เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lilith: Death's OrderAki_Kaze
บทที่ 18 ยมทูตกับความรักและการจากลา
  • บทที่ 18

    ยมทูตกับความรักและการจากลา


     

                ฉันไม่มีโอกาสกลับไปที่นั่นอีกเลย ให้ตายเถอะ พอฉันรู้สึกว่าได้เข้าใกล้ฆาตกร มันก็มีบางอย่างทำให้พลาดอีก อีกอย่างคือฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากตำรวจแพร่ภาพสเก็ตของคนร้าย จะมีคนจำหน้าเขาได้ไหม แล้วถ้าเขาเห็นภาพตัวเองจะทำให้หลบหนีหรือเปล่า


                ฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร เขาอาจหลบหนีออกจากนิวยอร์กไปก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นโอกาสที่ตำรวจจะเจอเขาก็ยากขึ้นไปอีก


                “มานั่งหน้าเครียดอะไรตรงนี้” ออกัสสะกิดบ่าแล้วนั่งลงข้าง ๆ แต่แทนที่จะนั่งบนม้านั่งดี ๆ เขากลับนั่งตรงพนักพิง ทำให้ฉันต้องแหงนหน้าคุย


                “เปล่านี่”


                “โกหกไม่เก่งเลยนะ” เขาพูด “ฉันเพิ่งกลับมาจากโลกคนเป็น รู้ไหมว่าฉันเห็นอะไร”


                รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของออกัสไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ แค่เห็นฉันก็รู้สึกหมั่นไส้แล้ว แต่คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจจากฉันมาก เขาอาจได้ข่าวคราวของฆาตกรก็เป็นได้


                “เห็นอะไรเหรอ” ฉันพยายามทำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด


                เขาฉีกยิ้ม


                “ฉันเจอแกรี่ พ่อหนุ่มนักรักของเธอไง” ปฏิกิริยาของฉันคงต่างจากที่ออกัสคิดไว้ เขาจึงได้ถามต่อ “อะไรกันไม่ดีใจเหรอ”


                “ฉันจะดีใจไปทำไม”


                ตั้งแต่ฉันเห็นแกรี่กับแฟน ฉันก็ตัดใจจากเขาแล้ว...ไม่สิ ตั้งแต่ที่ฉันตายต่างหาก


                “ต่อให้อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่แค่ได้เห็นหน้ากันก็ต้องถือเป็นเรื่องดี ๆ สิ”


                “คุณพูดจากประสบการณ์ตรงเหรอ”


                คราวนี้เขายักไหล่แทนการตอบ


                ฉันเคยได้ลองอ่านนิยายที่เขียนโดยนักเขียนโปรดของออกัส เพื่อหวังว่าจะเข้าใจเขาได้มากขึ้น หนังสือชุดนั้นเป็นเรื่องราวการผจญภัยของ พัลวอล หนุ่มคนหนึ่งที่ตระเวนไปยังโลกต่าง ๆ ต่อสู้กับเหล่าร้าย พบเจออุปสรรคมากมาย เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งมีชีวิตจากโลกเหล่านั้น จะพูดว่ามันเป็นหนังสือที่ทำให้หนีความจริงได้ก็ไม่ผิดนัก แต่ขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวของชีวิต การพบเจอ การพลัดพราก เรื่องน่าเศร้าคือ ถ้าพัลวอลกลับไปที่โลกของตัวเอง เขาจะตาย แต่ที่โลกนั้นมีคนรักของเขารออยู่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันพลาดหนังสือชุดนี้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันมีหนังสือออกมาแล้วสามเล่ม โดยเล่มที่ออกัสเห็นเมื่อคราวนั้นคือเล่มล่าสุด และเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มันก็มีหนึ่งเล่มมาอยู่ในสวนด้วย ถ้าให้ฉันเดาก็คงเป็นออกัสนี่แหละที่นำกลับมา 


                “ก่อนเป็นยมทูต คุณทำอะไรเหรอ”


                “ก่อนที่ฉันตายน่ะเหรอ”


                โธ่ ลิลิเบธ แค่คำว่าตาย ยังกลัวที่จะพูดอีกเหรอ


                “เอางี้ คุณเกิดปีอะไร”


                “ยังไม่เลิกอยากรู้เรื่องอายุอีก” เขาไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดเหมือนช่วงแรก ๆ ที่ฉันถามถึงเรื่องส่วนตัว “รู้แค่ว่าฉันแก่กว่าก็พอ”


                “งั้นจอร์จ วอชิงตันเป็นคนยังไงเหรอ” ฉันรีบหลบมือที่เตรียมฟาดลงมาบนศีรษะ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


                ออกัสทำหน้าเอือมระอาในแบบที่เห็นได้บ่อยครั้ง


                “แต่เราก็ดูอายุพอ ๆ กัน” พอเห็นฉันยังไม่เปลี่ยนเรื่อง ออกัสก็ทำท่าจะลุกหนี ฉันรีบคว้าหน้าขาให้เขานั่งเหมือนเดิม “เปลี่ยนเรื่องก็ได้ คุณมีแฟนใช่ไหม”


                ออกัสขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามที่ดูไม่เหมือนคำถามเท่าไร


