เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
Glasgow and my Christmas miracles✨

  • 25 December 2020






    A scary new strain of Covid-19


    เราเดินทางไปกลาสโกว์ในช่วงที่ทางรัฐบาลอังกฤษเพิ่งออกมาประกาศว่าพบไวรัสโควิดกลายพันธุ์พอดิบพอดีเลยค่ะ ตอนแรกก็แอบหวั่นใจนิดๆ เลยภาวนาว่าขอให้ยกเลิกไฟล์ทนี้ไปซะเพราะหลายๆ ประเทศเริ่มจะที่ยกเลิกเที่ยวบินเข้าออกจากอังกฤษแล้ว ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจไม่อยากทำงานนะคะ แต่มันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ เนื่องจากที่อ่านจากข่าวมาก็คือเจ้าไวรัสกลายพันธุ์ตัวนี้มันร้ายนัก สามารถติดต่อสู่กันและกันง่ายขึ้นกว่าเดิม 40-70% เลยค่ะ ทำให้ทางอังกฤษออกมายอมรับว่าเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้รัญบาลไม่สามารถควบคุมการระบาดในประเทศได้


    แต่จนแล้วจนรอด ไฟล์ทนี้ก็ไม่ยกเลิกเสียที เราเลยตัดใจว่าเอาวะ ไปก็ไป ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ ไม่เอามือไปจับนั่นนี่เรื่อยเจื้อย ไม่เข้าไปใกล้ใครเกินพอดีเอาก็แล้วกันเนอะ และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจไปทำงานในไฟล์ทนี้ก็คือ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงคริสมาสต์พอดี ทำให้เราคิดขึ้นมาว่าคนที่เดินทางเข้าออกประเทศ ณ เวลานี้ ภายในช่วงที่สถานการณ์เป็นแบบนี้จะต้องเดินทางเพราะความจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ เลยทำให้เรารู้สึกว่ายิ่งต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด นั่นก็คือการส่งผู้โดยสารทุกท่านเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย




    เราจะผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน









    Galley Queen is back!

    สำหรับไฟล์ทขาไปนี้ก็มีความวุ่นวายเกี่ยวกับการทำงานเกิดขึ้นนิดหน่อยค่ะ กล่าวคือ ทาง Operation Team ใส่ลูกเรือมาให้ไม่ครบตำแหน่ง เนื่องจากขาไปเราใช้เครื่อง B777-300 ส่วนขากลับใช้ B777-200 เขาเลยใส่จำนวนลูกเรือมาพอดีกับไฟล์ทขากลับ ส่วนไฟล์ทขาไปก็ต้องมาสลับตำแหน่งการทำงานกันอีกที โดยให้ลูกเรือที่ซีเนียร์ในชั้นธุรกิจขึ้นไปทำเฟิร์สคลาส แล้วดึงเอาลูกเรือซีเนียร์ในชั้นอีโคมาทำงานในบิสเนสแทน


    ปัญหามีอยู่ว่า... คนที่เหลืออยู่ในชั้นบิสเนส (เราและลูกเรือยูเครน) เป็นเด็กใหม่ทั้งคู่ นูกูเซโย๊ เพิ่งเริ่มบินไม่นานก็เจอโควิด แม้ว่าจะโดนดึงมาทำงานบ้างเป็นครั้งคราว แต่ทุกไฟล์ทคือการเริ่มใหม่หมดเลยเพราะเซอร์วิสเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด ประกอบกับตัวเราเองก็เพิ่งจะกลับมาจาก Unpaid Leave ที่ห่างหายจากการทำงานไป 2 เดือน มันเลยมีความไม่คล่องตัวในการทำงานอยู่บ้าง หานู่นหานี่ไม่เจอ และทำงานช้ากว่าลูกเรือที่มีประสบการณ์


    เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้แล้ว เราเลยกลายเป็นลูกเรือที่ซีเนียร์ที่สุดในบิสเนส เลยต้องรับตำแหน่งแกลลี่ เป็นซังกุงห้องเครื่องค่ะ ถ้าเป็นตอนที่เราทำงานในอีโค ตำแหน่งนี้คือสิ่งที่เรารักมากเพราะชอบที่ได้จัดแจงนั่นนี่กระจุ๊งกระจิ๊งและไม่ต้องออกคาร์ทไปพบปะประชาชน แต่งานแกลลี่ของบิสเนสนั้นยุ่งยากและซับซ้อนกว่ามาก ต้องเตรียมของหลายอย่าง แล้วเราเองก็ใหม่มาก เอาแค่งานในเคบินที่เสิร์ฟนู่นทำนี่ยังไม่คล่องเลย นี่ต้องมาจัดการงานครัวอีก บอกเลยว่าตายสนิทค่ะ


