...
เช้าวันจันทร์ของสัปดาห์แรก ท้องฟ้ายังคงเป็นสีหม่น แม้อากาศข้างนอกจะหนาวจับใจและความอึมครึมของบรรยารอบๆ จะทำให้ผมสุดแสนจะขี้เกียจ อยากหดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ต่ออีกแทบตาย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเวลามีอย่างจำกัด ผมก็ต้องกัดฟันเด้งตัวจากเตียงนอนแสนนุ่มและออกเดินทางมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัย
วันนี้พวกเรามีภาระกิจสำคัญ คือ การไปมหาวิทยาลัยเพื่อพบกับ "มิสลิลิมอร์" อาจารย์ที่คอยดูแลความเป็นอยู่ของบรรดานักเรียนต่างชาติและนักเรียนแลกเปลี่ยน คงเหมือนกับคาบโฮมรูม ที่เด็กน้อยในชั้นเรียนต้องพบกับคุณครูที่ปรึกษาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนและมอบหมายหน้าที่
นอกจากลิลิมอร์แล้วพวกเราก็ได้พบกับโจฮาน อาจารย์ประจำภาควิชาของเรา ลิลิมอร์แนะนำเราเรื่องการใช้ชีวิตนักศึกษา การทำบัตรนักศึกษา การเข้าระบบสำหรับดาวน์โหลดสื่อการเรียนการสอน ซึ่งทำได้สะดวกสบาย ส่วนโจฮานชี้แจงเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ แจกแจงภาระกิจในการเรียน แจกการบ้าน และอธิบายภารกิจของการฝึกงาน แล้วเสริมด้วยว่านอกจากหน่อไทย 4 คนแล้ว เรายังจะมีเพื่อนชาวสเปนอีก 2 คนที่จะมาร่วมโปรแกรมการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ทุกๆ ปีที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักจะมีนักศึกษาแลกเปลี่ยนมาร่วมโปรแกรมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นประเทศต่างๆ ในยุโรป หรือเอเชีย อย่าง จีน ฮ่องกง และไทย ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มาเรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ระบบการศึกษา การปฏิบัติงาน สวัสดิการ วัฒนธรรม และการใช้ชีวิตของคนสวีเดนที่เรียบง่ายแต่เพียบพร้อม
ตอนเด็กๆ เราเคยฝันอยากจะเดินทางไกล ไม่รู้หรอกว่าจะไปที่ไหน แต่รู้ว่าต้องไปที่ไหนสักที่ เป็นที่ที่ดี
เมื่อตารางฝึกงานออก แต่ละคนจะได้ฝึกงานตามโรงพยาบาลหรือคลินิกคนละ 2 เทิร์น เทิร์นละ 4 สัปดาห์ ไม่รู้ว่าเพราะความต้องการเดินทางของผมมีมากเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ผมเป็นคนเดียวที่ถูกเลือกให้เดินทางไปฝึกงานต่างเมืองทั้งสองเทิร์นคือที่ เมืองชอปปิ้ง (Köping) และ เมืองเอสกิทูน่า (Eskilstuna) ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ อย่างมากก็อยู่ที่เวสเตอโรสหนึ่งเทิร์นและเมืองอื่นอีกหนึ่งเทิร์น
ตอนที่กดปุ่มค้นหาในกูเกิ้ลแมพแล้วพบว่าปลายทางห่างจากเมืองที่อาศัยอยู่ประมาณ 40 และ 80 กิโลเมตรตามลำดับ ผมแอบดีใจที่ได้ออกไปสถานที่แปลกใหม่ กระโดดโลดเต้นไปทั่วห้อง
