มาเสนอชื่อหนังให้ตั้งตารอดูด้วยกัน
รอไม่นานหรอกเข้า 20 กรกฎาคม ศกนี้แล้ว
Dunkirk นั่นเอง
แปะตัวอย่างซะหน่อย
มาพร้อมข้อมูลในการโน้มน้าวเต็มที่
PART I: Dunkirk เป็นหนังอะไร
ดูตัวอย่างก็คงคิดว่าเป็นหนังสงครามใช่ไหม
ดันเคิร์ก (หรือดังเคิร์ก หรือดังแคฮ์ก ถ้าออกเสียงแบบฝรั่งเศส) เป็นชื่อยุทธการศึกครั้งใหญ่ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 ทหารอังกฤษและฝรั่งเศสกว่า 400,000 นาย ถูกปิดล้อมไว้ตลอดแนวชายฝั่งด้วยหมู่ยานเกราะของเยอรมัน ปฏิบัติการอพยพนี้มีชื่อรหัสว่า "ยุทธการไดนาโม" หลายคนเรียกมันว่า "ปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์ก"
ทหารราว 330,000 นาย รอดชีวิตมาได้ทางทะเล
แต่นี่ไม่ใช่หนังสงคราม โนแลนกล่าว
ดันเคิร์ก เป็นเรื่องราวของ "การมีชีวิตรอด"
สิ่งที่โนแลนอยากเล่าคือประสบการณ์การเอาชีวิตรอดของเหล่าทหาร จาก 3 เส้นเรื่องหลัก คือ ทางบก ทหารที่ติดบนชายหาด, ทางน้ำ เรือที่มาช่วยอพยพ, ทางอากาศ เครื่องบินขับไล่ โนแลนต้องการเล่าดันเคิร์กโดยสร้างความลุ้นระทึก หวั่นวิตก ตึงเครียด และพยายามให้คนดูสัมผัสประสบการณ์แบบเดียวกับที่ทหารบนชายหาด บนเรือ หรือบนเครื่องบินสปิตไฟร์รู้สึก
ฟังจากปากโนแลน:
คำถาม: ถ้ามันเป็นยุทธการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำไมไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน?
คริสโตเฟอร์ โนแลน บอกว่าเขาคิดเรื่องดันเคิร์กมากว่า 20 ปี มันไม่เคยถูกเล่าในฐานะหนังยุคโมเดิร์นมาก่อนเลย นับตั้งแต่เวอร์ชั่นขาวดำของเลสลี่ นอร์แมน ในยุค 1950s
เหตุผลหลักก็คือ มันเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ต้องถ่ายทอดในสเกลที่ใหญ่มากๆ และต้องใช้งบมหาศาล ซึ่งเม็ดเงินทุนสร้างเยอะปานนั้นต้องมาจากสตูดิโอของฮอลลีวูดเท่านั้น และฮอลลีวูดก็สนใจแต่เรื่องราวของอเมริกันชนเสียมากกว่า แล้วเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้มีอเมริกันเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
ดังนั้น โนแลนจึงไม่ได้พยายามโน้มน้าวให้สตูดิโอสร้างหนังดันเคิร์ก จนกระทั่งสตูดิโอเชื่อถือเขามากพอที่จะยอมให้สร้างดันเคิร์กเป็นหนังบริติช ด้วยงบระดับหนังอเมริกัน
และเมื่อมันไม่ใช่หนังสงคราม แต่เป็นเรื่องราวของทหารที่อยู่ในสงคราม มันจึงไม่แตะเรื่องการเมือง
โนแลนไม่อยากให้หนังถูกเมินด้วยความล้าหลัง ไม่อยากเล่าอะไรที่ไม่สำคัญกับคนดูยุคปัจจุบันอีกแล้ว หนังดันเคิร์กจึงตัดมิติทางการเมืองออกไป เราจะไม่ได้เห็นเชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษในยุคนั้น (เจ้าของประโยคทอง 'We will fight on the beaches...") ไม่ได้เห็นบรรดานายพลในห้องประชุมขยับหมุดโน่นนี่บนแผนที่ แทบไม่ได้เห็นศัตรูด้วยซ้ำ เราจะสัมผัสประสบการณ์การเอาชีวิตรอดของทหารกันล้วนๆ จริงๆ
