เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lilith: Death's OrderAki_Kaze
บทที่ 19 ตามล่า
  • บทที่ 19

    ตามล่า

     

     

                ฉันใช้เวลายี่สิบนาทีในการเฝ้าสำรวจไซม่อน ชเวในที่ทำงานของเขา ใครจะไปคาดคิดว่าผู้ชายวัยสามสิบเจ็ด รูปร่างกำยำ แข็งแรงแบบนี้ จะหัวใจวายในอีกเจ็ดชั่วโมงข้างหน้า เขาดูเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมงาน เป็นคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเอง ดูไม่เป็นผิดเป็นภัยกับใคร ทำไมเขาถึงได้อายุสั้นนะ


                นาน ๆ ที ฉันจะออกความเห็นแบบนี้กับเป้าหมาย แต่การเฝ้าติดตามอีกฝ่ายไม่ใช่ประเด็นหลักของตอนนี้ ที่ฉันมาโลกคนเป็นเพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคดีนักแกะสลักบ้าง ตำรวจหาเขาเจอไหม เขาโดนจับแล้วหรือยัง และฉันคงไม่มีวันรู้ถ้ายังอยู่ในออฟฟิศนี้


                ฉันบลิงก์มาที่ห้องพักของฉัน หรือก็คือที่พักปัจจุบันของเจมี่ ภายในห้องไม่ได้เปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่ได้เห็น แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวไม่อยู่ในห้อง แถมที่นี่ก็ไม่มีโทรทัศน์เสียด้วย ฉันเริ่มเดินหาคอมพิวเตอร์พกพาเผื่อจะใช้ค้นหาข้อมูลได้ ทั้งที่ห้องนี้ก็เล็กสำหรับคนหนึ่งคน เจมี่ยังทำให้มันรกจนคับแคบได้อีก ที่นอนก็ไม่ยอมปูผ้าให้เรียบร้อย ปล่อยผ้าห่มกองยับย่นอยู่ปลายเตียง ชั้นเล็กข้างเตียงก็เต็มไปด้วยกองหนังสืออาชญาวิทยา กระบวนการยุติธรรมทางอาญา คู่มือการจัดประเภทอาชญากรรม ส่วนบนโต๊ะหนังสือมีเอกสารสมัครเรียนปริญญาคู่ตรีและโทหลักสูตรห้าปี สาขาความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกระบวนการยุติธรรม และอีกชุดเป็นใบสมัครวิทยาลัยที่เน้นด้านกระบวนการยุติธรรม สาขาอาชญาวิทยา


                ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจมี่จะสนใจเรียนด้านนี้ หรืออยากทำงานด้านนี้ ฉันไม่เคยคิดภาพเขาเป็นผู้รักษากฎหมายมาก่อน ที่ผ่านมา ฉันเข้าใจผิดคิดว่าเขาแค่หมกมุ่นกับคดีของฉัน แต่เขาไม่ได้แค่อยากหาความยุติธรรมให้กับฉัน เขามุ่งมั่นที่จะเดินทางนี้


                สายตาของฉันไล่ไปทางบอร์ดสืบสวนของเขา และต้องชะงักกับภาพสเก็ตของคนร้าย เทคโนโลยีช่างเป็นเรื่องน่าทึ่งที่สามารถทำให้ความทรงจำของคน ๆ หนึ่งออกมาสู่หน้ากระดาษได้ถึงเพียงนี้ แต่การที่บอร์ดนี้ยังอยู่ในห้องของเจมี่ก็บ่งบอกได้ว่าเขายังลอยนวลอยู่


                ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรู้จักเขา แต่ฉันเองก็เคยดูรายการทางโทรทัศน์มาก่อน และพบว่าหลายครั้ง คนแจ้งผ่านสายด่วนก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาตามหา หรือจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เสมอไป ตำรวจและอาสาสมัครคงต้องทำงานอย่างหนัก


                น่าเสียดายที่เจมี่ไม่อยู่ในห้อง ฉันอยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ล่าสุดที่เห็น เขาคุยกับสายสืบคาร์ฮาร์ตด้วยเรื่องคดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และยังสืบในแบบของตัวเองต่อไป