ถ้าทำได้ ผมในตอนนี้อยากจะกลับไปเอามือแตะไหล่และเตือนสติด้วยการบอกว่า หยุดก่อน...สิ่งที่นายกำลังจะเผชิญต่อจากนี้มันจะทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากอดีตของนาย อย่ามัวแต่ดีใจ รีบตั้งสติๆ ให้ได้ไวๆ
ตื่นเช้าโดยลำพัง
สมัยประถมจนถึงม.ต้น ตอนที่ยังอยู่ที่เชียงใหม่ นายมักจะถูกเสียงดุๆ ของพ่อปลุกให้ต้องตื่นจากฝันหวานมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถบัสรับส่งนักเรียนคันใหญ่ หรือที่ชาวเหนืออย่างเราคุ้นเคยในคำว่า 'รถเดือน' นายจะหงุดหงิดรำคาญใจ คิดว่าอยากจะนอนต่ออีกสักพัก แต่พ่อก็จะเดินมาถึงเตียงในชุดกางเกงขากล้วยเสื้อยืดสีขาวจับขาเรียกชื่อนายซ้ำๆ หรือไม่ก็จะบอกนายว่าสายแล้วนะ ตื่นได้แล้ว ตอนนั้นนายแค่ต้องลุกขึ้นมาเพราะกลัวโดนดุไปมากกว่านั้น แต่การต้องตื่นมาตีห้าท่ามกลางความเหน็บหนาวของหิมะด้วยตัวเองนี่มันต่างกันมาก นายต้องบอกตัวเองให้ได้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องตื่นขึ้นมา มีแค่เสียงนาฬิกาปลุกที่พอกดปุ่มสต๊อปมันก็หยุด ไม่มาเซ้าซี้ให้นายตื่นเหมือนที่พ่อทำ ถ้าพลาดคือสาย ถ้าสายก็คือสาย นายก็จะโดนหมายหัวจากอาจารย์
น้ำมันกระเด็นหรือน้ำตากระเซ็น
ทุกเช้าพ่อจะนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว บนโต๊ะมีกับข้าวง่ายๆ ที่เตรียมเอาไว้ บางวันเป็นข้าวต้ม บางทีเป็นหมูทอด บางครั้งเป็นของกินที่เหลือจากเมื่อวานตอนเย็น หรือบางเช้าก็มีแค่นมกับขนมปัง แต่เช้าของนายที่เวสเตอโรส ไม่มีของพวกนั้นวางไว้ให้นายหยิบเข้าปากง่ายๆ อีกแล้ว นายต้องไปซุปเปอร์มาเก็ต ต้องคิดว่าจะทำอะไรกิน ต้องเสี่ยงว่าทำกินแล้วจะไม่ท้องเสีย ทุกวันต้องเตรียมข้าวใส่กล่องพกไปกินที่โรงพยาบาล นายควรจะหัดทำอาหารบ้างนะ หรืออย่างน้อยก็อย่ามีนิสัยกลัวกระทะ กลัวตะหลิว กลัวน้ำมันกระเด็น กลัวความร้อน มันเป็นทักษะพื้นฐานที่นายควรมี ถ้าไม่อยากอดตายเพราะทำกินเองไม่เป็น หรือน้ำตากระเซ็นเพราะเสียเงินแพงๆ ซื้อกิน
เวลาเป็นเรื่องสำคัญ
ทันทีที่ออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น นายต้องตั้งหน้าตั้งตาเก็บข้าวของใส่กระเป๋า อาจแอบทิ้งหนังสือเล่มหนักๆ เอาไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะ นายต้องรีบเผ่นออกจากห้องเรียนแล้วไปยังจุดนัดหมายเพื่อกระโดดขึ้นรถเดือนให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น นายจะตกรถ...