"ไอ้คุณอีกแล้วหมวดภูมิ หนนี้หลอกแม่ม่าย ไม่รู้จักหลาบจำเสียที” ดาบศรุตเดินเข้ามาในห้องพักกระพือเสื้อสีกากีไล่ร้อนก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟา ผมพยักหน้ารับด้วยรู้ว่าเขาจะไม่จัดการเรื่องนี้เอง
“เดี๋ยวผมไปคุย” ผมเดินเลี้ยวไปยังห้องสืบสวนซึ่งอยู่ถัดออกไปสามห้อง เห็นชายหนุ่มที่คุ้นหน้าเขาสวมเสื้อสีขาวปลอด นั่งเอามือข้างหนึ่งเท้าคางส่วนอีกข้างสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด
ผมนั่งลงตรงข้ามยังจ้องเขาไม่วางตา
“นึกว่าจะไม่มาหากันแล้ว” คุณว่า พอได้มองใกล้ขึ้นจึงรู้ว่าแก้มสีซีดนั้นตอบลงไปเล็กน้อย มีริ้วรอยเพิ่มขึ้นตามวัย ผมหน้าม้าถูกรวบขึ้น “ไม่ได้คุยด้วยนาน คิดถึงหมวดจะแย่” น้ำเสียงเย้าแหย่ตามประสา
“บอกกี่หนแล้วว่าถ้าจะคุยก็มาที่สน. ดี ๆ ไม่เห็นต้องก่อเรื่อง”
“คุยกันดีๆ ” คุณทวนคำ “แบบที่หมวดหลบหน้าหลบตา หนีกลับบ้านทันทีที่เลิกงานน่ะหรือ”
“งั้นก็…
คุณยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำใครต่อใครหลงหัวปักปำมานักต่อนัก ขนาดผมซึ่งเห็นมาไม่รู้กี่ครั้งใจยังกระตุกวูบ คุณเป็นคนที่หน้าตาจัดว่าดีพอสมควรและรู้จักบริหารเสน่ห์จึงมักเที่ยวหลอกเอาเงินชาวบ้าน บางครั้งก็ฉกฉวยของจากร้านชำ ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยไม่เป็นหลักเป็นแหล่งวนเวียนอยู่ในจังหวัดเดียว แต่ไม่ว่าจะโดนจับได้ที่ไหนเขาก็จะเอ่ยปากถามหาผมเสมอ ราวกับทั้งหมดนี้เพียงเพื่อพบผมคนเดียว
ก็คงใช่
“เธอยังติดใจเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”
“เรื่องไหน ที่ผมขืนใจน้องสาวน่ะนะ”
“เลิกประชดสักทีเถอะ”
เราพบกันครั้งแรกเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นคุณอายุแค่สิบแปด ผมได้รับรายงานมาว่าลูกชายรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่งข่มขืนน้องสาวตัวเอง ตอนที่นำตัวทั้งผู้เสียหาย พยาน และผู้ต้องหามาช่างเป็นภาพที่น่าหดหู่ยิ่งนัก เด็กสาววัยสิบสองร้องไห้ในอ้อมกอดแม่ ส่วนพี่ชายถูกใส่กุญแจมือก้มหน้างุด ฝ่ายแม่ยืนยันหนักแน่นว่าลูกชายตนเป็นผู้กระทำ ซ้ำร้ายในขั้นตอนสอบปากคำเจ้าตัวยังยอมรับ คดีจึงจบลงอย่าง
ตอนนั้นผมคิดว่าเรื่องมันทะแม่งตรงที่ฝ่ายแม่เป็นผู้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ลูกชายซึ่งเป็นผู้ต้องหากลับตอบรับเพียงไม่กี่คำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาว่างเปล่าร้าวลึกราวกับยอมจำนนต่อทุกอย่างที่โลกจะยัดเยียดให้
ไม่มีใครอยู่ข้างคุณเลย ไม่มีใครต้องการเขา
ครอบครัวพยายามเขี่ยทิ้ง สังคมรุมประณาม
แม้แต่ผมที่แบกความรู้สึกผิดยังเกรงกลัวต่ออำนาจพ่อเขา เอาแต่กลัวว่าจะเสียงาน นึกห่วงไปทุกอย่าง
…ยกเว้นคุณ
เราไม่เคยแตะประเด็นนั้นอีกนับตั้งแต่เขาพ้นโทษ การเจอกันแต่ละครั้งก็มีแค่ตอนเขาก่อคดีเล็กน้อยที่ยอมความกันได้ ผมเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือหากจำเป็นก็พยายามจบบทสนทนาก่อนจะยืดยาว
แต่ทุกครั้งที่เจอกันผมอดสบตาเขาไม่ได้ นอกจากคำพูดยียวนไม่ยี่หระต่อสิ่งใดและรอยยิ้มไร้เดียงสาจอมปลอม สายตานั้นช่างเว้าวอน รวดร้าว ดั่งสัตว์ที่ถูกล่ามในกรงมาชั่วชีวิตร้องขอให้ปล่อย ไม่ต่างกับครั้งแรกที่พบกัน