                เสียงเปิดประตูเรียกความสนใจจากฉัน เจมี่เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมถาดพิซซ่าจากร้านตรงหัวมุม เขาวางมันลงบนโต๊ะอาหาร เป็นโต๊ะชุดเดียวกันกับที่ฉันสั่งไว้ เก้าอี้สี่ตัวนั่นสร้างความเจ็บปวดให้อย่างไม่น่าเชื่อ กลิ่นหอมของชีส แฮม และ อา...สับปะรด โชยเตะจมูก ฉันแอบขยับเก้าอี้เพื่อนั่งตอนที่เจมี่เดินไปเปิดตู้เย็น เขาชะงักเล็กน้อยตอนหันกลับมา หัวคิ้วขมวดมุ่นนั่นเห็นแล้วก็รู้สึกน่าเอ็นดู เขาวางกระบอกน้ำลงบนโต๊ะแล้วกินพิซซ่าเป็นมื้อเย็น นานแล้วที่เราไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกัน ทำไมเราชอบทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระนะ


                แม่ เจมี่ขโมยสเต็ก


                แม่ ลิลี่เขี่ยบรอคโคลีทิ้ง


                แม่ เจมี่เตะบอลไปโดนสวนแม่พัง


                แม่ ลิลี่เข้าห้องน้ำนานอีกแล้ว


                แม่ เจมี่เอาหนังสือหนูไปอ่านแล้วไม่ยอมคืน


                แม่ ลิลี่ซื้อหนังสือมาดองอีกแล้ว


                ให้ตายเถอะ แม่คงรำคาญพวกเราสองคนน่าดู


                จู่ ๆ เจมี่ก็ยิ้มออกมาหลังนั่งมองพิซซ่าหน้าฮาวาเอียน นี่เขากำลังคิดเรื่องเดียวกันกับฉันหรือเปล่านะ


                “ฮาวาเอียนไม่ใส่สับปะรด


                เราพูดออกมาพร้อมกัน เมื่อก่อนฉันกับเจมี่ชอบไปกินพิซซ่าด้วยกัน เขาชอบฮาวาเอียนมาก แต่ฉันไม่ชอบ ขอโทษที่ฉันต้องพูดแบบนี้แต่สับปะรดไม่ควรมาอยู่บนพิซซ่าสิ ทว่าเราสามารถสั่งได้ถาดเดียว สุดท้ายฉันเลยยอมให้เขาสั่งหน้าฮาวาเอียนโดยที่เขาก็จะเอาสับปะรดออกให้


    ฉันอมยิ้ม ส่วนเจมี่ก็ส่ายหน้าแล้วหยิบสับปะรดกิน จนพิซซ่าหนึ่งชิ้นไร้ผลไม้สีเหลืองอีกต่อไป เขาลุกจากที่นั่งไปหยิบแก้วเปล่ามารินน้ำ แล้วก็วางลงตรงหน้าของฉัน ณ ตอนนั้นฉันนึกได้ว่าเราสองคนนั่งที่ประจำของตัวเองเวลากินข้าวกับที่บ้าน 


                “ของพี่หนึ่งชิ้น ที่เหลือของผม แบ่งแบบแฟร์ ๆ ไง” เขาพูดไปยิ้มไปเหมือนตอนที่เรากินพิซซ่าด้วยกันไม่มีผิด แต่สายตาของเขาในตอนนี้กลับเศร้าสร้อย


                ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว แต่ฉันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ทำไมฉันได้แต่เฝ้ามองน้องชายตัวเองโดยไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาได้อีก


                ความสามารถในการกินพิซซ่าเกือบทั้งถาดของเจมี่สร้างความประหลาดใจให้ฉันได้เสมอ เขาเหลือไว้สองชิ้นเท่ากับจำนวนที่ฉันกินเป็นปกติ


                “พี่ทำให้ผมอิ่มด้วยพิซซ่าสี่ชิ้นไปแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนผมยังกินอย่างอื่นได้อีกเพื่อทดแทนสองชิ้นของพี่ได้อยู่เลย”


                เจมี่เก็บพิซซ่าสองชิ้นใส่กล่องพลาสติกแล้วแช่ตู้เย็น น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถนั่งกินกับเขาได้จริง ๆ แต่การนั่งตรงหน้าเขาแบบนี้ได้ก็นับเป็นเรื่องพิเศษแล้ว


