เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SWAIN SWAN SVERIGE : ค่ำคืนอันเหน็บหนาว ณ ดินแดนใจกลางสแกนดิเนเวียMoschan Nutthapat Suma
Chapter 2 : สวัสดี สวีเดน
  • ..

    หลังจากที่พวกเราอ่อนล้าจากการวนหาที่เล่นก็แล้วที่นอนก็แล้วในสนามบินกว่า 8 ชั่วโมง บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงยามค่ำคืนก็ถูกเติมเต็มด้วยเสียงฝีเท้าและล้อกระเป๋าที่ถูกลากโดยนายของมันในช่วงเช้าของวันใหม่ พวกเราค่อยๆ ลืมตาตื่นจากโซฟา ขยี้ตาสองสามทีเพื่อให้ตัวเองพร้อมรับวันใหม่ วันนี้แท็กซี่จากมหาวิทยาลัยจะมารับพวกเราตอนสิบโมงเช้า ไปล้างหน้าล้างตา หาอะไรรองท้องสักหน่อย

    กระทั่งสิบโมง

    "เฮ้ยแก...แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าจะมารับเราตรงไหน"

    ก่อนมาถึงพวกเราดันไม่ได้อีเมลบอกจุดนัดพบกับคนมารับ ความซวยเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกายแต่เช้า หลังจากที่เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มพูดประโยคนี้ขึ้น ความตื่นเต้นบนใบหน้าของทุกคนก็จางหายไปเกิน 50% เราพยายามระดมความคิดในการหาทางเจอกับลุงคนขับแท็กซี่ให้ได้ ทุกคนกังวลใจไม่อยากถูกทิ้งไว้ในสนานบิน ไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่นี่มากกว่านี้อีกแล้ว เราไม่สามารถต่อสัญญาณไวไฟได้เพราะไม่มีซิมของที่นี่ ตอนนั้นเราอยู่ที่เทอมินอล 2 ซึ่งเป็นที่ที่เราโผล่ออกมาเมื่อคืนนี้ พยายามมองหาป้ายที่เขียนชื่อหนึ่งในพวกเรา เวลาผ่านไป สิบโมงห้านาที สิบโมงสิบนาที สิบโมงยี่สิบนาที กระทั่งสิบโมงครึ่ง ก็ไม่มีวี่แววว่าเราจะได้พบกับคนขับรถ หัวใจของเราเต้นไม่เป็นจังหวะ สุดท้ายตัดสินใจแบ่งกันไปแต่ละเทอมินอลเพื่อหาวี่แววของคุณลุง  นี่การเดินทางครั้งแรกของเราจะทำให้เรากลายถูกปล่อยเกาะหรือนี่ ไปไหนก็ไม่ถูก เรากระสับกระส่ายไปหมดจนกระทั่ง

    "แนททาพัด +๑๔%&8฿(dsd@"

    จู่ๆ ผมก็ได้ยินชื่อตัวเองจากประกาศเสียงตามสาย ผมหูดับไปชั่วครู่ ได้ยินแค่ชื่อตัวเองจริงๆ แต่ข้อความหลังจากนั้นคือฟังไม่รู้เรื่องเลบ งงว่าต้องทำยังไงต่อไป โชคดีที่จิ๊บเพื่อนสาวคนเก่งในพวกเรา เธอมีดีกรีเป็นอดีตนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ตั้งสติทันและพาพวกเราไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ จนได้พบกับลุงคนขับแท็กซี่ในอีกสิบห้านาทีต่อมา ลุงบอกว่า 'มิสลิลิมอร์' หรืออาจารย์ผู้ประสานงานจากมหาวิทยาลัยแจ้งว่าให้มารับพวกเราที่เทอมินอล 5 เนื่องจากเข้าใจว่าพวกเรามาไฟท์เช้า ซึ่งปกติไฟท์จากประเทศไทยก็จะมาลงที่เทอมินอลนั้น หน่อไทยทั้ง 4 มองหน้ากัน นี่คือการสังเวยแด่ความงกเค็มของพวกเราเอง 