__________
PART II: Dunkirk มีนักแสดงคนใดบ้าง
โนแลนขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการเลือกใช้นักแสดงมากความสามารถ ส่วนเรื่องนี้จะมีใครบ้างไปดูกัน
1 บนชายหาด
โนแลนเลือกนักแสดงหน้าใหม่สุดๆ อย่าง ฟินน์ ไวท์เฮด มาเป็นตัวหลัก ซึ่งโนแลนบอกว่า ฮอลลีวูดเคยชินกับการใช้นักแสดงอายุ 28-30 มาเล่นอ่อนกว่าวัย เขาอยากได้หน้าใหม่จริงๆ อยากได้ความซื่อสมวัย ประมาณนั้น
นอกจากนี้ยังมี แฮร์รี่ สไตลส์ ซึ่งเหตุผลที่แฮร์รี่ได้เล่นก็คือ... ไปออดิชั่นเหมือนคนอื่นเขานี่แหละ แล้วก็เข้าตาโนแลน เลยได้บทไป แค่นั้น โนแลนไม่ได้รู้ด้วยซ้ำ ว่าแฮร์รี่ดังระดับไหน แบบเคยได้ยินลูกสาวพูดถึง แต่ไม่ได้สนใจไม่ได้รู้จริงจังว่าดังมาก โนแลนชมด้วยว่าการแสดงของแฮร์รี่ในดันเคิร์กไม่ธรรมดาเลย โดดเด่นมาก
ฟังโนแลนชมแฮร์รี่:
ยังไม่หมด ยังมีเจมส์ ดาร์ซีย์อีก (พ่อบ้านจาร์วิส แห่ง Agent Carter)
2 ทางเรือ
มีทั้งเจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายอย่าง มาร์ค ไรแลนซ์ (Bridge of Spies)
นักแสดงสมทบมากฝีมือ คิลเลียน เมอร์ฟี่ ที่ร่วมงานกับโนแลนมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่ Inception, The Dark Knight และหน้าใหม่อย่าง ทอม กลินน์-คาร์นีย์ (ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าน้องหน้าหวานตาหวานคล้ายคิลเลียน แค่เป็นเวอร์ชั่นผมทอง)
จำคิลเลียนใน Inception ได้เปล่า ฟิชเชอร์ เป้าหมายของภารกิจปลูกความคิดในฝันไงล่ะ
คิลเลียนใน The Dark Knight คือเจ้าสแกร์โครว์
(โอเค หยุดขายคิลเลียนก็ได้...)
ยังมีเคนเนธ บรานาห์ (กิลเดอรอย ล็อคฮาร์ท ในแฮร์รี่ พอตเตอร์, ผู้กำกับ Thor, หนังอีกเรื่องในปีนี้คือ Murder on The Orient Express เป็นแอร์คูล ปัวโรต์) อยู่ในชุดยศสูงของทหารเรือ
เจมส์ ดารซีย์กับเคนเนธ บรานาห์
(ชุดพอร์นดีจริงๆ--)
มีหน้าใหม่น่าจับตามองอีกคน คือ แบร์รี่ คีโอแกน ซึ่งมีหนังกับคอลิน ฟาร์เรลเรื่อง The Killing of a Sacred Deer โดยผู้กำกับ Lobster น่าดูมากๆ เหมือนกัน
3 ทางเครื่องบิน
นักบินสปิตไฟร์นำโดย ทอม ฮาร์ดี้ (ของเรา)
รายนี้ก็ร่วมงานกับโนแลนในจักรวาลเดียวกับคิลเลียนเหมือนกัน ทั้ง Inception และแบทแมน The Dark Knight Rises
นี่อีมส์ไง จำไม่ได้เหรอ
นี่ก็เบนไง (กอดกับแบทแมนคริสเตียน เบล #พักรบมาพบรัก)
(โอเค ไม่ควรขายผู้ชายอีกแล้วสินะ...)