    ระหว่างไฟล์ทนั้นเรารู้สึกเหมือนโดนเหวี่ยงออกมาจากคอมฟอร์ทโซนซ้ำอีกทีนึง (โดนเหวี่ยงครั้งแรกคือการทำงานในบิสเนสนี่แหละ) แล้วโดนปั่นๆๆๆๆๆๆๆ ให้หมุนเหมือนอยู่ในเครื่องซักผ้า ลูกเรือฝั่งซ้ายจะเอาค็อกเทลอันนั้น ลูกเรือฝั่งขวาจะเอาคาปูชิโน่ อาหารก็ต้องอุ่น ซุปก็ต้องเท คาร์ทเครื่องดื่มก็ต้องเตรียม ส่วนเคบินซุปก็ลอยตัวอ๊องแอ๊งไปมา ทำตัวเป็นเพลงของลุลา มีเหมือนไม่มี


    แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้แบบงงๆ ยังคงถามตัวเองว่าเอ๊ะ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้างนะ ผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้ยังไงหนา เราไม่ได้ทำงานแล้วรู้สึกเหนื่อยมากๆ ขนาดนี้มานานแล้ว (เพราะไม่มีงานให้ทำ แฮ่!) ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยค่ะ ยิ่งไฟล์ทยุ่งยิ่งสนุกเพราะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว แต่พอถึงโรงแรมปุ๊บก็แทบจะสลบ








    อากาศเย็นๆ สบายๆ ที่ 3 องศาค่ะ













    Into the world of watercolor


    หากเป็นโลกในยุคก่อนโควิด เมื่อเราไปถึงโรงแรมแล้วก็ต้องรีบลบเครื่องสำอางออก แต่งหน้าใหม่ และเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก หรืออย่างน้อยๆ ก็ออกไปนั่งจิบกาแฟในคาเฟ่เล็กๆ ไม่ก็ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต คือแม้ว่าจะเหนื่อยขนาดไหน ยังไงก็ต้องเข็นตัวเองออกไปให้ได้อยู่ดี และใช้เวลา 24 ชั่วโมงที่มีอยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้


    จนช่วงหลังๆ ที่เราเริ่มล้าจากการทำงาน ชักจะรู้สึกว่าการตื่นมาตั้งแต่ตีสามแล้วทำงานยิงยาวจนถึงบ่ายสามโมงเริ่มไม่ใช่เรื่องสนุก และการถูลู่ถูกังลากกายหยาบของตัวเองออกไปข้างนอกหลังจากชั่วโมงทำงานอันแสนยาวนานนั้นเป็นเรื่องที่ฝืนความรู้สึกมากพอสมควร ทำให้ช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้เราไม่ค่อยมีเรื่องอะไรใหม่ๆ เล่าให้อ่านเหมือนอย่างเคย แรกๆ ก็รู้สึกผิดเหมือนกันค่ะที่ไม่ได้ออกไปไหนหรือเลือกไปไฟล์ทที่ทำงานง่าย เคยไปมาแล้ว รู้ว่าต้องไปไหนทำอะไรเมื่อเดินทางไปถึง แต่หลังๆ ก็ชักจะปล่อยเบลอ ไม่ได้รู้สึกผิดกับการนอนเฉยๆแล้วสั่ง UberEATS มานั่งกินบนเตียงแต่อย่างใด


    พอสถานการณ์โลกบังคับให้เราต้องอยู่แต่ในห้องก็เลยเข้าทาง ไม่ต้องรู้สึกผิดลึึกๆ ในใจอีกต่อไปว่า เอ๊ะ เรามาถึงกลาสโกว์แล้วจะไปออกไปเดินเล่นดูเมืองซักนิดซักหน่อยหรือ เรามีเวลาในการผ่อนคลาย ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องรีบเร่งแข่งกับเวลา และรู้สึกว่าได้พักผ่อนหลังจากการทำงานจริงๆ ค่ะ








    สั่ง Room Service แล้วเดินลงไปรับเองที่ Reception ฮี่ฮี่







    เมื่อไม่ได้ออกไปไหนเหมือนอย่างเคย เราเลยสรรหากิจกรรมใหม่มาทำ นั่นก็คือ การวาดรูปและระบายสีน้ำค่ะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะผ่อนคลายหรือว่าเพิ่มความเครียดกันแน่ ฮ่าาาาา (จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากเล่าเกี่ยวกับสีน้ำอีกเยอะมากๆเลย แต่ขอยกยอดเอาไว้เล่าใน The Art of Solitude นะคะ)




















    ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่ IG: @studio.naiipah นะคะ








    Christmas Miracles


    สารภาพตามตรงจากใจจริงของเราเลยก็คือ เราไม่ชอบการทำงานในบิสเนสคลาสค่ะ เราคิดเสมอว่าการได้เปลี่ยนมาทำงานในเคบินนี้จะช่วยสร้างแรงใจให้เรามากขึ้น เนื่องจากเราทำงานแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาสี่ปีเต็มในอีโค่ มันจำเจ ไร้ความแปลกใหม่ และชวนให้พลังใจของเราลดลงทุกวัน ฉะนั้นการเปลี่ยนไปทำงานในเคบินใหม่ อาจเป็นความท้าทายที่เราตามหาอยู่ก็ได้ แต่เราลืมนึกไปว่าการก้าวออกมาทำอะไรใหม่ๆ บางครั้งมันก็ต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความไม่รู้ การที่ต้องฝึกฝนทดลองทำ และการโดนเหวี่ยงไปเจอกับเรื่องที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไรนัก



    โดยส่วนตัวแล้ว เราไม่ชอบความไม่รู้ ไม่เก่ง ไม่ถนัดในการทำอะไรซักอย่างหนึ่ง และคิดเสมอว่าการที่เราไม่รู้ ไม่เก่ง หรือไม่ถนัดนี้แปลว่าเราเป็นคนห่วย ไร้ความสามารถ

    เราไม่ชอบที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น รักในการทำอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง (และบางทีก็คิดเอาเองว่าเราไม่ไว้วางใจให้คนอื่นทำอะไรแทนให้เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำได้ดีเท่ากับที่เราลงมือทำเองหรือเปล่า ซึ่งนิสัยแบบนี้นั้นก็มีคนบอกว่ามันสุดแสนจะเป็นชาวราศรีธนูที่แท้ค่ะ)




    และด้วยความที่เราเป็นคนแบบนี้ที่มี mindset ประหลาดประมาณนี้ ทำให้ช่วงแรกของการทำงานในบิสเนสเป็นความทุกข์ใจค่ะ เราไม่รู้ เราต้องคอยถามลูกเรือคนอื่น เราทำงานช้ากว่าเขา เราโดนผู้โดยสารบ่น เราเจอลูกเรือด้วยกันเองแอบเม้าเราในแกลลี่ว่าเป็นตัวถ่วงของทีม

    จากเหตุการณ์ที่ไม่น่ารักและพบเจอกับสถานการณ์การทำงานที่ไม่ราบรื่นเท่าใดนักในแต่ละวัน ทำให้เราแขยงการทำงานในบิสเนสค่ะ ทุกๆ วันที่ตื่นมาแล้วต้องไปทำงาน เราจะเครียดมาก กังวลไปหมดว่าวันนี้เราจะทำอะไรพลาดรึเปล่า จะเจอคนที่ไม่น่ารักมั้ย หรือถ้าทำงานช้าจะโดนคอมเพลนแน่นอน

    เราใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวการไปทำงานตั้งแต่เดือนมกราคมจนกระทั่งถึงไฟล์ทนี้ ที่อาการกลัวการไปทำงานยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากเราไม่ค่อยได้บิน ทำให้ทุกๆ ไฟล์ทเป็นเหมือนการเริ่มต้นเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมดเลย

    จนกระทั่งเราได้มาพบกับผู้โดยสารท่านนี้ที่เดินทางจากกลาสโกว์ไปนาริตะเพื่อไปพบภรรยาของเขา ก่อนที่ทางญี่ปุ่นจะประกาศไม่รับชาวต่างชาติเข้าประเทศในวันที่ 28 ธันวาคม และนี่คือเรื่องราวของ Christmas Miracle ที่เกิดขึ้นในปีนี้ของเราค่ะ✨





    From Glasgow, with love



    เรากำลังจะหย่อนตัวลงนั่งพักหลังจากที่เราหัวหมุนเสิร์ฟทุกอย่างจนจบเซอร์วิสอาหารเย็น เสียงคอลเบลก็ดังติ๊งพร้อมกับแสงไฟสีฟ้าสว่างสไวในโซนที่เราทำงานอยู่ ยอมรับว่าตอนนั้นถอนหายใจหนึ่งเฮือกด้วยความเหนื่อย ในใจก็คิดว่ากำลังจะนั่งอยู่แล้วน้าาาพร้อมกับยิ้มให้ตัวเองทีนึงแล้วหยิบถาดเดินเข้าไปในเคบิน


    เป็น Mr. W นี่เองที่กดเรียก เราจำชื่อเขาได้เพราะเป็นคนเอาโค้ทของเขาไปแขวนและเขาเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่ไม่รับ main course แต่ข้ามไปรับ chesse board แทนเนื่องจากมีไฟล์ทต่อไปนาริตะเลยอยากจะทานอะไรเบาๆ เพื่อรองท้องเท่านั้น


    "I'm going to see my wife!"
    "And of course on Christmas Day!" เขาบอกเราด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


    Mr. W สั่ง Gin & Tonic เหมือนเดิมอย่างที่เคยสั่ง และก่อนที่เราจะหมุนตัวกลับเข้าแกลลี่ เขาก็ถามมาว่า


    "How's your 2020 going so far?"

