เรื่องราวการสืบสวนสอบสวนของกองทัพ ร่วมกับทีมนักภาษาศาสตร์ นำโดย ดร. หลุยส์ แบงค์ส (รับบทโดย เอมี่ อดัมส์) และ เอียน ดอนเนลลี่ (รับบทโดย เจเรมี เรนเนอร์) ในการตีความการมาเยือนของยานลึกลับจากอวกาศที่ปรากฏอยู่เหนือน่านฟ้า 12 เมืองต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งพวกเขามั่นใจว่าเป็นการแฝงด้วยนัยยะบางอย่างที่สำคัญ และอาจส่งถึงความเป็นไปของมวลมนุษย์ชาติ ทั้งนี้ยิ่งการค้นหาคำตอบใช้เวลานานเพียงไร ความหวาดระแวงของรัฐบาล รวมถึงภาคประชาชนก็ค่อยๆ ปะทุเป็นความรุนแรง จนเกิดเป็นสถานการณ์ความวุ่นวายยิ่งขึ้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องพิชิตให้ได้ จึงไม่ใช่แค่เพียงเหล่าผู้เยือน แต่ยังต้องทำงานแข่งกับเวลาด้วย
โครงเรื่อง
โครงเรื่องของหนังเรื่อง Arrival ต่างจากหนังต่างดาวบุกโลกเรื่องอื่น ที่มีความแปลกใหม่และแตกต่างออกไป คือให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับเอเลี่ยนมากกว่าประเด็นอื่นๆ เช่นเดียวกับหลุยส์ เป็นตัวแทนของคนที่เชื่อว่าการทำความเข้าใจโดยประนีประนอมควรจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขณะที่กองทัพและคนทั่วโลกคิดทางตรงกันข้าม แน่นอนว่าภาษาเป็นพื้นฐานการสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งนั่นรวมไปถึงเอเลี่ยนด้วยเช่นกัน
ความขัดแย้ง (Conflict)
ความขัดแย้งในเรื่องนี้ เป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งความขัดแย้งเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบต่อความคิดและความรู้สึกของตัวละครให้ตกอยู่ภายใต้สภาวะ "อึมครึม" และ "ความสับสน"
การพัฒนาเหตุการณ์ (Rising action)
ซึ่งในเรื่องเราจะสัมผัสได้ถึงความรู้ลึกสม "จริง" ว่าถ้าหากมนุษย์ต่างดาวลงมายังโลกมนุษย์จริงๆ พฤติกรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจริงๆคืออะไร เราจะได้เห็นความโกลาหลในรั้วมหาวิทยาลัยที่โทรศัพท์ สมาร์ทโฟนดังไม่หยุด ผู้คนรู้สึกสับสนและจัดการชีวิตของตนไม่ถูก เกิดความแตกตื่นในชีวิตของตนเช่นสตาร์ทรถแล้วไปเฉี่ยวรถคันอื่น ซึ่งเป็นสภาวะที่ดู “น่ากลัว” อย่างสมจริง
คือช่วงที่นางเอกจะต้องพยายามถอดรหัสความหมายของวงกลมแต่ละรูปให้ได้ ซึ่งทำให้ใช้เวลานานพอสมควร แต่อีกฝากหนึ่งของโลกอย่างประเทศจีนกลับมีความเห็นที่คิดว่าถ้าหากการเจรจาไม่ได้เรื่องก็ควรจะตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กำลังจะบานปลาย ก่อให้เกิดสงครามได้
ภาวะคลี่คลาย (Resolution)
หลังจากที่นางเอกสามารถสื่อสารกับเอเลี่ยนและเข้าใจในสิ่งที่เอเลี่ยนสื่อมาได้ เธอก็ได้รู้ว่าตัวเธอสามารถ “มองเห็นอนาคต” ได้และอาวุธตรงนี้แหละคือจุดที่สามารถทำให้เธอแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งทั้งหมดได้ ในเรื่องนี้จะดูหักมุมแตกต่างจากเรื่องเอเลี่ยนบุกโลกโดยสิ้นเชิง เพราะสาเหตุที่มนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกพวกเขามองเห็นว่า ในอีก 3000 ปีข้างหน้า พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่จะทำแบบนั้นได้ต้องช่วยให้มนุษย์แก้ไขปัญหาด้านความขัดแย้งกันเองเพื่อให้มนุษย์กลายเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้เสียก่อน
Sci-Fi
การตัดต่อ
วิธีการตัดต่อของแต่ละฉากในช่วงเหตุการณ์ทำให้การเล่าเรื่องของหนังตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์หลายๆช่วงเวลาตลอดเรื่อง อาจทำให้มีมึนงงบ้างเพราะเรื่องนี้มีความซับซ้อนแต่ตัวหนังก็อาศัยความเป็นภาพยนตร์ในการเล่าเรื่องให้น่าสนใจ และทำให้เราค่อยๆซึมซับและเข้าใจไปกับทุกการกระทำของตัวละคร รวมถึงเข้าไปถึงแก่นแท้ของเรื่องที่หนังต้องการจะสื่อสารออกไปด้วย
นักแสดง
แน่นอนว่าการแสดงสมทบของทั้ง เจเรมี่ เรนเนอร์ และ ฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์ นั้นก็ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน ละเอียด และความแตกต่างกันในแต่ละฉาก คนดูสามารถสัมผัสได้เลยว่า ฉากนี้ตัวตัวละครกำลังรู้สึกอย่างไร ถึงแม้จะไม่มีบทพูดอะไรออกมาแค่กล้องจับไปที่หน้า เราก็สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกตรงนั้นได้แล้ว ตัวนักแสดงสามารถถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกมาภายนอกผ่านทางร่างกายอย่างสีหน้า แววตา และการขยับได้อย่างดีเหลือเกิน
บทสรุปของหนังอาจจะดูห้วนและรวบรัดไปนิดหน่อยจนกลายเป็นส่วนที่สร้างความตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่หากดูกันโดยรวมแล้ว "ผู้มาเยือน" ถือเป็นหนังที่สร้างความประทับใจได้ไม่น้อยทีเดียว กับการคุมโทนของหนังให้ชวนสงสัยและเดาทางลำบากก่อนจะพามาถึงบทเฉลยที่ชวนอึ้ง
(คะแนนโดยรวมที่เราให้ 8/10)
�������8�U��H
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in