บทที่ 3
บ้าน
บ้าน
ฉันคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ และน้องชายผู้น่ารำคาญแต่น่ารักคนนั้น ฉันไม่น่าออกจากบ้านมาเลย ฉันควรหางานทำในวิสคอนซิน ฉันคงยังมีชีวิตอยู่ หากฉันไม่ตัดสินใจย้ายมาอยู่นิวยอร์ก
จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แล้วเขาจะรู้กันไหมว่าฉันตายแล้ว จะมีใครพบศพฉันไหม ฉันไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นไปไหนแล้ว หรือตั้งใจจะทำอะไรกับศพของฉัน เขาจะทิ้งไว้ข้างทาง หรือฝัง แล้วถ้าเกิดไม่มีใครเจอศพฉันล่ะ
ฉันพยายามนึกภาพที่เห็นตอนกลายมาเป็นวิญญาณ เพื่อดูว่ามีหลักฐานอะไรที่จะสาวไปถึงชายคนนั้นได้ เขาสลักอะไรบางอย่างด้วยมีด ลงบนท้องของฉัน แต่มันมืดเกินกว่าจะเห็นว่าเป็นอะไร ตัวอักษร สัญลักษณ์ มันยากที่จะบอกได้ ฉันเห็นแค่ดวงตาสีฟ้าสุกสกาวด้วยความพึงพอใจของเขา
ฉันจมปลักอยู่ในห้วงความคิด จนไม่ได้ฟังว่าออกัสพูดอะไรหรือกำลังพาฉันไปที่ไหน
เราเดินกันมาหลายนาทีและรอบข้างก็ไม่มีอะไรนอกจากความมืด
“เราอยู่ที่ไหนกัน”
ออกัสหันมองพร้อมเลิกคิ้วขึ้น
“ในเมื่อเธอไม่ได้ฟัง ฉันก็จะอธิบายอีกครั้ง เพราะฉันเป็นคนใจกว้างยังไงล่ะ เราอยู่ในความว่างเปล่า สถานที่ที่เวลาและพื้นที่มีอยู่จริง มันเป็นสะพานระหว่างคนเป็นกับคนตาย ถ้าเธอไม่รู้ทาง เธอก็จะติดอยู่ในนี้ตลอดไป
“แล้วคุณบอกทางได้ยังไง” ฉันมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างที่ ๆ ฉันยืนอยู่กับทางข้างหน้า มันมืดสนิท จบ
“มีอะไรอีกมากที่เธอต้องเรียนรู้ ลิลิธ” เขาพูดเหมือนพ่อกำลังสั่งสอนลูก “เราต้องบลิงก์”
“ช่วยสอน...”
วินาทีที่มือของเราสัมผัสกัน เขาก็หายตัว ฉันพยายามหายใจอีกครั้ง และเรียนรู้ว่าตัวเองคงไม่มีทางชินกับการบลิงก์ในเร็ววันนี้แน่ ฉันเวียนหัวจะแย่แล้ว
“ไม่เลวเลยสำหรับเด็กใหม่” ออกัสไม่คิดปิดบังท่าทีประชดประชันเลย เขาปรบมือเพื่อเรียกความสนใจจากฉัน “ยินดีต้อนรับสู้เจอริโก้”
เจอริโก้ คือสวนสนุก มันมีม้าหมุนที่เต็มไปด้วยผู้คนเล่นกันอย่างสนุกสนาน เสียงกรี๊ดดังมาจากด้านขวาที่มีรถไฟเหาะตีลังกาตั้งอยู่ ที่นี่ประดับด้วยแสงไฟ LEDหลากสีสัน
มันไม่เหมือนที่ฉันคิดไว้เลย
“แจ่มใช่ไหมล่ะ”
ฉันไม่มีอะไรจะพูด สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา คนพวกนั้นเป็นยมทูต แต่กลับมีความสุขและผ่อนคลาย
“ข้อดีของการเป็นยมทูต คือเราไม่จำเป็นต้องกินหรือนอนอีกต่อไป หลังเลิกงานเราก็จะมาที่นี่กัน ทำตัวตามสบาย”
ออกัสทิ้งฉันไว้ตรงหน้าป้ายแผนที่แสดงตำแหน่งเครื่องเล่นและสถานที่ต่าง ๆ ที่มี