ไม่มีใครล่วงรู้ว่าผมปรารถนาจะอยู่เคียงข้างเขา ตลอดมา
“ฉันต้องทำยังไง” ผมถามอย่างไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้ยินคำตอบหรือไม่ และจะทำได้หรือเปล่าหากเขาขออะไร เวลาล่วงมาขนาดนี้แล้ว ผมจะทำอะไรได้
“หมวดรู้อยู่แก่ใจว่าต้องทำยังไง”
“ฉันไม่รู้” ผมส่ายหน้า “ที่ฉันรู้คือฉันเสียใจที่รู้ช้าไปว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ รู้ว่าบ้านเธอยิ่งกว่านรก รู้ว่าเธอยอมรับโทษเพราะอย่างน้อยก็ได้หนีออกมา ฉันน่าจะช่วยเธอได้ ฉันรู้ว่ามัน…แย่มาก”
“ว่าต่อสิ” คุณประสานมือไว้ใต้คาง แววขบขันปรากฏชัดในดวงตาเรียวเล็ก
“ฉันรู้ว่าเธอคิดว่าไม่ว่าจะทำอะไร ตราบาปนั้นจะติดตัวเธอไปทุกที่ รู้ว่าเธอคิดว่าชีวิตเหลวแหลกและทำดีแค่ไหนมันก็ไม่มีทางดีขึ้นมา รู้ว่าเธอก่อเรื่องเพื่อแก้แค้น – ไม่สิ –เรียกร้องความสนใจจากฉัน”
ถึงตรงนี้คุณหัวเราะออกมา
“ก็รู้ดีนี่”
“ฉันรู้แค่นี้แหละ”
“แค่นั้นเองเหรอ”
ผมสูดหายใจลึก
“เธอ…
“ผิด” คุณเบ้หน้า น้ำเสียงเจือความผิดหวัง “ผมเชื่อหมวดไง”
“อย่ามาเชื่ออะไรในตัวฉันเลย” ผมเว้นจังหวะ “นั่น – เธอก็รู้ –
คุณเงียบไปพลางยกมือขึ้นลูบหน้า
“ไม่เอาน่า จะให้มันจบแบบนี้จริงเหรอ” เสียงอู้อี้ลอดฝ่ามือมา
“ฉันขอโทษ” เขาคงเบื่อจะฟังคำนี้เต็มทน “มีทางอื่นด้วยหรือไง”
“มีสิ ถ้าเรียกชีวิตที่ผ่านมาว่านรก หมวดก็คือเทพบุตรมาโปรดผมเลยล่ะ ถึงจะมาสายไปนิดก็เถอะ”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง “เธอรับมือยากเสมอเลย”
คุณยิ้ม
รอยยิ้มนั้นอีกแล้ว จริงใจและไร้เดียงสา สาบานว่าถ้าเขาขยับเข้ามาอีกแม้แต่มิลลิเมตรเดียว ผมจะคว้าตัวมากอดแน่น
ทว่าคุณทำเพียงเอื้อมมือมาลูบนิ้วผมทีละนิ้วแผ่วเบา ก่อนเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่แหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย คลึงไล้และหมุนมันไปมา
“ถ้าผมจะพยายามทำตัวให้ดีไม่หาเรื่องเข้าคุกแล้ว หมวดจะยอมออกจากคุกได้หรือยัง”
ผมหน้าร้อนผ่าว นึกถึงหน้าวารี ภรรยาสาวที่พ่อบังคับให้แต่งงานด้วยเมื่อปีก่อนเพราะรู้ว่าผมไม่มีทางคบผู้หญิงได้ ผมจำยอมเพราะไม่มีตัวเลือกมากมาย วารีเป็นหลานตำรวจยศนายพลการแต่งงานของเราจึงมีผลดีมากมายที่ตามมา ไม่มีความรักระหว่างเรา วารีมีคนอื่นในใจ
ผมก็เช่นกัน
“ยอมได้ไหม ภูมิ”
สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ผมไม่ฉวยแหวนที่เขาถอดไปสวมไว้คืนมา
ผมยอม
แม้ว่าการหย่ากับหลานนายพลจะกระทบกับงาน
แม้ว่าจะถูกประณามหยามเหยียดที่ตำรวจคบกับคนขี้คุก
แม้ว่าการโยนทุกอย่างทิ้งจะเป็นเรื่องโง่เง่า
แม้ว่าเราจะเป็นแค่กากเดน
แม้ว่าท้ายที่สุดมันอาจจบลงโดยที่เราต่างเจ็บปวด
แม้ว่านี่อาจไม่ใช่ความรัก
แม้ว่าอะไรก็ตาม
ผมยอม
“ครับ ภูมิแพ้คุณแล้ว”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อย่าคาดหวังเลยค่ะว่าเราจะเขียนอะไรจรรโลงสังคม (ฟังดูชั่ว)
เรื่องนี้เขียนจากความฝันเมื่อเดือนก่อนค่ะ จู่ ๆ ก็ฝันเป็นเรื่องเป็นราวแถมจำได้แต่ต้นจนจบ แต่ตัวเอกเดิมในฝันชื่อจ้อน (หัวเราะ) ตื่นมาเลยจดไว้ ไม่คิดว่าจะได้เรียบเรียงและเขียนออกมาจริง ๆ
ไม่ได้เขียนนานมากแล้วด้วยเหตุผลส่วนตัว (นับรวมขี้เกียจ)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in