เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber2018lunatic.a
#Novelber2018 | Day 2 : ภูมิแพ้
  • genre (s): drama, romance, homosexual // mention of rape


    "ไอ้คุณอีกแล้วหมวดภูมิ หนนี้หลอกแม่ม่าย ไม่รู้จักหลาบจำเสียที” ดาบศรุตเดินเข้ามาในห้องพักกระพือเสื้อสีกากีไล่ร้อนก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟา ผมพยักหน้ารับด้วยรู้ว่าเขาจะไม่จัดการเรื่องนี้เอง

    “เดี๋ยวผมไปคุย” ผมเดินเลี้ยวไปยังห้องสืบสวนซึ่งอยู่ถัดออกไปสามห้อง เห็นชายหนุ่มที่คุ้นหน้าเขาสวมเสื้อสีขาวปลอด นั่งเอามือข้างหนึ่งเท้าคางส่วนอีกข้างสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด เมื่อเห็นผม ฉับพลันใบหน้าเรียบเฉยนั้นค่อยขยับเป็นรอยยิ้มที่ใสซื่อเกินกว่าจะเป็นของผู้ร้ายที่ก่อคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ผมนั่งลงตรงข้ามยังจ้องเขาไม่วางตา

    “นึกว่าจะไม่มาหากันแล้ว” คุณว่า พอได้มองใกล้ขึ้นจึงรู้ว่าแก้มสีซีดนั้นตอบลงไปเล็กน้อย มีริ้วรอยเพิ่มขึ้นตามวัย ผมหน้าม้าถูกรวบขึ้น “ไม่ได้คุยด้วยนาน คิดถึงหมวดจะแย่” น้ำเสียงเย้าแหย่ตามประสา

    “บอกกี่หนแล้วว่าถ้าจะคุยก็มาที่สนดี ๆ ไม่เห็นต้องก่อเรื่อง”

    “คุยกันดีๆ ” คุณทวนคำ “แบบที่หมวดหลบหน้าหลบตา หนีกลับบ้านทันทีที่เลิกงานน่ะหรือ”

    “งั้นก็” ผมชะงัก ยั้งปากไว้ทันก่อนเผลอชวนโจรเข้าบ้าน

    คุณยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำใครต่อใครหลงหัวปักปำมานักต่อนัก ขนาดผมซึ่งเห็นมาไม่รู้กี่ครั้งใจยังกระตุกวูบ คุณเป็นคนที่หน้าตาจัดว่าดีพอสมควรและรู้จักบริหารเสน่ห์จึงมักเที่ยวหลอกเอาเงินชาวบ้าน บางครั้งก็ฉกฉวยของจากร้านชำ ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยไม่เป็นหลักเป็นแหล่งวนเวียนอยู่ในจังหวัดเดียว แต่ไม่ว่าจะโดนจับได้ที่ไหนเขาก็จะเอ่ยปากถามหาผมเสมอ ราวกับทั้งหมดนี้เพียงเพื่อพบผมคนเดียว

    ก็คงใช่

    “เธอยังติดใจเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”

    “เรื่องไหน ที่ผมขืนใจน้องสาวน่ะนะ”

    “เลิกประชดสักทีเถอะ” ผมตัดบท พ่นลมหายใจหนักหน่วง

     

     

    เราพบกันครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นคุณอายุแค่สิบแปด ผมได้รับรายงานมาว่าลูกชายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่งข่มขืนน้องสาวตัวเอง ตอนที่นำตัวทั้งผู้เสียหาย พยาน และผู้ต้องหามาช่างเป็นภาพที่น่าหดหู่ยิ่งนัก เด็กสาววัยสิบสองร้องไห้ในอ้อมกอดแม่ ส่วนพี่ชายถูกใส่กุญแจมือก้มหน้างุด ฝ่ายแม่ยืนยันหนักแน่นว่าลูกชายตนเป็นผู้กระทำ ซ้ำร้ายในขั้นตอนสอบปากคำเจ้าตัวยังยอมรับ คดีจึงจบลงอย่างง่ายดายที่จำคุก 10 ปี เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะเงียบลงด้วยธนบัตรสีเทาหลายปึก

