เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นาฬิกาทรายWITCHARIN NIRANAMKUL
เข้าหา
  • ทุกวันนี้มีธุรกิจใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ แต่ระหว่างความฝัน กับ ผลกำไร มันเป็นเส้นบาง ๆ ที่อาจทำให้ความฝันต้องพังทลายลงราวกับภูเขาน้ำแข็งถล่ม ฉันเป็นคนที่ชอบความท้าทายใหม่ ๆ อยู่เสมอ แต่ในหลาย ๆ ครั้งมันพรากความตื่นเต้นของฉัน ให้หายไป

       บทลลิตา   

    ชื่อของฉันคือลลิตา ฉันอยู่ในวงการธุรกิจมาเพียงไม่กี่ปี เพราะสาเหตุนี้มั้ง ทำให้ัยังไม่เจอสิ่งที่ทำให้ใจเต้นรัว ราวกับกลองชุดในท่อนส่งของเพลงร็อค แน่นอนว่าฉันจะไม่หยุดตามหามัน และจะไม่ยอมนั่งรอให้มันเข้ามาหาฉันเอง

    "โอย ปัญหานี้มีใครจะแก้ได้บ้างนะ" ฉันมักจะมีปัญหาเล็ก ๆ ที่ทำฉันเสียเวลาในชีิวิตมากมายไม่รู้เท่าไหร่ กับการหาของที่จำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน ไม่รู้ว่าฉันหาของจนเสียสติ หรือเป็นความฉลาดไอคิวร้อยเก้าสิบกันแน่ที่ทำให้ฉันค้นหาคำว่า 'วิธีหาของให้เจอ'
    แต่ฉันกลับไปเจอเว็บไซต์นึงที่ถามฉํนกลับว่า 'ปัญหาของคุณ ให้เราช่วยแก้ไหม'
    ฉันคลิกเข้าเว็บนั้นด้วยคิ้วที่ขมวดชนกันราวกับว่า นี่นายกำลังกวนโอ๊ยชั้นอยู่หรอ
    สุดท้ายฉันจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแค่จู่ ๆ ฉันก็โอนเงินไปกับสินค้าที่ไม่เห็นรูปร่างหลังจากเล่าปัญหาให้กับเจ้าเว็บกวนประสาทนั้นฟัง

    // ตัดภาพมาที่บริษัท 
    "เอาล่ะ ผมคุยปิดจ็อบบรีฟงานเรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวจะส่งรายละเอียดให้"
    "นี่ตั้งแต่มีนายชั้นก็ไม่มีคำว่าว่างอีกเลยนะ"
    "ก็คุณพาผมเข้ามาทำงานเอง ผมก็ต้องทำงานของผมให้เต็มที่สิครับ"
    บทสนทนาระหว่างธานินทร์และวิธานเป็นไปอย่างเรียบง่ายท่ามกลางงานมากมายที่ต้องทำ
    "สรุปกำไรเดือนนี้เป็นยังไงบ้างหรอ"
    "ดีครับ ถือว่าดีเลย" ธัชวินท์ตอบพร้อมกับเม้มปากเบา ๆ
    "คุณเป็นคนโกหกไม่เก่งนะคะบอส ไหนชั้นขอดูหน่อย"
    "เอ่อคือเรื่องนั้น"
    "ไม่ลงตัวสินะคะ" เมธาวดีเท้าสะเอวใส่ผู้เป็นหัวหน้า ราวกับไม่พอใจด้วยความเข้าใจ
    "เรายังพอมีเวลาหานักบัญชีอยู่ แต่ทำไมคุณถึงไม่รับคนที่เข้ามาสมัครผ่านเว็บล่ะ"
    "ผมอ่านหมดทุกคำตอบแล้ว แต่ยังไม่เจอน่ะสิ" ทุกคนต่างเห็นสีหน้ากังวลของธัชวินท์อย่างที่ไม่เคยปรากฎบนใบหน้าเขามาก่อน
    "เอาล่ะ ผมเขียนแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ ไอบรีฟงานล่าสุดน่ะ" วิธานพูด พร้อมกับยื่นไดร์ฟให้เมธาวดี
    "อันนี้คงต้องเอาไปใช้กับเครื่องใหม่สินะคะ"
    "เดี๋ยวผมตามเข้าไปด้วยขอไปเข้าห้องน้ำก่อน" ณ วินาทีที่วิธานกำลังลุกขึ้น เขาเหลือบไปเห็นที่อยู่ของลูกค้าคนละสุด นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วจนจะผู้กันเป็นคิ้วเดียว
    "นี่ ให้ผมช่วยอะไรไหม" อักษรินทร์เข้ามาถามวิธาน พร้อมส่งยิ้มให้เมธาวดี เป็นการบอกนัย ๆ ว่า 'ส่งงานนั้นมาให้ผมได้ช่วยทำเดี๋ยวนี้'

