่เหมือนกัน ซึ่งก้อยก็แสดงตัวตนของชมพู่ออกมาได้ดีไม่แพ้อ้น ชมพู่เป็นเด็กสาวที่อยู่ในกฎระเบียบของครอบครัวเชื้อสายจีน และการเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอดชีวิตมัธยม ซึ่งการเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาของเธอก็นับเป็นการก้าวสู่อิสรภาพของชีวิตวัยรุ่น การได้เจอสังคมใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆโดยเฉพาะเพื่อนชาย ทำให้เธอแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สร้างสีสันให้กับทั้งหนังและซีรีส์ เพราะเธอเป็นผู้เฝ้ามองและคอยบันทึกเรื่องราวมิตรภาพที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ ถึงแม้จะเป็นคนตลก เฮฮา แต่ชมพู่ก็เป็นคนเซนซิทีฟ ซึ่งก็จะเห็นเธอร้องไห้แทบทั้งเรื่องไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ ตอนที่ดูอ้น ศรีพรรณแสดง อ้นเป็นชมพู่ที่ดูธรรมชาติมาก มีทั้งความรั่ว ความตลกไม่มากไม่น้อยเกินไป ส่วนก้อยที่รับบทนี้ในซีรีส์ อาจจะดูมากกว่าอ้นนิดนึงแต่เราว่าไม่เกินงาม เพราะสมัยนี้ต้องเล่นเยอะเล่นใหญ่เข้าไว้ ก้อยก็ทำออกมาได้ดี ถอดแบบชมพู่ออกมาได้ใกล้เคียง อีกทั้งเธอก็ยังร้องไห้เก่งด้วย เป็นอีกคนที่น่าติดตาม 

     อรัชพร โภคินภากร รับบท ชมพู่
  • มาถึงนางเอกของเรื่อง แต่เป็นตัวละครที่เราขอพูดถึงลำดับสุดท้าย ปริม ในซีรีส์รับบทโดย วี วิโอเลต เรามักจะเห็นภาพวี ในฐานะนักร้องที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ แต่เธอก็เคยฝากผลงานภาพยนตร์ไว้หลายเรื่อง ด้วยบุคลิคอาร์ทติสท์ของวีก็ดูจะเหมาะกับการเล่นเป็นนักศึกษามัณฑณศิลป์ ซึ่งก็แตกต่างจากภาพปริมในแบบทาทา ในความรู้สึกส่วนตัว ภาพปริมในแบบทาทานี่มีเสน่ห์มาก เงียบๆขรึืมๆ แต่ก็ต่อปากต่อคำเก่ง มีความสตรองและความอ่อนโยนซ่อนอยู่ด้วยกัน เราประทับใจปริมในแบบทาทามาก โดยเฉพาะฉากที่โดนฝุ่นตบและต้องพูดประโยคที่กล่าวเปิดสตอรี่นี้ มันเป็นการบอกความรู้สึกในใจของปริมได้ดีทีเดียว ถ้าพูดถึงวี วิโอเลต ก็เคยได้รับชมผลงานของเธอในภาพยนตร์ที่เธอเล่น บท 'เจ๋' จากเรื่อง 'ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ' เป็นบทที่ดูเป็นตัวเธอมากๆ ซึ่งเราก็ชอบในแบบที่เธอเล่น แต่สำหรับการเล่นซีรีส์โทรทัศน์ เท่าที่รู้น่าจะเป็นเรื่องแรกของเธอ ตอนแรกก็เฉยๆกับตัวละครนี้เพราะคิดว่าลุคของวีน่าจะตรงกับคาแรกเตอร์ของปริม แต่เมื่อได้รับชมซีรีส์ ถึงแม้เธอจะหน้าตาน่ารัก มีลุคคนเรียนอาร์ท แต่ทำไมเราถึงไม่ค่อยอินในเสน่ห์ของปริมฉบับซีรีส์สักเท่าไหร่ ในมุมมองของเรา ปริมเป็นคนที่พูดจาฉะฉาน ดูมีความน่ารักสดใสซึ่งจะต่างไปจากความสดใสแบบฝุ่นและชมพู่ และมันทำให้เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆแต่น่ารักและมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แต่ที่เราไม่ค่อยอินกับบทปริมในแบบของวี จะบอกว่าเพราะติดภาพความเป็นนักร้องของเธอก็คงไม่ถูก เพราะทาทาเองก็เป็นนักร้องเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะสำเนียงการพูดของเธอที่ต่างไปจากปริมในแบบทาทา มันดูเรียบเฉย ขัดๆหูยังไงชอบกล แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอแสดงไม่ดีนะ เพียงแต่มันยังไม่แตะปุ่มความอินในบทบาทที่เธอแสดงเท่านั้นเอง จึงทำให้ปริมซึ่งที่จริงเป็นตัวละครที่เราชอบรองจากอาร์ทในฉบับหนัง กลับกลายเป็นตัวละครที่เรารู้สึกเฉยๆค่อนไปทางน่าเบื่อ แต่ก็ไม่แน่ในฉากสำคัญอื่นๆ วีอาจจะทำได้แตกต่างไปจากปริมในแบบทาทา ซึ่งก็แอบหวังเล็กๆว่าเธอจะดึงเสน่ห์ของปริมคนเดิมกลับมาอีกครั้ง   

    วิโอเลต วอเทียร์ รับบท ปริม

    จริงๆเราก็ไม่เคยเขียนรีวิวหนังหรือละครเลย การเขียนครั้งนี้เพียงอยากจะบอกเล่ามุมมองส่วนตัวต่องานชิ้นหนึ่งที่เราอินกับมัน เราว่าหนังมันมีความคลาสสิคในตัวอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อมาทำเป็นซีรีส์ก็ย่อมแตกต่างไปจากเดิมบ้าง แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือเรื่องราวของสายใยระหว่างเพื่อนกลุ่ม O ที่เล่าผ่านมุมมองของเพื่อน จึงคิดที่จะเขียนถึง O-Negative ซึ่งถึงแม้รัก(จะ)ออกแบบไม่ได้ แต่ในฐานะคนดูก็สามารถออกแบบได้ว่าอะไรคือความประทับใจที่ได้จากการรับชม  : )


    "เป็นเพื่อนกันนั่นแหละ จะได้คบกันนานๆ จำไว้" - อาร์ท                       (O-Negative รักออกแบบไม่ได้, 1998)




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in