ไหงเป็นงี้ไปได้ละเนี่ย การถูกตามใจจนเคยชิน บางทีมันก็ทำให้ชีวตเคว้งไปได้เหมือนกันนะ
บทธัญวิช
ชีวิตผมที่หลงไหลเรื่องการเงินมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าเล่นบอร์ดเกมเศรษฐีชนะทั้งคุณพ่อและคุณแม่มาโดยตลอด หากลองคำนวนตามหลักสถิติแล้ว ผมมีโอกาสชนะพวกท่านมากกว่าเก้าสิบหกเปอร์เซ็น นั่นคือตอนที่ผมฉายแววออกมา ส่วนคนที่ทำให้โอกาสชนะของผมเหลือเพียงสี่สิบเปอร์เซ็นนั่นคือ 'คุณย่า' ที่ตอนนี้ท่านไม่สามารถเปิดโอกาสให้ผมได้ชนะอีกแล้ว
"หลับให้สบายนะครับคุณย่า ไม่ต้องห่วงหลานหรอก หลานเรียนจบแล้วนะ"
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ท่านได้ยิน ก่อนจะกลายเป็นความทรงจำของทุก ๆ คนในนามสกุลเดียวกัน
"เธอไม่ได้หายไปไหน ตราบใดคนที่ยังอยู่สามารถคิดถึงเธอได้"
ปู่ของผมพูด ณ วันสุดท้ายในพิธีหลังความตาย ปู่เป็นคนที่เก็บความรู้สึกได้เก่งมาก หลังจากที่เสียย่าไป จนถึงตอนนี้ ปู่ยังไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากความเศร้าที่คอยกัดกินอยู่ในใจได้เลย
ณ บ้านหลังเล็ก ๆ ที่พออาศัยกันสองคน เคยเป็นที่ที่มีกลิ่นอายรักระหว่างปู่กับย่า แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ปู่และผมที่ยังเป็นห่วงชายชราวัยเกษียณคนนี้ เขาชื่นชอบสวนต้นไม้และพืชผักที่ร่วมกันปลูกกับภรรยาสุดที่รัก และเคยเป็นสนามวิ่งเล่นของหลานชายเพียงคนเดียวในนามสกุล ส่วนพี่สาวผมได้สามีเป็นคนยุโรป จากความเก่งภาษาที่พาเธอไปไกลโดยแทบจะไม่มีอะไรฉุดรั้งเธอได้
"นี่ธัน มาช่วยปู่ยกปุ๋ยหน่อยสิ"
"ครับ ๆ กำลังไปครับปู่"
กระสอบเล็ก ๆ กว่าสิบกระสอบถูกขนย้ายจากหน้าบ้านไปยังหลังบ้านอย่างรวดเร็ว
"นี่แกยังไม่หางานทำอีกหรอ แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้านบ้างล่ะ"
"ไม่กลับหรอก บ้านน่าเบื่อจะตาย ผมชอบที่นี่ และบ้านก็ . . ."
"บ้านมันทำไมงั้นหรอ" ปู่ถาม แต่แววตาคู่นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องสำคัญที่สุดที่ผมควรทำตอนนี้คือ อยู่ใกล้ ๆ เจ้าของดวงตาคู่นี้เอาไว้ให้มากที่สุด
"ถ้ามีงานทำแถวนี้ก็ดีสิครับ"
"ถ้าจะบอกว่าเป็นห่วงคนแก่แบบฉันน่ะ อย่าเลย"
"ถือว่าเห็นประโยชน์จะฟังดูน่าเกลียดไหมล่ะปู่" ผมถามไปด้วยความหงุดหงิดที่คนมากอายุยังจะรู้มากเรื่องความรู้สึกนึกคิดอีก
"แกมันเป็นคนอ่อนโยนไม่เลือกหน้านี่นา" จบประโยคนั้น ชายชราก็หัวเราะชอบใจ
"มันน่าหงุดหงิดนะปู่"