    // ณ ห้องของลลิตา
    "อะไรกันเนี่ยบริษัทนี้ พึ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงสิบปี แต่กลับมีผลงานน่าสนใจมากมายเลยนี่นา"
    ฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังทำอะไร รู้เพียงแค่ว่ากำลังตื่นเต้นและสนุกกับการได้สืบประวัติของบริษัท 'คัสตอม ทรีดี' และที่อยู่ของบริษัทแทบจะอยู่ใต้จมูกของฉันอยู่แล้ว ฉันเองก็รอไม่ไหวที่จะได้เห็นผลงานที่ฉันพึ่งสั่งไปไม่กี่ชั่วโมงก่อน

    วันรุ่งขึ้นฉันได้รับสายปริศนาพร้อมบอกว่าไม่เกินสิบนาทีของที่สั่งไว้จะมาส่ง
    "นี่ของคุณลลิตาครับ" ชายหนุ่มไว้เคราบางโกนหนวดเกลี้ยงกำลังยื่นกล่องพัสดุให้ฉันอย่างเบามือ ราวกับในกล่องไม่มีอะไร
    "ขอบคุณค่ะ"
    "ยินดีให้บริการครับ ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมปรึกษากับบริษัทเรา แล้วเราจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณเองครับ"
    "มีสิอีกปัญหานึง"
    "ครับ เชิญว่ามาเลยครับ"
    "ทางบริษัทยังรับนักพัฒนาธุรกิจไหมคะ" ฉันถามชายหนุ่มไปด้วยดวงตาที่ใส่ซื่อ ราวกับคาดหวังคำตอบอยู่แล้วว่าคำตอบนั้นคืออะไร
    "ถึงจะไม่มี แต่เราก็มีนักการตลาดอยู่หนึ่งคน . . . "เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นนามบัตรบริษัทให้
    "แต่ผมไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้ พรุ่งนี้คุณสามารถไปติดต่อที่บริษัทได้เลยนะครับ" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินจากไป ราวกับรีบร้อนที่จะไปถึงที่หมายโดยไวที่สุด