    ตอนที่เขาเดินไปนั่งอ่านหนังสือบนเตียง ฉันก็บอกลาเขาแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปหาสายสืบคาร์ฮาร์ตแทน ฉันยังต้องตามความคืบหน้าของคดีต่อ


    ฉันบลิงก์มาที่สถานที่ตำรวจ ไม่ลืมที่จะเช็คเวลาจากนาฬิกาฝาผนังหลังเคาน์เตอร์ ให้มั่นใจว่าตัวเองจะกลับไปรับวิญญาณของไซม่อนทัน


    นับเป็นครั้งที่สองที่ฉันได้เข้ามาในสถานีตำรวจ ไม่น่าเชื่อว่าพอตายแล้วจะได้ทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำตอนมีชีวิตอยู่ ฉันมองหาสายสืบคาร์ฮาร์ตตามโต๊ะและห้องต่าง ๆ ก่อนจะไปเจอโซนสายด่วนที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นเพื่อการสืบสวนนี้ การที่ส่วนนี้อยู่แสดงว่าคนร้ายยังลอยนวล ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจะมีอาสาสมัครคอยรับสายอย่างรวดเร็ว พวกเขาจดอะไรก็ตามที่ปลายสายเล่ามา ทว่าพอวางสายก็ต้องส่ายหน้า มันไม่ได้มีแค่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เสมอไป ขนาดฉันยืนอยู่ไม่ถึงยี่สิบนาที ได้ยินเสียงโทรศัพท์สายแล้วสายเล่าที่ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ตำรวจต้องการ ฉันยังท้อ แล้วคนที่คอยรับสายทุกวันไม่ยิ่งท้อกว่าเหรอ


    ไม่มีใครเคยเห็นเขาจริง ๆ เหรอ


    “ที่ไหนนะคะ 12 อเวนิว...”


    ประโยคนั้นจากหนึ่งในอาสาสมัครที่คุยโทรศัพท์อยู่ เรียกความสนใจจากฉัน ฉันจำถนนสายนั้นได้แม่นเพราะบ้านของเจสซิก้าก็อยู่แถวนั้น และฉันยังไม่มีโอกาสได้กลับไป การที่มีชื่อถนนนั้นโผล่มาจากใครก็ตามที่โทรศัพท์เข้ามาหา เพิ่มความมั่นใจให้กับฉันอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าหากเป็นบ้านหลังเดียวกัน ถ้าหากที่นั่นมีคนร้ายอยู่


    “สายสืบคะ มีคนโทรแจ้งว่าเป็นเพื่อนบ้านของผู้ต้องสงสัย ทางนั้นไม่มั่นใจเลยไม่ได้โทรมาก่อนหน้า แต่เขาบอกว่าผู้ต้องสงสัยเพิ่งขนของขึ้นรถและขับออกจากบ้านไป”


    หลังจากที่เธอบอกบ้านเลขที่ให้กับสายสืบทราบ มันก็ยิ่งชัดเจนว่าเป็นบ้านหลังเดียวกัน ฉันไม่ได้รอเจอสายสืบคาร์ฮาร์ต ฉันรีบบลิงก์ไปยังบ้านหลังนั้นทันที


    ทาวน์เฮ้าส์สองชั้นสีขาว – ฟ้า ปรากฏอยู่ตรงหน้า หน้าต่างทุกบานปิดสนิท ข้างในไร้ซึ่งแสงไฟ หากบ้านหลังนี้คือบ้านของคนร้าย ตำรวจก็คงคลาดกับเขาไปแล้ว


    ฉันรีบเข้าไปในบ้านอันเงียบสนิท เข้าห้องนั่งเล่น ทะลุห้องครัว วิ่งขึ้นไปยังชั้นสอง เฟอร์นิเจอร์และข้าวของหลายอย่างยังอยู่ในบ้าน แต่เสื้อผ้าส่วนมากไม่อยู่แล้ว ของใช้ในห้องน้ำก็หายเกลี้ยง พวกเขาไม่อยู่ที่นี่แล้วจริง ๆ


    เสียงไซเรนของตำรวจดังแว่วมา สายสืบคาร์ฮาร์ตกำลังจะมาถึง แต่พวกเขาช้าเกินไป ฉันหวังว่าที่นี่จะมีอะไรหลงเหลือเป็นหลักฐานให้ตามหาตัวเขาได้


