This is a depression diary. My regular psychologist told me it might help. So here comes the very private, villainous, and chaotic thoughts of mine, one depressed girl.
(นี่คือไดอารี่โรคซึมเศร้า นักจิตวิทยาบอกว่ามันอาจจะช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น เลยเป็นที่มาของไดอารี่ที่เก็บความคิดส่วนตัว ที่แสนจะร้ายกาจและวุ่นวายของฉัน, ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นโรคซึมเศร้า)
_________________________________________________________________________________________
คำเตือน : ไดอารี่นี้อาจจะมีภาษาที่ประหลาดสักหน่อยเพราะฉันเขียนต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษแล้วแปลอีกที ฉันค่อนข้างเขินเวลาต้องมาเขียนความรู้สึกเป็นภาษาไทย
6 กรกฎา 2017
ฉันตื่นมาตอนเที่ยงด้วยความรู้สึกง่วงโคตรๆ ทั้งๆ ที่นอนไปตั้ง 12 ชั่วโมงแล้ว แต่รู้สึกนอนยังไงก็นอนไม่พอ รู้สึกไม่มีแรงแม้แต่จะลุก ฉันนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงอย่างงั้นจนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เสียงร้องโครกครากในท้องก็เตือนฉันว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ ฉันลุกจากเตียง
แต่พอก้าวไปได้แค่ 3-4 ก้าวก็เกิดแขนขาหมดแรงฉับพลัน หน้ามืด ล้มนั่งกับพื้นซะอย่างงั้น!
ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมา ทำไมอยู่ดีๆ ก็อ่อนแอขึ้นมาแบบนี้นะ คงเป็นเพราะยาตัวใหม่ล่ะมั้ง ฉันพึ่งปรับยาได้วันที่ 2 เอง เนื่องจากยาตัวเดิม (Sertraline) ทำให้ฉันเบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบ คุณหมอเลยเปลี่ยนเป็นยาตัวใหม่ เม็ดจิ๋วๆ กลมๆ เหมือนเห็บหมาตัวเล็กๆ ชื่ออิมิพรามีน (Imipramine) เผื่อมันจะเหมาะกับฉันมากกว่า
หลังจากทานยานได้ 2 วันฉันก็ค้นพบข้อดีของอิมิพรามีน
1.ฉันหลับง่ายมาก เพราะมันทำให้ง่วงโคตรๆ กลายเป็นเด็กอนามัยไปเลย
2.ความอยากอาหารกลับมากอีกครั้ง (ไชโย!) ช่วงนี้ฉันกินทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย
โชคร้ายที่ mood ของฉันกลับมาซึมๆ เศร้าๆ หน่อยๆ อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพึ่งปรับยาหรือเพราะประจำเดือนใกล้มา มันกลับมาพร้อมกับความโกรธเดิมๆ ความโกรธทุกคนในชีวิตที่ทิ้งฉันไป ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันเป็นโรคนี้ และฉันอยากให้พวกเขารับรู้ว่าฉันทรมาณ อยากให้พวกเขารู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ยังไงก็ตาม พอพยายามมองจากแง่มุมอื่นๆ ตามที่นักจิตวิทยาแนะนำ ฉันก็ตระหนักได้ว่าความจริงมันไม่ได้เหมือนสิ่งที่ฉันคิดเสมอไป บางทีคนเหล่านั้นอาจจะอึดอัดที่มีฉันในชีวิต หรือเป็นเพราะตัวฉันเองที่เป็นคนสร้างกำแพงขึ้นมาระหว่างเรา มันเป็นได้หลายอย่างๆ แต่ที่แน่ๆ มันเกิดขึ้นมาแล้ว เหมือนเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำน่ะ (It happens, just like 'Shit happens') และฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันก็คงเกิดขึ้นในชีวิตทุกคนเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้คนเข้ามาในชีวิตและออกจากชีวิตเราเกือบตลอดเวลาแหละ เหมือนกับการหายใจเข้าออกไง
ฉันก็พึ่งสังเกตุเมื่อเร็วๆ นี้ว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเพื่อนเลย แล้วพวกเขาก็ดูไม่เหงาซักเท่าไหร่ แปลกดี บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ชีวิตควรจะเป็น ผู้คนเติบโตขึ้นและก้าวเดินไปในทางที่แตกต่างกัน ใช้ชีวิตของตัวเอง พยายามที่จะยืนหยัดอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
บางทีฉันก็ควรเลิกใส่ใจกับผู้คนที่หายไปจากชีวิตฉันไปแล้ว และหันมาสนใจกับคนที่ยังอยู่จะดีกว่า อย่างน้อยช่วงที่ฉันกลับมาอยู่บ้านนี้ ฉันก็ควรจะทำให้ชีวิตประจำวันของพ่อแม่มีสีสันมากขึ้น
ใช่ มันยากกับการลืมคนที่เคยมีความทรงจำร่วมกัน
แต่ฉันคิดว่าฉันทำได้
อาจจะไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่คงเป็นซักวันหนึ่ง
It's okay to feel like life has cheated on you. Just so you know, if you need a friend who would listen, there's this anonymous blogger/internet user/idontevenknowwhatiam called Daisy.