นักบินสปิตไฟร์อีกคน น้องใหม่ แจ็ค ลาวเดน
ผู้ชายในชุดทหารเป็นกองทัพสามเหล่าทัพขนาดนี้ ไม่น่าดูให้มันรู้ไป--
__________
PART III: การถ่ายทำของ Dunkirk
สิ่งที่ทำให้ดันเคิร์กน่าดูก็คือ เทคนิคการถ่ายทำที่ใช้เทคนิคจริง ของจริง สถานที่จริง เพื่อให้นักแสดงได้สัมผัสประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ระเบิดอยู่ตรงหน้าจริงๆ ทำให้สิ่งที่ออกมามันไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ฟังแฮร์รี่ สไตลส์, ฟินน์ ไวท์เฮด, แจ็ค ลาวเดน, ทอม กลินน์-คาร์นีย์ เล่าประสบการณ์การถ่ายทำในสถานที่จริงและของจริง:
โนแลนใช้เครื่องบินของจริงถ่ายทำ
ด้วยความไม่อยากพึ่ง CGI ในการถ่ายทำฉากเครื่องบินรบ เลยพยายามหาเครื่องบินจริงที่เหมือนกับเครื่องยุคนั้น แถมต้องไปลาก แดน ฟรายด์คิน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องบินสปิตไฟร์ (เจ้าของสปิตไฟร์หกลำและนักบินฝีมือฉกาจ) มาปรึกษาในการสร้างฉากเครื่องบินรบดวลกันระยะประชิด อยากให้คนดูสัมผัสความรู้สึกราวกับนั่งอยู่ในค็อกพิทของเครื่องบินสปิตไฟร์
เอากล้อง IMAX ติดไว้ข้างปีกเครื่องบินสปิตไฟร์ ให้นักบินบินฉวัดเฉวียนไปพร้อมกับกล้อง (ไม่อยากคิดราคาถ้ากล้องร่วง...)
แต่ไม่มีการเอาเครื่องบินรบโบราณมาชนกันนะ ถ้าต้องมีการทำลายล้าง จะสร้างเครื่องบินจำลองเลียนแบบขึ้นมาใช้ในฉากเครื่องบินร่วง
และถึงนี่จะเป็นการถ่ายทำทางอากาศที่ยากที่สุดที่โนแลนเคยทำมา แต่เขาก็เคยทำมาก่อนใน The Dark Knight Rises เขารู้จักนักบิน รู้จักตากล้อง รู้ว่าจะจัดการยังไง ส่วนฉากแอคชั่นบนพื้นก็ทำมาบ่อยแล้ว ที่ใหม่และท้าทายที่สุดก็คือการถ่ายทำฉากเรือ
โนแลนอยากให้เห็นภาพความน่ากลัวของเรือที่ล่มจมในทะเล
ในการอพยพที่ดันเคิร์ก มีการวางแผนใช้กองเรือพิฆาต รวมถึงส่วนเสริมเป็นเรือเล็กกว่า 700 ลำ ประกอบด้วยเรือประมง เรือพาณิชย์ เรือสำราญ มีการสูญเสียเรือกว่า 230 ลำ รวมถึงเรือพิฆาตของบริติช 6 ลำ จุดหนึ่งโนแลนถึงกับรู้สึกว่านี่เราทำอะไรเกินตัวรึเปล่า มีวันหนึ่งต้องใช้เรือออกไปในน้ำกว่า 62 ลำ ไม่รู้มีใครเคยทำถึงขนาดนั้นไหม
หลังจากปรึกษาผู้กำกับที่เคยถ่ายทำทางเรืออย่างสตีเวน สปีลเบิร์กกับรอน ฮาวเวิร์ด ก็ได้คำแนะนำว่า โหมดที่ดีที่สุดในการถ่ายทำฉากเรือคือ แฮนด์เฮล แม้ว่าจะใช้กล้อง IMAX ในการถ่ายทำก็เถอะ แต่วิธีนี้ตากล้องจะสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเรือได้
มาร์ค ไรแลนซ์ ซึ่งรับบทเป็นพลเรือนที่เอาเรือเล็กออกไปช่วยทหารบอกว่าการเข้าใจเรือและหางเสือเรือเป็นเรื่องสำคัญ เขาอยากรู้ว่าสถานการณ์จริงๆ บนเรือจะทำให้เราเข้าใจความเป็นมนุษย์ของตัวละครของเขาได้อย่างไร