    “ห้องใต้บันได”


    ฉันรีบลงไปด้านล่าง ได้ยินเสียงพูดคุยของเพื่อนบ้านกับสายสืบคาร์ฮาร์ต เธอจดทะเบียนรถยนต์คันนั้นไว้ ทั้งยังบอกรุ่นและสีให้ตำรวจทราบ พวกเขาเลยรีบแจ้งให้สกัดรถคันนั้นเพื่อตรวจสอบ ตำรวจเปิดประตูเข้ามาในบ้าน คนร้ายต้องรีบร้อนขนาดไหนถึงขั้นไม่ได้ล็อกประตู


    “แล้วผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบ้านล่ะ” คาร์ฮาร์ตถามเพื่อนบ้านคนนั้น


    “ฉันเห็นแค่ตอนที่เขาขึ้นรถแล้วขับออกไป เลยไม่ได้สังเกตว่าแฟนเขาอยู่ไหน”


    ฉันรู้สึกไม่ดีกับคำตอบของเพื่อนบ้านคนนี้เสียเลย ถ้าเขาฆ่าเธอทิ้งแล้วหนีไปล่ะ


    “ไม่ เราจะคิดในแง่ร้ายไม่ได้” ฉันบอกตัวเอง แล้วเดินไปยังห้องใต้บันได


    ขณะที่ตำรวจตรวจสอบส่วนต่าง ๆ ในบ้าน คาร์ฮาร์ตก็ให้ความสนใจกับห้องใต้บันได้เช่นกัน อาจเพราะมันล็อกอยู่ก็เป็นได้ ฉันไม่ได้รอให้เขาหาทางเปิดประตูแล้วเดินทะลุบานไม้ไปด้านใน ด้านล่างมืดสนิท ฉันไม่กล้าเปิดไฟเพราะกลัวจะทำให้คาร์ฮาร์ตสงสัย เขาควรเห็นทุกอย่างในบ้านในสภาพเดิมให้มากที่สุด


    แสงไฟสว่างขึ้นทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก สายสืบคาร์ฮาร์ตเดินทะลุตัวของฉันลงไปด้านล่าง เขาลูบท้ายทอยแล้วหันกลับมาทางฉันครู่หนึ่ง หัวคิ้วของเขาพุ่งเข้าหากัน ก่อนจะส่ายศีรษะแล้วเดินต่อ


    ด้านล่างไม่ได้มีอะไรแปลกหูแปลกตา มีตู้เย็นขนาดเล็ก มีโซฟากับโทรทัศน์รุ่นเก่า คาร์ฮาร์ตเดินสำรวจห้องอย่างถี่ถ้วน สายตาของเขาสะดุดเข้ากับรอยลากที่พื้นใกล้กับชั้นวางของ เขาไม่รอช้า รีบเลื่อนชั้นวางทันทีและพบกับประตูลับ หากหัวใจของฉันยังเต้นอยู่ ตอนนี้มันคงเต้นระรัวเหมือนกลองในช่วงโซโล่ สายสืบเองก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน เขาเปิดประตูลับเข้าไปและพบกับโต๊ะทำงานโล่ง ๆ เขาสำรวจด้วยความกระตือรือร้น สอดส่องทุกซอกทุกมุม เขาเปิดลิ้นชักและพบกับความว่างเปล่า มันยากที่จะบอกได้ว่าเคยมีอะไรอยู่ในนี้หรือไม่


    สีหน้าของสายสืบแสดงความผิดหวังออกมา กระนั้นสายตาของเขาก็บอกถึงความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเจ้าของบ้าน เขาเดินวนรอบห้องก่อนจะกลับขึ้นไปด้านบน ฉันยืนมองห้องใต้ดินนี้ด้วยความผิดหวังไม่แพ้คาร์ฮาร์ต ฆาตกรรอบคอบขนาดนั้น คงไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ง่าย ๆ 