ตกแบบที่ไม่เจ็บตัว แต่เจ็บใจ และเมื่อตกรถนายก็จะต้องนั่งรถแดงจากหน้าโรงเรียนเพื่อไปที่กาดหลวง แล้วต่อรถเขียวไปลงหน้าปากซอย จากหน้าปากซอยก็ต้องเดินไปอีกกว่าจะถึงบ้าน ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเท่ากับ 10 บาท แต่ด้วยกำลังทางการเงินของนายในตอนนั้นบวกกับความต้องการในการกินขนมนมเนยก็มักจะทำให้นายต้องเปลี่ยนทางเลือกเป็นหยอดเหรียญบาทลงตู้โทรศัพท์สารภาพผิดกับแม่ว่าคงต้องให้มารับที่โรงเรียน โทษที่นายได้รับต่อการไม่ตรงเวลาก็คือต้องทนฟังเสียงบ่นแบบยาวๆ ตลอดช่วงเย็น แต่ที่นั่นไม่มีใครมาบ่นให้นายฟังแล้วนะ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ เวลาเป็นเรื่องสำคัญ มันไม่ใช่อีกตั้งนาทีหนึ่งอีกต่อไป แต่มันคือ อีกแค่นาทีเดียว นาทีเดียวที่จะเปลี่ยนเหตุการณ์หลังจากนั้นไป
ความซื่อสัตย์ของนายได้ราคาเท่าไหร่
เมื่อก่อนไม่ว่านายจะเงินขาดมือเท่าไหร่ ไม่ว่าจะอยากได้อะไร ที่นายต้องทำก็แค่ยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงไปถึงแหล่งทุนที่พร้อมจะให้นายเสมอ นายไม่ค่อยรู้จักค่าของเงิน และบางครั้งนายก็จะพยายามหาข้ออ้างต่างๆ นาๆ เพื่อขอเงินเกินความจำเป็น แต่สำหรับที่นี่นายมีอย่างจำกัดและการโอนเงินไปมาข้ามทวีปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การกดเงินสดแต่ละครั้งต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นหลักร้อย สังเกตเห็นว่านายเริ่มมีการวางแผนการใช้จ่าย เริ่มจดบันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ และมัธยัสถ์มากขึ้น เช่น การเดินทางไปยังเมืองชอปปิ้งนั้นสามารถทำได้ทั้งโดยสารรถไฟและรถบัส หากโดยสารรถไฟนายสามารถตื่นหกโมงครึ่งได้เพื่อให้ไปถึงโรงพยาบาลในเวลาเจ็ดโมงครึ่ง แต่หากเป็นรถบัสนายต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลตอนเจ็ดโมง ฟังดูรถไฟเป็นตัวเลือกที่ดีแต่ก็แลกมาซึ่งค่าตั๋วที่แพงกว่าตั๋วรถบัสเกือบเท่า แต่นายก็เลือกที่จะตื่นเช้ามาขึ้นรถบัส นั่นเป็นสัญญาณที่ดีนะ
บางทีเวลาที่หิมะตกก็อาจเป็นการเริ่มต้นที่ทำให้นายได้หันกลับไปมองชีวิตที่ผ่านมา ฝ่าหิมะออกไปข้างนอกนั่นนอกจากต้องทนหนาวให้ได้แล้วยังต้องปรับตัวรับสภาพกับอากาศที่แปรปรวน โชคดีที่วันนี้หิมะไม่ได้ตกหนัก
...
แม่น้ำ Svartån ที่แข็งเป็นน้ำแข็งและรอยเท้าของใครบางคน
มหาวิทยาลัย Mälardalen ในวันฟ้าครึ้ม
มหาวิทยาลัย Mälardalen ในวันฟ้าครึ้ม
มหาวิทยาลัย Mälardalen ในวันฟ้าครึ้ม
ป่าหลังบ้าน
ร้าน Netto ที่ของเกือบถูกที่สุด
ต้องเข้มแข็งผ่านคืนวันอันเหน็บหนาว
ระหว่างทางเดินไปมหาวิทยาลัย บ้านเมืองสีสันสดใส
ระหว่างทางเดินไปมหาวิทยาลัย บ้านเมืองสีสันสดใส
Hemköp ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีเกือบทุกอย่าง อารมณ์คล้าย Top Supermaket
มุมหนึ่งตรงข้ามโบสถ์เวสเตอโรส
โบสถ์เวสเตอโรส
ภายในโบสถ์เวสเตอโรส
ภายในโบสถ์เวสเตอโรส
ย่านเมืองเก่า
ฝั่งตรงข้ามมองเห็น Västerås stad
ย่านกลางเมือง
ย่านกลางเมือง
วันนี้หิมะไม่ตก
Another nice one please go to https://storylog.co/story/598444f5970723207f15bcae
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in