จุดแรกที่ฉันไปคือม้าหมุน เพราะอยู่ใกล้สุด ยมทูตสองคนกำลังขี่ม้า อีกคนนั่งรถฟักทอง มันทำให้ฉันนึกถึงตอนอายุหกขวบ พ่อแม่พาฉันไปสวนสนุกเป็นครั้งแรก ฉันเล่นเครื่องเล่นอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเพราะยังเด็กมาก เลยใช้เวลาทั้งวันไปกับการขี่ยูนิคอร์นกับพ่อ โดยมีแม่คอยถ่ายรูปให้
ฉันเดินต่อเพื่อไปดูรถไฟเหาะตีลังกาใกล้ ๆ ระหว่างทางก็ผ่านซุ่มเกมหลากหลาย ทั้งยิงปืน ปาเป้า ยิงธนู ออกัสกำลังยิงปืนอยู่ เขาเก็บคะแนนสูงสุดได้ทั้งหมด ผู้ชายคนนั้นดูผ่อนคลายกว่าตอนปฏิบัติหน้าที่เยอะ
“น้ำปั่นมาแล้ว!เข้ามารับน้ำปั่นฟรีกันได้นะสหาย”
ชายตัวใหญ่กับเคราแพะอลังการยื่นแก้วน้ำให้กับทุกคนในแถว น้ำสีรุ้งออกมาจากเครื่องปั่นตัวเดียว ฉันไม่คิดที่จะถามหรือหาคำตอบแต่อย่างใด เพียงแค่รับแก้วพลาสติกมาแล้วเดินต่อ
นานแล้วที่ฉันไม่ได้ดื่มน้ำปั่น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ดื่มอีกครั้งตอนตายไปแล้ว ฉันค่อย ๆ ดูด เพราะกลัวมันจี๊ดขึ้นสมองเหมือนที่เคยเป็น แต่มันกลับไม่เย็นเลยสักนิด อันที่จริง ฉันไม่รับรู้ถึงรสชาติของมันเลย
“ทำไมมันจืดแบบนี้” เสียงของฉันเรียกความสนใจจากคู่รักตรงหน้า
ฝ่ายชายทักขึ้น
“เธอต้องเป็นเด็กใหม่แน่ ๆ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ทำอะไรมาเหรอ กระโดด? ยา? ปืน? เดี๋ยวนะ แขวนคอ?”
“ฉัน...”
“ใช่แล้ว ยัยนี่เป็นเด็กใหม่และยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ขอตัวก่อนนะ” ออกัสโอบไหล่ฉันแล้วลากให้ออกห่างจากสองคนนั้น
“ทำอะไรของคุณ”
ออกัสยกแขนออกทันที
“ช่วยเธอไง” เขาพูด “อย่าบอกใครเด็ดขาดว่าเธอเป็นยมทูตได้ยังไง ทำตัวกลมกลืนเข้าไว้ เธอไม่เหมือนใครในนี้ เธอเป็นข้อยกเว้น ฉันไม่เคยเห็นใครอยากเป็นยมทูตมาก่อน”
“คุณเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน คุณจะนิ่งเฉยได้ยังไง”
“เธอทำอะไรไม่ได้แล้ว นั่นแหละที่เรียกว่าความตาย มันคือจุดจบ”
มันยากที่จะอ่านความรู้สึกจากสีหน้าของเขา ฉันสงสัยว่าเขากลายมาเป็นยมทูตได้ยังไง แล้วที่บอกว่าฉันเป็นข้อยกเว้นมันหมายความว่าไง มันมีหลักเฉพาะในการเป็นยมทูตอย่างนั้นเหรอ ฉันอยากถาม แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาคงไม่ตอบ
“แล้วฉันต้องตอบว่ายังไงล่ะ เขาคงไม่ใช่คนเดียวที่ถามหรอก ใช่ไหม”
“ตอบคำถามด้วยคำตอบ” เขาบอก “แค่ตอบว่า ‘แล้วนายล่ะ’ส่วนมากไม่มีใครอยากพูดถึงหรอกนะ”
ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูดมาเลย
“แล้วคุณจะสอนอะไรฉันเหรอ การบลิงก์? มันมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะใช่ไหมล่ะ”
“เปล่า นั่นมันข้อแก้ตัว เธอก็ทำความรู้จักกับสถานที่ไปแหละ ถ้ามีงานมา ฉันรู้ว่าจะหาเธอได้ที่ไหน”
เขาโบกมือให้แล้วเดินจากไป
ฉันจะเรียนอะไรได้ในเมื่อเขาเอาแต่บ่ายเบี่ยง ฉันควรหาใครสักคนที่ยินดีสอนฉัน ที่นี่ไม่ได้มียมทูตคนเดียวสักหน่อย ทุกคนก็เป็นยมทูตทั้งนั้น มันต้องมีสักคนสิที่ฉันจะคุยด้วยได้
ฉันออกเดินอีกครั้งโดยไม่รู้เส้นทาง ฉันพยายามนึกภาพแผนที่ที่ดูมาก่อนหน้า แต่ตอนนั้นตัวเองเอาแต่สนใจรถไฟเหาะตีลังกาเลยไม่ได้มองที่อื่นเลย
ฉันเห็นคฤหาสน์น่าขนลุกอยู่ข้างหน้า ทางเข้าตกแต่งด้วยฟันและเขี้ยวจนดูเหมือนเป็นปากกว้าง ๆ ของแดร็กคูล่า ภายนอกทาสีเทา มีเส้นสีขาวทำเป็นรอยแตก จากหน้าต่างสามารถเห็นแสงไฟสีแดง –ม่วงอยู่ภายใน
บ้านผีสิงเหรอ?
ทำไมยมทูตต้องอยากไปบ้านผีสิงด้วย ตามหลักแล้วพวกเขาก็เป็นผีไม่ใช่เหรอ
“คุณผู้หญิง อยากเห็นเพื่อนผมไหม” ผู้ชายที่หน้าทางเข้าเดินตรงเข้ามาหา ฉันทราบดีว่าไม่ควรสบตา แต่ก็สายเกินไป
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
ไม่ว่า เพื่อน ของเขาคือใคร ถ้ามันเกี่ยวข้องกับการเข้าไปในบ้านผีสิง ไม่ค่ะ ขอบคุณ คือคำตอบเดียว
เขายังตามตื้อให้ไปเจอเพื่อนของเขา ส่วนฉันก็เอาแต่ปฏิเสธลูกเดียว กระทั่งเท้าของฉันรู้ตัวว่าต้องรีบเดินต่อให้ไกลจากชายคนนั้นกับบ้านหลอน ๆ ของเขา
สุดทางเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มีเรือถีบสีฟ้าหลายลำจอดเทียบท่า ตรงนี้ห่างไกลจากพวกแสงไฟ LEDทำให้เห็นว่าสีของท้องฟ้าแตกต่างจากที่เคยเห็น มันเป็นสีที่ผสมกันระหว่างสีแดง สีส้ม และสีน้ำเงินเข้ม เหมือนตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินทว่าที่นี่ไม่มีพระอาทิตย์ให้เห็น
“ฉันไม่เคยเห็นพี่มาก่อน” เด็กสาวในชุดลายดอกไม้พูดขึ้น เธอนั่งบนม้านั่ง หันหน้าเข้าทะเลสาบ
“ฉันมาใหม่ ฉันชื่อลิลิเบ...ลิลิธ ชื่อของฉันคือลิลิธ”
“ฉันแมนดี้”
เราจับมือกัน เธอให้ฉันนั่งลงข้าง ๆ แมนดี้ยังเด็ก อายุไม่น่าเกินสิบหก ผมของเธอเป็นสีบลอนด์ตรงยาว ตาโตสีฟ้าสวยงาม เธอเหมือนตุ๊กตาและยังเป็นเหมือนน้องสาวที่ฉันอยากมี น่าเศร้านักที่ฉันได้เจมี่ที่ห่างไกลจากคำว่าน่ารักลิบลับ
“เธออยู่ที่นี่มานานหรือยัง”
“หืม ไม่รู้สิ สองปีมั้ง ใครเขานับกันล่ะ”
จะเป็นอะไรไหมนะถ้าฉันขอให้เธอช่วยสอนการบลิงก์ ในเมื่อออกัสเหมือนไม่อยากสอน
“เธอรู้ใช่ไหมว่าเวลายมทูตเดินทาง พวกเขา...”