ชายชราพูดถูกแล้วล่ะ ผมไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง เราชายคนนี้คือนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ฝีมือดี ที่มีความรักที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก เขาได้เดินทางและใช้ชีวิตกับคนรักได้อย่างคุ้มค่า และอย่าพูดถึงการทะเลาะหรือนอกใจเลย เรื่องพวกนี้แทบไม่เกิดขึ้นกับคู่นี้ เพียงแค่ปู่แทบไม่ยุ่งเกี่ยวกับลูกหลานนอกจากผม ผมไม่อยากให้แกเหงา และอยากห่างจากพ่อแม่บ้างก็เท่านั้นแหละ
"งั้นวันนี้ผมขอออกไปเที่ยวเล่นหน่อยนะ"
"อ่อ ปู่จดรายการของที่จะซื้อเย็นนี้ด้วย ฝากแกไปซื้อมาหน่อยสิ"
"รายการวัตถุดิบทำอาหารหรอปู่" ชายชราไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้มและพยักหน้าให้
"ขอเงินไปซื้อด้วยสิ"
"หางานทำได้แล้วเจ้าหลานหัวเงิน"
"ครับ ๆ " แหงล่ะ นั่นคือฉายาวัยเด็กที่มีเพียงคนเดียวที่ไม่เคยชนะเกมเศรษฐีกับผมเลยคือ คนปู่ โอกาสชนะของผมคือ เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็น และโอกาสแพ้ คือ หนึ่งเปอร์เซ็น
ณ ร้านเช่าหนังสือเก่าแก่ที่ถูกเจนเนอร์เรชั่นสามดัดแปลงมาเป็นร้านกาแฟ ได้กลายเป็นที่นิยมสำหรับเหล่าหนอนหนังสือ ที่ตามล่าหนังสือหายาก ผมเองก็ดูเหมือนจะมาตามล่าอะไรบางอย่างด้วยสิ
ผมสั่งชาไทย และพยายามมองหาที่นั่งที่สงบ แต่หลังจากชาไทยมาเสิร์ฟก็ดันกลายเป็นที่ที่ไม่สงบไปทันที เพราะมีชายใส่สูทสีน้ำเงินมาพร้อมกับชายใส่เสื้อเชิ้ตขาว ราวกับจะมานัดคุยธุรกิจสำคัญแบบลับ ๆ มานั่งอยู่ตรงหน้าผม
"นี่นายถึงกับหอบงานมาทำด้วยหรอ"
"ช่วยไม่ได้คนมันงานล้นมือ"
"แล้วงานที่พี่จ้างนายล่ะ"
"ไม่รับ ยังไงก็ไม่รับ"
"ทำไมล่ะ งานมันก็ . . . "
"ตารางงานผมแน่นขนาดนี้ ไม่มีเวลาพอจะยัดงานพี่ใส่ลงไปได้หรอก"
"งั้นหรอ"
"ไหงบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยไง เรื่องอะไรล่ะ"
"นักบัญชีน่ะ"
สองหนุ่มนั่นพูดคุยเสียงค่อนข้างจะดังไปหน่อย หรือผมเป็นพวกขี้เผือกก็ไม่รู่ แต่ประโยคล่าสุดมันทำให้ผมรู้สึกใจเต้นรัวเลยล่ะ
"พี่ก็รับสมัครไปแล้วไม่ใช่หรอ แถมคนมาสมัครตั้งเยอะแยะไป ทำไมไม่รับมาสักคนล่ะ"
"ก็ไม่มีคนที่ถูกใจนี้นา"
"ไหงตำแหน่งอื่นเหมือนเดินชนใครก็จับคนนั้นมาเป็นพนักงานเลยไม่ใช่หรอ"
"แต่นี่มันงานละเอียดนะ"
"เดี๋ยวนะ ช่องกรอกประสบการณ์วัยเด็ก ใต้เรซูเม่นี่คืออะไรกันน่ะ"
"ชั้นกำลังมองหาคนที่เดินตามความฝันในวัยเด็กน่ะ"
"ยังไงละนั่น"
"สิ่งที่ทำมาระหว่างทางก่อนเป็นผู้ใหญ่ คือสิ่งที่บอกตัวตนของเขาได้ดีเลยล่ะนะ"
"ตัวตนงั้นหรอ เรื่องจิตวิทยาแนวไหนกันล่ะพี่"
"สิ่งเหล่านั้น มันบ่งบอกถึงความสามารถที่แฝงอยู่ยังไงล่ะ"
"คือต้องการพนักงานมากความสามารถสินะ"
"ถูกต้อง และบางทีพี่ไม่ต้องการคนที่วิ่งไล่หาเงินจนทิ้งความฝันไปแล้วยังไงล่ะ"
"จะว่าไปก็มีคนนึงที่ . . ."