    เช้าวันถัดมาฉันก็รีบไปยังบริษัทนั้นตั้งแต่แปดโมงเช้า
    "เจ้าหมอนั่น ต้มชั้นซะเปื่อยเลยสินะ"
    "เปล่าต้มนะครับ บริษัทเริ่มงานกันเก้าโมง"
    "เอ๋ " ฉันหันไปก็พบกับชายส่งพัสดุเมื่อวาน และสายตาราวกับคนที่ยังไม่ได้หลับได้นอน เหมือนกายหยาบที่ไร้วิญญาณยืนคุยกับฉันอยู่
    "วันนี้ผมจำเป็นต้องฝืนกฎข้อนั้นเพราะบอสไม่อยู่"
    "ห้ะ"
    "เอ๋ เอ่อ ผมขอโทษ ยังไงก็เชิญเข้ามานั่งก่อนนะครับ"
    ภายในบริษัทที่แลดูเหมือนบ้านสังสรรค์ ในสายตาของฉันมันเหมือนโรงกษาปณ์ที่ผลิตเงินวันละหลายสิบล้านบาทต่อวัน ไม่นานก็มีหญิงสาวที่สูงราวร้อยเจ็ดสิบเซนเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเข้มที่เต็มไปด้วยเอกสารสำคัญ
    "สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรหรอคะ" หลังจากฟังประโยคนั้นก็ทำให้ฉันยิ้มมุมปาก และยืนขึ้นพร้อมแนะนำตัว รวมถึงเล่าทุกอย่างให้ฟัง ว่าฉันมีความต้องการที่จะทำงานกับบริษัทแห่งนี้
    "น่าเสียดายนะคะที่วันนี้หัวหน้าไม่อยู่ ฉันเองก็ไม่กล้าตัดสินใจแทนหัวหน้าเหมือนกัน" เธอแนะนำตัวกับฉันว่าเธอชื่อ เมธาวดี เธอมีเสนห์และดูเป็นหญิงสาวที่เก่งมาก ๆ จนฉันเริ่มรู้สึกอิจฉา แต่ท่าทางสีหน้าเธอตอนนี้ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ราวกับฉันก้าวขาเข้ามาผิดจังหวะไปหน่อย
    "งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ"
    "แต่คุณอย่าพึ่งด่วนตัดสินอะไรไปล่ะ ผมว่าคุณอดทนรอเวลาสักนิดนะ" ชายที่ชื่ออักษรินทร์กล่าว หลังจากวางมือในสิ่งที่กำลังจดจ่ออยู่
    "ค่ะ" ฉันตอบพน้อมยิ้มให้ก่อนจะจากไปด้วยความรู้สึกประหลาด

    คุณจะลาออกเพราะว่าเบื่องานที่ทำอยู่งั้นหรอ ผมชวนคุณแทบเป็นแทบตายคุณดันมาลาออกง่าย ๆ แค่นี้เองหรอ ประโยคจากเพื่อนร่วมงานที่เคยชักชวนชั้นเข้าไปทำงาน โดยโฆษณาแทบเป็นแทบตายเพื่อที่จะทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องการเสียเครดิตให้กับบริษัทเลยจบกันไม่สวยเท่าไหร่ ณ ตอนนี้ฉันคงเคว้ง เลยไม่แน่ใจว่าชีวิตฉันควรถอยหลังกลับไป หรือ อดทนรอดังที่หนุ่มมือพลาสเตอร์นั่นบอกไว้ก่อนจะก้าวออกมาจากประตูสีขาวนั่น

    // ณ ห้องสัมนาที่ธัชวินท์ได้เข้าร่วม
    "การที่บริษัทคุณไม่มีนักบัญชี มันเหมือนกับคุณไม่มีกระดูกสันหลังทางการเงิน"
    ให้ตายสิ การที่ผมมาอยู่ที่นี่ เสียเงินให้กับนักบรรยาย เหมือนกับมานั่งทรมานตัวเองเล่นให้กับสิ่งที่ตัวเองเจออยู่ ผมหนีความเจ็บปวดมาเจอความเจ็บปวดกว่านี้เอง ตลอดทั้งวันผมได้แต่นั่งกุมหัว และรู้สึกว่ามีสิ่งที่ตัวเองต้องทำให้ได้เยอะแยะ ผมหมดแรงทันทีหลังจากที่จบการสัมนาวันสุดท้าย 
    "เอ๊ะ เจ้าพวกนี้ถึงกับสร้างกลุ่มคุยเล่นที่มีหัวหน้าอยู่ด้วยงั้นหรอ"
    "ไม่ใช่สิ นี่มันแชทกลุ่มบ้าบออะไรกันเนี่ย" ธัชวินท์มองเห็นเพียงรูปการทำงานที่ถ่ายด้วยรอยยิ้มอย่างล้อเลียน และมีรูปหนึ่งที่สุดตาเขามาก
    "ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน" 
    รูปนั้นคือรูปที่มีลลิตาถ่ายคู่กับผลงานที่เธอสั่ง และมันได้กลายเป็นโมลงานที่สองที่ถูกขายออกไปได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นธัชวินท์ก็รีบพุ่งตัวไปยังบริษัททันที