    คำถามนี้ทำเอาเราหยุดคิดไปนิดนึงว่าจะตอบยังไงดี เหมือนแค่เสี้ยววินาทีนั้น ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในปีนี้มันแว้บกลับเข้ามาฉายชัดอยู่ในสมอง แต่ยังไม่ทันที่จะตอบอะไรกลับไป Mr. W ก็พูดต่อกลับมาว่า

    "Hard, right? For all of us." เราพยักหน้าหงึกๆ แล้วเขาก็เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังว่าเขาทำงานเป็นวิศวกรซ่อมบำรุงเรือที่ต้องคอยออกทะเลไปนานๆ แม้จะเคยชินกับการที่จะต้องอยู่ไกลบ้าน แต่ปีนี้ก็เป็นปีที่ยากสำหรับเขาเหมือนกัน

    "But it's about this" เขาชี้นิ้วไปที่ศีรษะแล้วอธิบายต่อว่า "Your mindset is everything." จากนั้นบทสนทนาของเรากับเขาก็ว่าด้วยเรื่องของการมีสมองและจิตใจทีผ่อนคลาย นิ่งสงบ จะทำให้เรามีสติในการใช้ชีวิตประจำวัน พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ที่ยากลำบากต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต พร้อมทั้งสอนให้รู้จักหยุดพักแล้วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะลงมือทำอะไรซักอย่างหนึ่ง (mental clarity นั่นแหละ)


    และก่อนที่เราจะกลับไปนั่งที่เพื่อแลนด์ดิ้ง สิ่งที่เราทำเสมอคือเดินไปขอบคุณผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางกับเราในวันนี้ ซึ่งก็ได้รับคำอวยพรเนื่องในวันคริสมาสต์กลับมามากมายจนใจฟู จนกระทั่งวนกลับมาที่ Mr. W ซึ่งเขาก็ย้ำกับเราว่า You're capable of more than you know และขอให้เราเชื่อในตนเองอยู่เสมอ แล้วเขาก็ยื่นหน้ากากผ้าอันนี้มาให้ บอกว่าเป็นของขวัญคริสมาสต์และปีใหม่ พร้อมกับขอบคุณเราที่ทำให้การเดินทางในวันนี้เป็นเรื่องราวดีๆ ที่น่าจดจำ








    จากบทสนทนาที่ล้ำค่าและคำอวยพรที่ตรึงใจจาก Mr.W ที่เปรียบเสมือนของขวัญในวันคริสมาสต์นี้ ทำให้เราได้กลับมาฉุกคิดเกี่ยวกับตัวเองในหลายๆ เรื่องและย้ำเตือนเราให้ระลึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในสิ่งที่เราใฝ่ฝันอยากจะทำให้ได้ ก็คือการเป็นความทรงจำที่ดีของใครซักคนบนโลก และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรายังคงมีความสุขกับการทำอาชีพนี้อยู่ในทุกๆ วัน

    อีกทั้งยังทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ถึงแม้ว่าทางข้างหน้ามันจะยากหรือการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งเหตุแห่งความไม่สบายใจ ก็ขอให้เราเชื่อมั่นในตัวเองเสมอว่าเราทำได้ เหมือนอย่างที่เราเคยทำและผ่านมันมาแล้วในทุกๆ ครั้ง :)







    Merry Christmas & Happy New Year

    ขอบคุณมิตรรักนักอ่านที่สนับสนุนและติดตามกันมาตลอดระยะเวลา 5 ปีนี้
    ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นและกำลังใจดีๆ ที่มีให้แก่กันตลอดมา
    ที่ทำให้เรารู้สึกว่าด้วยรักฯเป็นพื้นที่น่ารัก
    ที่เราสามารถนำเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตมาเล่าสู่กันอ่านได้


    ขอให้ปี 2021 ที่จะถึงนี้ เป็นปีที่น่ารักสดใสสำหรับทุกๆ คนนะคะ
    แล้วพบกันใหม่ในเร็วๆ นี้ค่ะ


    รักทุกคนเสมอค่ะ

    ด้วยรัก...จากทะเลทราย

    :)







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in