“พี่อยากบลิงก์เหรอ เดี๋ยวฉันสอนให้”
ฉันยอมรับเลยว่าเด็กคนนี้หัวไว เธอลุกขึ้นทันที พร้อมที่จะสาธิตให้ดู เธอยืนนิ่ง สายตามองตรง ฉันเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด ไม่อยากพลาดอะไรไป เพียงแค่เธอก้าวเท้าขวา ร่างของเธอก็หายไปและปรากฏตัวอีกทีที่สิบหลาข้างหน้า
“นี่เป็นการบลิงก์ระยะสั้น พี่ควรลองเท่านี้ก่อน”
ฉันลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปจุดเริ่มต้นของเธอ
“มันอยู่ที่สมาธิ” แมนดี้พูด “คิดภาพของสถานที่ที่พี่อยากไปในหัว แล้วก็บลิงก์เลย”
มันฟังเหมือนง่าย ดูเหมือนง่าย ฉันลองนึกภาพที่ ๆ แมนดี้ยืนอยู่ และจินตนาการว่าตัวเองจะไปยืนข้างเธอได้อย่างไร ฉันยกเท้าซ้าย เหมือนกำลังจะก้าวเดิน
“พี่ทำได้แล้ว!”
ฉันสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าบลิงก์มาแล้ว พอได้มองกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อ ความรู้สึกมันดีกว่าตอนเดินทางพร้อมออกัสลิบลับ
“ง่ายจัง”
“ใช่ค่ะ ใช่” เธอพยักหน้า “ยิ่งอยากเดินทางไกลมากเท่าไร มันก็จะยิ่งท้าทาย พี่อยากลองไหม”
“แน่นอน!”
“ฉันจะรอพี่ที่หน้าทางเข้า พี่รู้ใช่ไหมว่าป้ายแผนที่อยู่ไหน”
“รู้สิ”
แมนดี้หายตัวไป เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ฉันตาม ทางเข้าอยู่ตรงไหนสักแห่งทางด้านซ้าย ฉันจึงหันหน้าไปทางนั้น พยายามนึกถึงสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ป้ายไม้นั่น มันมีบูธอาหารหลากสีสันพร้อมป้ายที่เป็นรูปวาดของข้าวโพด ฮอตดอก เบอร์เกอร์ มีร้านไอศกรีมติดกับร้านขายอาหารแม็กซิกัน ส่วนด้านหลังมีม้าหมุน
ฉันได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงกรี๊ดในหัว ทันทีที่ฉันก้าวเท้าไปข้างหน้า ฉันก็มาถึงทางเข้า แมนดี้โบกมือให้พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง
“เก่งมากจ้ะ ลิลิธ” เธอพูดเหมือนครูสอนเด็กอนุบาล ทำเอาฉันอดยิ้มตอบไม่ได้
“ขอบใจนะ มันไม่อยากเหมือนอย่างที่คิดเลย”
“มันก็อาจจะยากในบางโอกาส พี่ต้องฝึกบ่อย ๆ”
“ลิลิธ มากับฉัน” ออกัสตรงดิ่งมาหาพวกเรา
“โอ้ ว่าไงกัส”
“แมนดี้” เขาพยักหน้าให้เธอก่อนหันมาทางฉัน “เธอเจอหนูน้อยแมนดี้ของเราแล้วสินะ”
“เฮ้!” แมนดี้ไม่พอใจกับคำว่า หนูน้อย เท่าไร
“ฉันต้องยืมตัวลิลิธไปก่อน หนูไปเล่นกับเพื่อน ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวพี่เขากลับมา”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะ!” แมนดี้กระทืบเท้าหนึ่งทีก่อนจะหายตัวไปที่หน้าร้านขายไอศกรีม