ตึง!!! ประโยคนั้นทำให้ผมยืนขึ้น จนสองคนนั้นต้องเงียบไป
"ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงนะครับคุณสภาพบุรุษทั้งสองคน ผมชื่อธัญวิชครับ ยินดีที่ได้รู้จัก" ผมยืนมือไปท่ามกลางทั้งสองคนด้วยความคาดหวังที่ว่า เขาจะแนะนำตัวให้ฟัง
"ผมชื่อธัชวินท์ครับ" ชายใส่สูทยืนขึ้นแล้วจับมือผมด้วยความเคารพ
"ผมเมธานินทร์ครับ" อีกคนแนะนำตัวอย่างเรียบง่าย จนดูมีเสน่ห์ไปเลย
"คือมันอาจจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่ผมได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคนพูดขึ้นมาแล้วมัน อดที่จะถามไม่ได้น่ะครับ"
"ขอโทษด้วยครับที่เราพูดเสียงดังไป"
"เปล่าครับไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องที่ตัวคุณต้องการนักบัญชีน่ะครับ"
"เอ๋" ชายใส่สูทเผยยิ้มแปลก ๆ ออกมาก่อนจะนั่งลงและเชิญให้ผมนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ
"งั้นผมขอถามเลยก็แล้วกัน วัยเด็กคุณทำอะไรมาบ้างจนถึงวัยทำงานตอนนี้"
"ผมพึ่งจบใหม่ ยังไม่เคยเริ่มงานที่ไหน และวัยเด็กที่ผมจำได้แม่นเลยคือ โอกาสชนะเกมเศรษฐีผมสูงมาก" ผมตั้งใจพูดอวดดีเพื่อท้าให้เขาลงเล่นบอร์ดเกมเศรษฐีกับผม
"งั้นหรอ ร้านนี้ก็มีบอร์ดเกมให้เช่าด้วยสิ ผมรับคำท้านั้น"
"ได้เลยครับ"
สามชั่งโมงผ่านไป ชายที่ใส่เสื้อเชิ้ตขาวก็ปิดงานตัวเองได้เสร็จทันเวลา
ส่วนชายชุดสูทที่มีนามว่า ธัชวินท์ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะผมได้
สถิติอยู่ที่ สิบหกครั้ง ชนะสิบหกครั้ง แพ้ศูนย์
"เอาล่าตาสุดท้ายก่อนที่ผมจะหัวร้อนไปกว่านี้" เขาถอดสูทนอกออก บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะผมให้ได้ ผมเลยปล่อยจอยหลังทอยลูกเต๋าและถามถึงเป้าหมายในชีวิตของเขา
ผมพบว่าชายคนนี้เป้าหมายนั้น ผมไม่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้เลย
และปล่อยให้เขาชนะผมไปในตาที่สิบเจ็ด และเป็นไปตามแผนของผมทั้งหมด ที่วางเกมให้เขาชนะ เพื่อให้เข้าตอบคำถามผมอย่างตรงไปตรงมา
"สรุปว่าบริษัทพึ่งก่อตั้งไม่นาน และกำลังมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ สินะครับ"
"ถูกเผง แต่การคำนวนต้นทุนกำไรไม่ตรงตามความเป็นจริงน่ะสิ ปวดหัวเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน"
"งั้นคุณต้องการจะพิสูจน์ความสามารถผมก่อนไหม"
"นายมันน่าทึ่งจนและไฟแรงดี ชั้นมองหาจุดนี้อยู่นะ"
"ความฝันของผมน่ะ ผมทำมันหายไประหว่างทาง"
"ว่ายังไงนะ"
"ผมจำไม่ได้แล้วว่าอะไรกันแน่ที่เป็นความฝันผมก่อนจะเริ่มเข้าสู่วัยนี้"
"ไม่ใช่ว่านายอยยู่ในความฝันอยู่หรอ"
"ครับ"
"นี่คืองานแรกของนาย ชั้นให้ได้แค่ข้อมูล ที่เหลือใช้ความสามารถนะ" เขายื่นไดร์ฟสีน้ำตาลให้ผม พร้อมจับมือแล้วบอกลา ก่อนจะยื่นนามบัตรให้ผมติดต่อทันทีหลังจัดการปัญหาของเขาได้
ในคืนนั้นผมแทบไม่ได้นอน เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือตัวเลขแห่งความตื่นเต้น ที่ทำให้ผมกลับมาใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ แอนดีนาลีนพลุกพล่านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"เสร็จแล้วล่ะบอส" ผมเหลือบไปมองหน้าต่างก็พบว่าปู่กำลังยืดเส้นยืดสายวอมร่างกายพร้อมที่จะไปวิ่งสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าตรู่ ผมเองก็มีสิ่งที่ต้องทำเหมือนกัน ผมคว้าเอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครงานทุกอย่าง แต่งตัวดูดีที่สุดในรอบปีี แล้วมุ่งหน้าไปยังที่อยู่ในนามบัตรของชายชุดสูทที่ผมพร้อมจะเรียกเขาว่าบอส โปรดมอบงานยาก ๆ มาให้ผมหน่อย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in