    ไม่ว่าจะต้องเจอเรื่องมากมายแค่ไหนในวันแรกของการมาเยือนสวีเดน แต่ในที่สุดพวกเราก็กำลังมุ่งหน้าสู่ "เวสเตอโรส (Västerås)" อารมณ์ในตอนนั้นประหนึ่งว่าตัวเองเป็น อลิซ นางเอกจากเรื่อง How to be single (2016) ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังในรถแท็กซี่ที่กำลังแล่นไปบนสะพานบรูคลินมุ่งหน้าสุ่งนิวยอร์ก กระจกเลื่อนลงจนสุด แรงลมปะทะใบหน้า ผมสวยปลิ้วไสวราวคำกล่าวต้อนรับเธอเข้าสู่มหานครที่ไม่เคยหลับใหลพร้อมกับเพลง Welcome to New York ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ 

    ถึงแม้เราจะไม่ใช่นางเอกของหนังเรื่องไหนๆ และอากาศข้างนอกก็หนาวเกินกว่าจะเปิดกระจกให้แรงลมตีจนหน้าม้ากระพือ แต่ความรู้สึกของเรากับอลิซคงจะคล้ายๆ กัน 

    เวสเตอโรส (Västerås) อยู่ห่างจากเมืองหลวงสต๊อกโฮม (Stockholm) ไปทางตะวันตกประมาณ 100 กิโลเมตร ถือเป็นเมืองใหญ่และเก่าแก่เมืองหนึ่งของสวีเดน ปัจจุบันกลายเป็นเมืองวิศวกรรมและอุตสาหกรรม เพราะมีบริษัทใหญ่ๆ มาตั้งฐานทัพอยู่ที่นี่ เช่น ABB หรือ ASEA Brown Boveri นอกจากนี้เวสเตอโรสยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไม่น้อยเนื่องจากเป็นบ้านเกิดของแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกชื่อดังอย่าง Hennes & Mauritz หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ H&M นั่นเอง ร้าน H&M ร้านแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1947 ที่เวสเตอโรส โดยใช้ชื่อว่า Hennes ขายแต่เสื้อผ้าผู้หญิง กระทั่งในปี ค.ศ.1968 ได้รวมกิจการเข้ากับบริษัท Mauritz Widforss ซึ่งขายเสื้อผ้าผู้ชาย เลยเป็นที่มาของ Hennes& Mauritz หรือ H&M
    ท้องถนนที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาว และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆสีเทา

    แท็กซี่ค่อยๆ หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าตึกสูงใหญ่ที่ดูทันสมัย ข้างนอกบานหน้าต่างยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ในขณะที่ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆเทาครึ้ม เมื่อแท็กซี่จอดสนิทที่ประตูทางเข้าตึก นักศึกษาสาวหน้าตาจิ้มลิ้มสองคนยืนโบกมือต้อนรับพวกเราสองสามทีก่อนที่จะฝ่าละอองหิมะขึ้นมาบนรถ พวกเราแนะนำตัวทำความรู้จักกัน ได้ความว่าทั้งสองเป็นนักศึกษาคณะสาธารณสุขและจะมาทำหน้าที่เป็นไกด์ชั่วคราว พาพวกเราไปส่งที่ห้องพักรวมถึงแนะนำเส้นทางต่างๆ ให้สามารถเอาชีวิตรอดได้ในสัปดาห์แรกซึ่งยังไม่มีเรียนได้

    ผมตื่นเต้นอีกครั้ง เพราะจินตนาการไปถึงห้องพักสไตล์สแกนดิเนเวียที่เรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและหรูหรา ซึ่งเราจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานร่วมสามเดือน

    และเนื่องจากพวกเราสี่ชีวิตประกอบไปด้วย
    ชายสอง : ผมและบูม
    หญิงสอง : จิ๊บและปุ๊