“เธอโกรธคุณนะ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” แมนดี้ทำให้ฉันนึกถึงเจมี่ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ฉันยังทำเหมือนเขาเป็นเด็กตัวน้อย ๆ
“เธอไม่เป็นไรหรอก” ออกัสยื่นมือมาเพื่อเตรียมบลิงก์
“ฉันบลิงก์เป็นแล้วนะ” ฉันแทบรออวดเขาไม่ไหว
“เหรอ แล้วรู้ไหมว่าเราจะไปไหน เอาล่ะ มือ”
ฉันพยายามรักษาสีหน้า และไม่บ่นที่ยังเป็นได้แค่ผู้ติดตาม
“ก็ได้”
เรามาถึงตึกโกเมอร์ตอนสว่าง แสดงว่ามันเป็นวันถัดจากคืนที่ฉันตาย ที่นี่ดูวุ่นวายไม่เปลี่ยน ฉันอดไม่ได้ที่จะสอดส่องมองหาคนคุ้นหน้าคุ้นตา พวกเขาจะรู้ไหมนะว่าเด็กใหม่จะไม่ได้กลับมาทำงานแล้ว ผู้จัดการต้องโมโหน่าดูที่ฉันขาดงาน
ออกัสเดินเข้าไปในอาคาร ผ่านแผงกั้นระบบรักษาความปลอดภัยสู่หนึ่งในลิฟต์ที่ด้านหลัง
“เราจะไปไหนกัน”
“ชั้น 26”
นั่นไม่ใช่ชั้นของฉันหรือเพื่อนร่วมงานคนไหน ๆ อย่างไรก็ตาม การมียมทูตสองคนที่นี่ ย่อมหมายถึงมีคนถึงฆาต เราตามพวกมนุษย์เข้าไปในลิฟต์ กลมกลืนไปกับพวกเขา ถึงอย่างนั้นก็มีคำถามสำคัญอยู่ ว่าเราจะกดปุ่มอย่างไรในเมื่อไม่มีใครไปชั้น 26
“เราไม่บลิงก์เหรอ” ฉันกระซิบแม้จะไม่มีใครเห็นหรือได้ยินพวกเราก็ตาม
“นึกว่าเธอจะอยากเห็นที่ทำงานเสียอีก”
ช่างคิดดีจัง
ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้น 20 หลินเดินเข้ามาด้านใน ฉันอยากทักทายแต่เธอไม่เห็นฉัน ลุคธรรมชาติของเธอช่างเหมาะเจาะกับเดรสแขนกุดสีนาวีเหลือเกิน
“แกรี่” เธอเรียกผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้ามาในลิฟต์
แกรี่ดูดีมากในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาเข้มกับกางเกงขายาวเข้ารูปสีเบจ เขาสะพายเป้กับถือแล็บท็อปในมือ
“ไงหลิน ไปไหนเหรอ”
“เดินเอกสารให้มิเชลน่ะ” เธอจับไฟล์ในมือ “ว่าแต่นายรู้ไหมว่าลิลี่อยู่ไหน ฟีบี้บอกว่าเธอยังไม่มาเลย แถมไม่รับโทรศัพท์ด้วย
“ไม่หนิ ฉันจะรู้ได้ไง”
“ก็เมื่อวานเห็นอยู่กับเธอ”
“ฉันส่งเขาถึงศาลากลาง เขาไม่ยอมให้ฉันไม่ส่งถึงบ้าน” แกรี่แก้
“อ้าวเหรอ แล้วเธอไปไหนนะ นายว่าเธอลาออกหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง”
ออกัสสะกิดฉันเมื่อประตูเปิดที่ชั้น 25 ฉันหันไปมองสองคนนั้นอีกครั้ง สายตาของแกรี่ประสานกับของฉัน ทั้งที่รู้ว่าเขามองไม่เห็น แต่เราก็จ้องตากันกระทั่งประตูลิฟต์ปิดคั่นกลางระหว่างเรา
“เป็นไรไหม”
“ค่ะ...ค่ะ ฉันสบายดี”
ระหว่างที่เดินขึ้นชั้น 26 ด้วยบันไดหนีไฟ ฉันเอาแต่คิดถึงแกรี่กับครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ฉันน่าจะให้เขาเดินไปส่งฉันถึงบ้าน คนชั่วนั่นคงไม่กล้าเข้ามาทำร้ายฉัน ฉันคงยังมีชีวิตอยู่ ฉัน...