    เมื่อฉันกลับขึ้นมาด้านบน ก็ได้ยินเสียงคุยกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าดักจับรถผู้ต้องสงสัยได้ ความหวังกลับมาอีกครั้งและฉันบลิงก์ไปยังสถานที่ดังกล่าวทันที มันเป็นถนนเส้นที่ฉันเคยไป แม้ตำแหน่งการบลิงก์จะคลาดเคลื่อนเล็กน้อย แต่ยามที่ฉันวิ่งไปถึง พวกเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น ตำรวจยืนออกคำสั่งให้คนในรถลงจากรถผ่านทางกระจก


    ตอนที่ประตูรถเปิดออก ฉันรู้สึกได้ถึงความกังวล ตื่นเต้น หวาดกลัว ฉันรอคอยเวลานี้มานาน ช่วงเวลาที่เขาถูกควบคุมตัว คนขับคือผู้ชายคนนั้นจริง ๆ คนชั่วที่ทำลายชีวิตของฉัน สีหน้าของเขากระวนกระวาย แต่มันไม่ใช่ความกระวนกระวายเยี่ยงคนทำผิด มันเหมือนคนโมโหที่โดนตำรวจเรียกแบบไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงสีหน้าไม่พอใจ แต่เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ที่เขามั่นใจอาจเพราะตำรวจไม่มีหลักฐาน...ไม่มีอะไรโยงเขาเข้าคดีอื่นได้ เขาอาจถูกจับข้อหาทำร้ายร่างกายไอลีน แต่ไม่ใช่การเป็นนักแกะสลัก... ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ฉันคงโมโหมากแน่ หลักฐานจะต้องอยู่ในรถของเขา หรือที่ไหนสักแห่งใกล้เขา ฉันต้องหาทางช่วย ต้องหาทางบอกสายสืบคาร์ฮาร์ต ว่าชายคนนั้นคือคนที่เขาตามหามาเป็นปี ๆ 


    ฉันโล่งอกที่เห็นเจสซิก้าลงจากรถ อย่างน้อยเธอก็ปลอดภัย แต่เธอจะรู้หรือเปล่าว่าตัวเองอาศัยอยู่กับฆาตกร รถที่พวกเขาขับคือคันที่บรรทุกร่างของฉัน มันจะมีอะไรหลงเหลือให้ตำรวจสืบได้ไหม หรือเขาทำลายหลักฐานทุกอย่างไปหมดแล้ว


    ตำรวจอ่านสิทธิ์ให้เขาฟังแล้วควบคุมตัวเขาขึ้นรถ ขณะที่เจสซิก้าได้แต่ถามซ้ำ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าตัวเองจะโล่งอกตอนที่เห็นเขาก้าวขึ้นรถตำรวจ ทว่ามันไม่ได้มีความสบายใจเกิดขึ้นเลย ฉันยิ่งกังวล ยิ่งว้าวุ่น ฉันไม่อยากคลาดเหตุการณ์เหล่านี้ไป ฉันต้องตามเขาไปถึงสถานี มองเขาเดินเข้าคุก เห็นเขาได้รับโทษถึงจะช่วยให้สบายใจขึ้นได้


    ตอนที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าไปข้างหน้า ก็มีฝ่ามือหนึ่งรั้งไว้จากด้านหลัง พอหันกลับไปก็พบออกัสยืนมองด้วยสายตาขุ่นเคือง


    “ทำอะไรของเธอ”


    “พวกเขาเจอฆาตกรแล้ว” ฉันบอก แต่แทนที่จะได้เห็นความยินดีบนใบหน้าของเขา ฉันกลับเห็นความโกรธแทน


    “รู้ไหมว่าตอนนี้กี่โมง”


    ฉันไม่มีนาฬิกาติดตัวและท้องฟ้าก็ยากที่จะบอกเวลาได้ ล่าสุดที่ฉันดูฉันยังเหลือเวลาไม่ใช่เหรอ...หรือว่า...


    “ไซม่อน...”


    “ใช่ เขาผ่านประตูไปแล้ว ฉันพาเขาไปเอง” ออกัสพูด “เธอโชคดีแค่ไหนที่ฉันอยู่แถวนั้น เวลานั้นพอดี ถ้าไม่มียมทูตตนไหนไปรับเขาแล้วปล่อยวิญญาณของเขาร่อนเร่ เธอจะยิ่งเดือดร้อนมากกว่านี้ แค่นี้เธอก็เดือดร้อนแล้ว”


    บทลงโทษของยมทูต ถ้าฉันจำไม่ผิดโทษของการไปรับดวงวิญญาณไม่ทันคือห้ามเข้าเจอริโก้ เรื่องแค่นั้นฉันรับได้


    “ฉันขอโทษ ต่อไปนี้ฉันจะระวัง มันเป็นเพราะพวกเขาเจอฆาตกร ฉันก็เลย...”