    ตอนนั้นผมคิดว่าเรื่องมันทะแม่งตรงที่ฝ่ายแม่เป็นผู้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ลูกชายซึ่งเป็นผู้ต้องหากลับตอบรับเพียงไม่กี่คำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาว่างเปล่าร้าวลึกราวกับยอมจำนนต่อทุกอย่างที่โลกจะยัดเยียดให้

              แล้วก็จริงดังคาด คุณไม่ได้ทำ

             ห้าปีถัดมา ผมซึ่งตอนนั้นอยู่ฝ่ายสืบสวนคุ้ยเจอข้อมูลว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นลูกนอกสมรสของอดีตนักการเมืองคนนั้นกับหญิงงามเมืองถูกแม่เลี้ยงกล่าวหาว่าข่มขืนเพื่อจะกำจัดเขาออกจากตระกูลโดยที่พ่อไม่รับรู้และเชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกชายผิดด้วยเกลียดชังเป็นทุน เรื่องรันทดอย่างละครหลังข่าว ผมพยายามจะเปิดโปงเรื่องนี้ หากผู้เป็นพ่อกลับห้ามไว้ ทั้งยังโทษลูกชายที่ไม่ได้พูดอะไรให้พ้นจากข้อกล่าวหา ดังนั้น ถึงข่าวแพร่กระจายออกไปอีก คนก็มองว่าทางครอบครัวช่วยล้างประวัติให้ลูกชาย บ้างว่าติดคุกเป็นพิธีเท่านั้น

    ไม่มีใครอยู่ข้างคุณเลย ไม่มีใครต้องการเขา

    ครอบครัวพยายามเขี่ยทิ้ง สังคมรุมประณาม 

    แม้แต่ผมที่แบกความรู้สึกผิดยังเกรงกลัวต่ออำนาจพ่อเขา เอาแต่กลัวว่าจะเสียงาน นึกห่วงไปทุกอย่าง

    ยกเว้นคุณ

     

    เราไม่เคยแตะประเด็นนั้นอีกนับตั้งแต่เขาพ้นโทษ การเจอกันแต่ละครั้งก็มีแค่ตอนเขาก่อคดีเล็กน้อยที่ยอมความกันได้ ผมเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือหากจำเป็นก็พยายามจบบทสนทนาก่อนจะยืดยาว

    แต่ทุกครั้งที่เจอกันผมอดสบตาเขาไม่ได้ นอกจากคำพูดยียวนไม่ยี่หระต่อสิ่งใดและรอยยิ้มไร้เดียงสาจอมปลอม สายตานั้นช่างเว้าวอน รวดร้าว ดั่งสัตว์ที่ถูกล่ามในกรงมาชั่วชีวิตร้องขอให้ปล่อย ไม่ต่างกับครั้งแรกที่พบกัน

     ไม่มีใครล่วงรู้ว่าผมปรารถนาจะอยู่เคียงข้างเขา ตลอดมา

     

    “ฉันต้องทำยังไง” ผมถามอย่างไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้ยินคำตอบหรือไม่ และจะทำได้หรือเปล่าหากเขาขออะไร เวลาล่วงมาขนาดนี้แล้ว ผมจะทำอะไรได้

    “หมวดรู้อยู่แก่ใจว่าต้องทำยังไง”

    “ฉันไม่รู้” ผมส่ายหน้า “ที่ฉันรู้คือฉันเสียใจที่รู้ช้าไปว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ รู้ว่าบ้านเธอยิ่งกว่านรก รู้ว่าเธอยอมรับโทษเพราะอย่างน้อยก็ได้หนีออกมา ฉันน่าจะช่วยเธอได้ ฉันรู้ว่ามันแย่มาก” สิ่งที่ติดค้างในใจเริ่มพรั่งพรู

    “ว่าต่อสิ” คุณประสานมือไว้ใต้คาง แววขบขันปรากฏชัดในดวงตาเรียวเล็ก

    “ฉันรู้ว่าเธอคิดว่าไม่ว่าจะทำอะไร ตราบาปนั้นจะติดตัวเธอไปทุกที่ รู้ว่าเธอคิดว่าชีวิตเหลวแหลกและทำดีแค่ไหนมันก็ไม่มีทางดีขึ้นมา รู้ว่าเธอก่อเรื่องเพื่อแก้แค้น – ไม่สิ เรียกร้องความสนใจจากฉัน”

    ถึงตรงนี้คุณหัวเราะออกมา

    “ก็รู้ดีนี่”