“นั่นเป้าหมายเรา” ออกัสชี้ไปยังผู้หญิงในห้องทำงาน หน้าประตูติดป้ายแสดงชื่อและตำแหน่ง
“เธอตายยังไงเหรอ”
“หัวใจวาย”
ห้านาทีต่อมา มันก็เกิดขึ้น เจนนิเฟอร์ลุกขึ้นยืน และจู่ ๆ เธอก็ล้มลง เพียงเท่านั้นเธอก็เสียชีวิต วิญญาณของเธอปรากฏขึ้นข้าง ๆ ออกัส
“แค่นี้เองเหรอ” เธอพูด ขณะเฝ้าดูกลุ่มคนรายล้อมร่างของเธอไว้ หนึ่งในนั้นกำลังทำ CPR แต่ก็สายเกินไป
“คุณไม่โกรธเหรอ” ออกัสถาม
“ไม่หรอก ทำไมล่ะ พ่อแม่ฉันเสียไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว ฉันอยู่คนเดียวแถมยังโสด ฉันแต่งงานกับกองงาน ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว ทำไมฉันต้องโกรธด้วย
ถึงเจนนิเฟอร์จะพูดแบบนั้น สีหน้าของเธอก็ดูเศร้าสร้อยแม้จะสงบ เธอยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตามออกัสไปแต่โดยดี
“นั่นเป็นงานที่ง่ายมาก” ออกัสบอกแบบนั้นตอนเราเดินทางกลับเจอริโก้ เขาเล่าว่าคนส่วนมากจะไปยอมตามเขาไป ขอร้องที่จะอยู่ต่อ สาปแช่งเขาเพราะคิดว่ามันไม่แฟร์
ฟังดูคุ้น ๆ ไหม
ฉันว่ามันคงเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ
“คนแก่กับคนนอนในโรงพยาบาลมาหลายปีมักยอมรับการตายโดยง่าย คนวัยเธอมักจะขัดขืน”
“ก็แหงสิ ชีวิตคนเราเริ่มต้นช่วงวัยแบบฉันนี่แหละ”
เรามาถึงทะเลสาบที่แมนดี้ยังคงนั่งที่ม้านั่งตัวเดิมเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก
“แล้วเด็ก ๆ ล่ะ พวกเขาเป็นยังไง” ฉันถามด้วยความใคร่รู้
“เด็ก ๆ ชอบฉันพวกเขาเลยตามฉันมาอย่างง่ายดาย” บางครั้งออกัสผู้ภาคภูมิใจในตัวเองก็น่ารำคาญได้
เขาปล่อยฉันไว้กับแมนดี้ คราวนี้ฉันไม่บ่นอะไร เพราะฉันชอบแมนดี้ และเธอคงเล่าอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับยมทูตให้ฉันฟังได้
เรานั่งอยู่ตรงนั้น ดื่มด่ำกับทะเลสาบพลางส่งเสียงพูดคุย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in