ฮอยท์ แวน ฮอยเทอมา ผู้กำกับภาพ และตัวโนแลนเอง ใส่ชุดดำน้ำ ว่ายน้ำลงไปถ่ายทำร่วมกับนักแสดงกลางน้ำ การถ่ายทำโดยลงไปสัมผัสประสบการณ์เดียวกันกับสิ่งที่นักแสดงต้องเผชิญ แทนที่จะนั่งอยู่ในเต็นท์ดูนักแสดงจากจอมอนิเตอร์ เป็นอะไรที่สำคัญมาก ทั้งในแง่ของการให้กำลังใจ และถ้าอยากให้ผู้ชมได้รู้สึกว่าอยู่ที่นั่นกับเราด้วยจริงๆ
แต่ไม่ว่ากระบวนการถ่ายทำทั้งหมดจะท้าทายแค่ไหน ก็ไม่มีทางเปรียบเทียบกับสิ่งที่คนในยุค 1940 ต้องเผชิญจริงๆ ได้เลย
ไอเดียเบื้องหลังของดันเคิร์กก็คือ มันไม่ใช่เรื่องราวของวีรบุรุษปัจเจกชน แต่คือเรื่องราวของวีรบุรุษมหาชน ความตระหนักรู้ของสังคมในภาพรวมเป็นปัจจัยสำคัญในปฏิบัติการนี้
มันจึงทำให้เรื่องราวนี้ไม่เหมือนใคร และเป็นเหตุผลที่ทำให้โนแลนคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่หลอมรวมจิตใจชาวบริติชเข้าไว้ด้วยกันมาตลอด เขาคิดว่ามันมีความเป็นสากลด้วย ในส่วนของการเอาชีวิตรอดของแต่ละบุคคล และความสิ้นหวังในการที่จะได้กลับบ้าน
__________
PART IV: เกร็ดภาพยนตร์ Dunkirk
สัมภาษณ์นี้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของหนังให้รู้เยอะดี สรุปคร่าวๆ
• หนังมีความยาว 1 ชั่วโมง 47 นาที
เพราะโนแลนต้องการเล่าเรื่องให้เข้มข้น บีบคั้น และกระชับที่สุด
• บทภาพยนตร์ยาวแค่ 76 หน้า
เป็นประมาณครึ่งเดียวของบทหนังโนแลนปกติ โนแลนไม่อยากเล่าเรื่องด้วยคำพูด ไม่อยากอธิบายคนดูว่าทำไมต้องแคร์ตัวละคร แต่อยากให้คนดูแคร์ตัวละครแค่เฉพาะต่อสถานการณ์ตรงหน้าที่ตัวละครกำลังเผชิญ
• เสียงติ๊กต่อกในหนังมาจากนาฬิกาโนแลน
เสียงติ๊กต่อกที่เร้าอารมณ์เป็นสกอร์ของหนังนั้นใช้นาฬิกาของโนแลน (เป็นนาฬิกาพกไขลาน) โนแลนมีนาฬิกาเยอะ เอามาอัดเสียง ฟังดูแล้วเลือกอันที่ดีที่สุดส่งไปให้ฮานส์ ซิมเมอร์ใช้ทำสกอร์
• โนแลนเป็นคนควบคุมค็อกพิท
แจ็ค ลาวเดนเล่าว่าโนแลนเป็นคนควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของค็อกพิทเครื่องสปิตไฟร์ด้วยตัวเอง (นักแสดงถ่ายทำบนพื้นดินในค็อกพิตจำลองที่หมุนไปมาได้) และถ้าต้องมีอะไรมาชน โนแลนก็จะขว้างของใส่เอง
• นักบินสปิตไฟร์คุยกันจริงๆ
แจ็ค ลาวเดนบอกว่า การถ่ายทำบนเครื่องบินสปิตไฟร์ เวลาคุยกับตัวละครทอม ฮาร์ดี้นักบินอีกลำ ก็ได้คุยกันจริงๆ (ไม่ได้พากย์ทับทีหลังอะไรงี้) และเวลาขึ้นบินก็ใกล้กันมากแบบบินผ่านมองตากันได้
เหนื่อยแล้ว แค่นี้นะ
ปล. Dunkirk ในระบบพิเศษ IMAX 70 มม. มีฉายที่พารากอนที่เดียว ดูความใหญ่ของภาพเทียบกับ IMAX ปกติดิ
__________
Edited 18/07/2017
PART V: เสียงชื่นชม Dunkirk ของนักวิจารณ์ภาพยนตร์ต่างประเทศ
เมื่อคืนสิ้นสุดกำหนด Embargo (การห้ามไม่ให้เผยแพร่รีวิวหนังจนกว่าจะถึงกำหนด)