    "เธอคนนั้นเป็นใครกัน"
    "อ่อ คนที่อยากเข้ามาทำงานด้วย แต่คุณไม่อยู่เราเองก็ไม่รู้จะทำยังไง"
    "เอ๋ ขอดูรายละเอียดหน่อย"
    "นี่ค่ะพ่อน้ำตาลหวาน"
    ธัชวินท์ได้เห็นเรซูเม่ขอลลิตาก็เผยยิ้มชั่วออกมาทันทีราวกับเขาถูกรางวัลที่สองยังไงไม่รู้
    "งั้นเดี๋ยวผมจะรีบไปหาเธอเดี๋ยวนี้"

    // ณ บ้านลลิตา
    "เอ๋ ใครมันมาส่งพัสดุเวลานี้กัน มันเวลาเลิกงานแล้วไม่ใช่หรอ"
    ฉันเห็นชายหนุ่มใส่สูทน้ำเงินเสื้อยืดสีขาวยืนอยู่หน้าบ้านด้วยท่าทีร้อนรนราวกับทำของหาย แต่ถ้าไม่แต่งตัวแบบนั้นฉันคงคิดว่าเป็นโรคจิตไปแล้วล่ะ
    "หรือว่า . . ." ฉันรีบลงจากชั้นสองไปเสียบปลั๊กน้ำร้อนทันทีก่อนจะออกไปต้อนรับชายคนนั้น
    "สวัสดีค่ะไม่ทราบว่า . . ."
    "เอ่อ คุณละลลิตาสินะครับ ผมธัชวินท์"
    "ซีอีโอ บริษัทคัสตอมทรีดีใช่ไหมค่ะ เชิญเลยค่ะ เดี๋ยวฉันไปชงชาให้นะคะ" ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก ฉันรอเวลานี้ราวกับมันผ่านไปสองปีทั้ง ๆ ที่ความจริงมันพึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวัน
    "ขอโทษด้วยนะครับ ผมเองก็ไม่ใช่มืออาชีพเท่าไหร่ในเรื่องนี้"
    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่ธุระของคุณคืออะไรหรอคะ"
    "ผมเห็นเรซูเม่คุณแล้วยังตกใจไม่หาย ไม่คิดเลยว่าคนอย่างคุณจะมาสนใจบริษัทเล็ก ๆ ของผม"
    "คุณก็พูดเกินไปนะคะ ฉันเองก็ตกใจที่ตัวคุณดันโผล่มาบ้านฉันเวลาแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ค่อยติดต่อกันเวลางานก็ได้นะคะ"
    "ผมขอโทษครับ ผม . . . ไม่ดีเอง ขอโทษจริง ๆ ครับ" ฉันและเขาพูดกันด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนทั้งคู่ ราวกับไม่มีใครจับต้นชนปลายกันได้ถูกสักคน 
    "ไม่หรอกค่ะ ฉันยินดีมากที่คุณมา"
    "พรุ่งนี้รบกวนกรอกเอกสารแล้วเริ่มงานได้เลยไหมครับ"
    "ได้เลยค่ะ ฉันพร้อมที่จะเริ่มงานตอนนี้เลยด้วยซ้ำ"
    "ผมดีใจจริง ๆ ที่คุณพูดอย่างนั้น"
    จากนั้นเราทั้งคู่ก็ใจเย็นลง และค่อย ๆ คุยกันอย่างราบรื่นขึ้น ราวกับคนที่มีเคมีตรงกันจูนกันติดขึ้นมา และเราก็คุยกันถึงเรื่องงาน นั้นทำให้ฉันใจเต้นรัวมาก ราวกับกลองชุดในท่อนส่งของเพลงร็อค 
    โชคชะตายังไม่แกล้งฉัน และฉันพร้อมจะล้มลุกคลุกคลานไปกับคน ๆ นี้และต้องเป็นคน ๆ นี้เท่านั้น

    วันนั้นชาที่ชงและดื่มในยามเย็นกับคน ๆ นั้นมันอร่อยมาก ๆ ไม่รู้ทำไม่ฉันถึงรู้สึกว่าฉันจ่ายค่าสินค้าชิ้นนั้นน้อยเกินไป รู้สึกว่าคุณค่าของสิ้นค้าชิ้นนั้นมันควรมากกว่าที่ฉันจ่ายไปด้วยซ้ำ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in