    พวกเราจึงต้องถูกแยกจากกัน เพื่อนสาวสองคนได้พักในย่านถนน Ausgust Palms ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า แต่พวกเธอต้องพักร่วมกับนักศึกษาสาวชาวจีนอีกคน ส่วนเรากับบูมได้พักในอพาร์ทเม้นท์ย่าน Jakobsgatan ซึ่งอยู่ไกลกว่า ด้านหลังเป็นป่าและต้องอยู่ร่วมกับนักศึกษาชายชาวจีนอีกหนึ่งคนเช่นกัน อพาร์ทเม้นท์ของผมอยู่ชั้นสองของตัวตึกซึ่งภายในประกอบไปด้วยห้องนอนที่กลั้นไว้เป็นสัดส่วนมิดชิดสองห้องเท่านั้น อีกหนึ่งห้องดัดแปลงมาจากโถงนั่งเล่นกลางบ้านโดยมีผ้าม่านบางๆ ปิดแทนบานประตู แน่นอนคนที่ได้ห้องพิเศษระดับวีไอพีอย่างนี้ก็ต้องเป็นผมเอง 
    อพาร์ทเม้นท์ย่าน Jakobsgatan
    ห้องนอนที่ถูกดัดแปลงจากห้องนั่งเล่น

    บูมทำความรู้จักทักทายกับรูมเมทชาวจีนด้วยความเฟรนด์ลี่ ส่วนผมก็ได้แค่ทักทายแบบที่ควรจะเป็น 

    "ฮัลโหล มายด์แนมอิสมอส ไอแอมฟอร์มไทยแลนด์ ไนส์ทูมีตยู" 

    บทพูดที่ท่องมาอย่างดีแถมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจแบบไทยๆ ปิดท้าย การทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เป็นเรื่องยากของผมมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งต้องมาใช้ภาษาอื่นในการสื่อสาร ยิ่งทำให้ผมเลือกที่จะหลบเข้าโซนส่วนตัวแล้วจัดการกับสัมภาระของตัวเองแทนการเพิ่มบทสนทนา

    กลิ่นอบอุ่นปนความชื้นภายในห้องทำให้ผมค่อยๆ ซึมซับความเป็นสวีดิช ผมสำรวจพื้นที่รอบห้องที่ปูด้วยวัสดุคล้ายพีวีซี ผนังติดวอลเปเปอร์ไว้ทั่วทั้งห้อง รูปดอกกล้วยไม้สองภาพติดอยู่บนหัวเตียงขนาดสามฟุต โต๊ะข้างเตียงมีโคมไฟดวงน้อยเหมือนงวงช้างวางอยู่ ชั้นวางของโล่งว่างเปล่า โต๊ะเขียนหนังสือขนาดพอเหมาะดูไม่ค่อยจะแข็งแรงแต่ก็ยังมีเก้าอี้ที่เข้าชุดกันอยู่เคียงข้าง ตู้เก็บของที่มีลิ้นชักถูกดัดแปลงเป็นที่วางโทรทัศน์รุ่นเก่าซึ่งไม่สัญญาณ ผ้าม่านสีม่วงเข้มทำหน้าที่ซ่อนหน้าต่างบานใส เมื่อเปิดม่านออกมองไปด้านนอกเห็นเป็นวิวสนามเด็กเล่นซึ่งจมอยู่ใต้กองหิมะจนแทบมองไม่เห็นเครื่องเล่น  
    ผมมองออกไป แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา หรือเราเองก็พลอยถูกหิมะของที่นี่คลุมไปด้วยซะแล้วนะ

    ..
    สวนหย่อมและสนามเด็กเล่นในย่าน  Jakobsgatan
    รถที่สวนมาทางซ้ายกับหิมะระหว่างทาง

    Another nice one please go to https://storylog.co/story/59745d6bbda55ad76b4394db

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in