คำวิจารณ์ Dunkirk จึงได้ออกสู่สาธารณะและโซเชียลมีเดียเรียบร้อย
ณ Rotten Tomatoes เว็บไซต์ชื่อดัง
(ซึ่งให้เปอร์เซ็นต์เป็นสเกลคร่าวๆ คำนวณจาก ชอบ/ไม่ชอบ เท่านั้น แต่ก็มีรีวิวละเอียดให้อ่านเต็มๆ)
ได้คะแนนเฉลี่ยจากนักวิจารณ์ 98% จากนักวิจารณ์ 40 คน ชอบ 39 คน : ไม่ชอบ 1 คน
ส่วน Metacritic ที่โดยเฉลี่ยได้คะแนนยากยิ่งกว่า Rotten Tomatoes (เพราะมีการถ่วงน้ำหนักของแต่ละหน่วยวิจารณ์ไม่เท่ากัน ไล่ตามความน่าเชื่อถือ) ยังได้คะแนนถึง 97
ถือว่าอนาคตสดใสทีเดียวสำหรับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของคริสโตเฟอร์ โนแลน
ต่อไปลองดูคำวิจารณ์บางส่วนจากนักวิจารณ์ของสื่อหลักๆ ของฮอลลีวูด
(จะแปลเฉพาะส่วนที่ไม่สปอยล์เนื้อหาให้นะ พลีชีพโดนสปอยล์ไปแล้วส่วนหนึ่ง...)
คำวิจารณ์ Dunkirk :
(เข้าไปอ่านรีวิวเต็ม คลิกที่ชื่อนักวิจารณ์ได้เลย)
"นี่เป็นงานสร้างภาพยนตร์ทุนหนาที่ลึกซึ้ง และสามารถเรียกได้ว่าเป็นศิลปะ และพูดได้เลยว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี นับถึงตอนนี้" -
Chris Nashawaty (EW)
"โนแลนสนใจเพียงแต่ด้านที่เป็นมนุษย์ในเรื่องราว เมื่อเขาเล่าปฏิบัติการช่วยเหลืออันกล้าหาญในแบบของเขาเอง นำเสนอประสบการณ์ภาพเหมือนจริงราวกับคนดูเป็นประจักษ์พยาน เป็นเศษเสี้ยวที่พลิกแพลงเข้าหากัน กลายเป็นเหตุการณ์จากมุมมองภาคพื้น ทะเล และอากาศ" -
Peter Debruge (Variety)
"ออกจะไม่ถูกต้องถ้าจะพูดว่าหนังที่แสนจะรุนแรง มีการสูญเสียชีวิตคนมากมายนั้น เป็นหนังที่ระทึกสุดๆ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โนแลนถ่ายทอดประเด็นหลักออกมาด้วยความเคารพ แต่องค์ประกอบในหนังมันเทียบเท่ากับหนังยุคโมเดิร์นที่แต่งเติมขึ้น ทั้งจังหวะ จุดช็อก และความตื่นเต้นจนลืมหายใจ อันที่จริงมีหลายช่วงที่รู้สึกหายใจติดขัดจริงๆ" -
Rosie Fletcher (Digital Spy)
"แทนที่จะพูดเรื่องความกล้าหาญ โนแลนเลือกเล่นกับขีดจำกัดความอดทนของคนภายใต้สถานการณ์กดดันอันยาวนาน ตั้งแต่ตัวละครของมาร์ค ไรแลนซ์, คิลเลียน เมอร์ฟี, แฮร์รี สไตลส์ ในช่วงเวลาที่มืดมนนี้ บางคนแตกสลาย บางคนยังยืนหยัด แต่ในมิตินี้ อาจจะยังสร้างอิมแพคได้ไม่เต็มที่นัก" -
Nick De Semlyen (Empire)
"Dunkirk ช่างทะเยอทะยาน เป็นงานสร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ โนแลนรังสรรค์มันอย่างผู้เชี่ยวชาญ เป็นหนังสงครามที่ฉีกกฎและน่าตื่นตา" -
Daniel Krupa (IGN Movies)
"เป็นหนังสงครามที่ไร้ความรุนแรงเลือดสาด แต่กลับสร้างรอยแผลบาดลึกสะเทือนใจ เป็นหนังที่ดีที่สุดที่โนแลนเคยสร้างมา" -
David Ehrlich (indieWire)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in