    ออกัสทำมือบอกให้ฉันหุบปาก


    “ที่ฉันยอมให้เธอไปไหนมาไหนเองได้เพราะฉันคิดว่าเธอจะไม่ทำอะไรแบบนี้ ลิลิเบธ แมรี่ แลงดอน เธอตายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากไหนไม่ใช่กงการอะไรของเธอ”


    “แต่มันเกี่ยวข้องกับฉัน” ฉันแย้ง “ถ้าฉันมีโอกาสได้เห็นฆาตกรถูกจับ ฆาตกรได้รับการลงโทษ ฉันก็มีสิทธิ์อยู่ที่นั่น”


    “โอกาส ตรงนั่นแหละ ที่เธอคิดผิด เธอไม่มีโอกาส เดธอนุญาตให้เธอเป็นยมทูตเพื่อรับดวงวิญญาณเขา ไม่ใช่ตามสืบเรื่องของเขา เราไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนเองที่นี่ พวกนั้นก็แค่ผ่อนผันกับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบอะไร และมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำผิด พวกนั้นจะพาเธอไปที่ความว่างเปล่า”


    “แต่...”


    “ฉันจะรับผิดแทนในฐานะที่ฉันควรดูแลเธอให้เข้มงวดกว่านี้”


    นึกไม่ถึงว่าฉันจะได้ยินคำนี้จากปากของออกัส 


    “คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ความผิดของฉัน ฉันรับผิดชอบเองได้” 


    ฉันจะไม่ยอมให้เขารับโทษแทนฉันเป็นครั้งที่สองหรอกนะ


    “เธอจะอยู่ในความว่างเปล่าไม่ได้ ลิลิธ”


    “ฉันไม่กลัวความมืด”


    “ความมืดไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องกลัว” ออกัสบอก สีหน้าของเขาจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ “เธอจะไม่ได้อยู่เฉย ๆ ในความว่างเปล่า พวกนั้นจะทำให้เธอทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนตาย ทุกความคิด ทุกความรู้สึก ทุกการกระทำ ซ้ำไปซ้ำมากระทั่งพ้นโทษ เธอรู้ว่าพวกเราตายยังไง นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องเจอ แต่การตายของเธอแตกต่างออกไป”


    เพียงแค่คิดว่าฉันต้องเผชิญกับฆาตกรอีกครั้ง ร่างกายก็สั่นขึ้นมาเอง ฉันกำมือแน่น พยายามไม่แสดงออก


    “ฉันให้คุณรับโทษแทนไม่ได้”


    “ฉันรับโทษมาบ่อยครั้งพอที่จะไม่เห็นอะไรแบบนั้นแล้ว ความว่างเปล่าทำอะไรฉันไม่ได้อีกต่อไป”


    นี่เป็นครั้งแรกที่ออกัสจับมือฉันนานขนาดนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เราจับมือกันจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อการบลิงก์ ฉันไม่เคยได้รับความห่วงใยจากเขามาก่อน สัมผัสของเขาคล้ายบอกกับฉันว่าเขาอยู่ตรงนี้ เขาจะไม่ไปไหน


    ความว่างเปล่ามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ...ไม่สิ การตายของฉันต่างหากที่เขากังวล ออกัสรับรู้และได้เห็นการตายของฉัน เขาอาจเฝ้าดูฉันมานานก่อนที่วันนั้นจะเกิดขึ้นก็เป็นได้


    โดยที่ไม่รู้ตัว ฉันได้บีบมือของออกัสแน่นขึ้น


    “ฉันจะพาเธอไปเจอริโก้ แล้วจะบอกเจดว่าฉันจะรับโทษเอง เขาคุยง่ายสุดแล้วในบรรดาผู้คุม พวกนั้นแค่ต้องการให้มีคนรับผิดชอบ”


    ออกัสไม่ได้รอคำตอบ เขาพาฉันบลิงก์ไปทันที

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in