    “ฉันรู้แค่นี้แหละ”

    “แค่นั้นเองเหรอ”

    ผมสูดหายใจลึก

    “เธอเที่ยวหลอกใครต่อใครเพราะรู้ว่าจะไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เธอพูด” เสี่ยงพูดต่อแม้รู้ว่าจะจี้ใจดำ “เธอไม่เชื่อใจใคร หรือพูดให้ถูกเธอไม่กล้าเชื่อใจใคร”

    “ผิด” คุณเบ้หน้า น้ำเสียงเจือความผิดหวัง “ผมเชื่อหมวดไง”

    “อย่ามาเชื่ออะไรในตัวฉันเลย” ผมเว้นจังหวะ “นั่น – เธอก็รู้  แค่ทำตามหน้าที่ แถมยังทำพลาดด้วย”

    คุณเงียบไปพลางยกมือขึ้นลูบหน้า

    “ไม่เอาน่า จะให้มันจบแบบนี้จริงเหรอ” เสียงอู้อี้ลอดฝ่ามือมา

    “ฉันขอโทษ” เขาคงเบื่อจะฟังคำนี้เต็มทน “มีทางอื่นด้วยหรือไง”

    “มีสิ ถ้าเรียกชีวิตที่ผ่านมาว่านรก หมวดก็คือเทพบุตรมาโปรดผมเลยล่ะ ถึงจะมาสายไปนิดก็เถอะ”

    ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง “เธอรับมือยากเสมอเลย”

    คุณยิ้ม

    รอยยิ้มนั้นอีกแล้ว จริงใจและไร้เดียงสา สาบานว่าถ้าเขาขยับเข้ามาอีกแม้แต่มิลลิเมตรเดียว ผมจะคว้าตัวมากอดแน่น

    ทว่าคุณทำเพียงเอื้อมมือมาลูบนิ้วผมทีละนิ้วแผ่วเบา ก่อนเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่แหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย คลึงไล้และหมุนมันไปมา

    “ถ้าผมจะพยายามทำตัวให้ดีไม่หาเรื่องเข้าคุกแล้ว หมวดจะยอมออกจากคุกได้หรือยัง”

    ผมหน้าร้อนผ่าว นึกถึงหน้าวารี ภรรยาสาวที่พ่อบังคับให้แต่งงานด้วยเมื่อปีก่อนเพราะรู้ว่าผมไม่มีทางคบผู้หญิงได้ ผมจำยอมเพราะไม่มีตัวเลือกมากมาย วารีเป็นหลานตำรวจยศนายพลการแต่งงานของเราจึงมีผลดีมากมายที่ตามมา ไม่มีความรักระหว่างเรา วารีมีคนอื่นในใจ

    ผมก็เช่นกัน


    “ยอมได้ไหม ภูมิ

    สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ผมไม่ฉวยแหวนที่เขาถอดไปสวมไว้คืนมา

    ผมยอม

    แม้ว่าการหย่ากับหลานนายพลจะกระทบกับงาน

    แม้ว่าจะถูกประณามหยามเหยียดที่ตำรวจคบกับคนขี้คุก

    แม้ว่าการโยนทุกอย่างทิ้งจะเป็นเรื่องโง่เง่า

    แม้ว่าเราจะเป็นแค่กากเดน

    แม้ว่าท้ายที่สุดมันอาจจบลงโดยที่เราต่างเจ็บปวด

    แม้ว่านี่อาจไม่ใช่ความรัก

    แม้ว่าอะไรก็ตาม

    ผมยอม

    “ครับ ภูมิแพ้คุณแล้ว”

     ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    อย่าคาดหวังเลยค่ะว่าเราจะเขียนอะไรจรรโลงสังคม (ฟังดูชั่ว)

    เรื่องนี้เขียนจากความฝันเมื่อเดือนก่อนค่ะ จู่ ๆ ก็ฝันเป็นเรื่องเป็นราวแถมจำได้แต่ต้นจนจบ แต่ตัวเอกเดิมในฝันชื่อจ้อน (หัวเราะ) ตื่นมาเลยจดไว้ ไม่คิดว่าจะได้เรียบเรียงและเขียนออกมาจริง ๆ

    ไม่ได้เขียนนานมากแล้วด้วยเหตุผลส่วนตัว (นับรวมขี้เกียจ

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

    เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ

     

                   

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in