                “อ้อ...นั่นสินะ” เขาลูบคาง “ฉันหน้าตาดีแบบนี้ ถ้าไม่มีแฟนก็คงเป็นเรื่องแปลก”


                คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายทำหน้าเอือมระอา


                “ทำไมเธอถึงชอบพูดถึงเรื่องในอดีต” ออกัสถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ทั้งที่มันแก้ไขหรือทำอะไรกับมันไม่ได้ พูดถึงแล้วจะได้อะไร”


                “ก็ถ้าเป็นอดีตที่น่าจดจำ มันก็ทำให้รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ”


                “ถ้างั้นเธอก็เป็นคนโชคดีแล้วล่ะ...โทษที”


                เขาเงียบไป อาจเพราะนึกถึงสาเหตุการตายของฉันก็เป็นได้


                “ถ้าโชคดีจริง ฉันคงมีแฟนไปแล้วล่ะ” ฉันไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมเท่าไรนัก เลยพยายามหาบทสนทนาที่มันเบาสมองมากกว่า “ไม่เคยมียมทูตคนไหน ตกหลุมรักมนุษย์เลยเหรอ”


                “เธอนี่ดูหนังมากไปแล้ว” ออกัสส่ายหน้า แต่อย่างน้อยบรรยากาศระหว่างเราสองคนก็กลับสู่ปกติ “ถ้าจะคุยเรื่องแบบนั้น แมนดี้น่าจะรู้เยอะกว่าฉัน”


                “พูดถึงแมนดี้ ดูเหมือนจะสนิทกับเด็กซ์ดีนะ มีคนรุ่นเดียวกันให้คุยก็เป็นเรื่องดี” 


                “สองคนนั้นดูจะชอบพอกันอยู่”


                “โอ้ ไม่นึกว่าคุณจะใส่ใจคนอื่นด้วย”


                ออกัสถึงกับเลิกคิ้ว


                “การที่ฉันไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ช่างสังเกตนะ” เขาพูด “แต่ชอบแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ใช่ว่าจะทำอะไรได้”


                ฉันรู้สึกได้ว่าบทสนทนาเริ่มเข้าสู่เรื่องที่ชวนให้อึดอัด ฉันไม่เคยมีเพื่อนที่เอาไว้พูดคุยเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาก่อน ส่วนหนึ่งเพราะไม่เคยชอบใครมาก่อน พอเริ่มมีคนที่ชอบตัวเองก็ดันตายก่อนซะงั้น ฟีบี้น่าจะกลายมาเป็นเพื่อนคู่ซี้ ค่อยให้คำปรึกษาเรื่องของแกรี่กับฉันได้เลย


                “เธอไม่ควรชวนคุยด้วยเรื่องที่ตัวเองไม่ถนัดนะ” ออกัสแหย่ ฉันตอบโต้อะไรไม่ได้ เลยเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง


                “คุณเคยเจอคนเขียนหนังสือชุดพัลวอลไหม”


                สีหน้าของเขาก็ดูไม่พอใจขึ้นมา เหมือนฉันพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป แต่สีหน้านั้นเกิดขึ้นแป๊บเดียวจนเหมือนกับตาฝาด


                “นั่นแมนดี้นี่” เขาลุกจากม้านั่งแล้วตรงไปหาอีกฝ่าย ดูก็รู้ว่าอยากเปลี่ยนเรื่อง ฉันเลยยอมตามน้ำ ลุกไปหาแมนดี้เช่นกัน


                แมนดี้ไม่ร่าเริงเหมือนทุกที เธอเหม่อลอย แถมไม่ได้ยินที่พวกเราเรียกกระทั่งออกัสเดินไปจับบ่า


                “อ้าว กัส ลิลิธ พวกพี่อยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไร”


                “เราเรียกตั้งนานแล้ว เธอเองต่างหากที่ไม่ได้ยิน”


                “งั้นเหรอ” เธอนิ่งไปอีกครั้ง


                “แล้วเด็กซ์ล่ะ” ออกัสเป็นฝ่ายถาม


                “เขาไปแล้ว” แมนดี้ตอบเสียงแผ่ว


                “ไปทำงานเหรอ” ฉันถาม แต่แมนดี้ส่ายหน้า


                “เขาไปแล้ว” เธอพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม ใบหน้าของเธอหันไปทางออกัส สายตาของพวกเขาเหมือนสื่อสารบางอย่างที่เข้าใจกันเอง


                “เสียใจด้วยนะ” ออกัสลูบหลังเธอเบา ๆ เหมือนพี่ชายปลอบน้องสาวในวันที่เธอผิดหวัง


                “ฉันขออยู่คนเดียวนะ ไว้เจอกัน” เธอโบกมือ แต่สีหน้าไม่ได้ยิ้มแย้มแบบทุกครั้งที่เราลากัน ฉันโบกมือตอบแม้ยังไม่เข้าใจ มองเธอเดินไปขึ้นเรือเป็ดที่ริมทะเลสาบ


                “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ฉันหันไปถามออกัส เมื่อเห็นเรือเป็ดของแมนดี้ล่องไกลออกไป


    บรรยากาศยามเย็น ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินที่เราเห็นทุกวันให้ความรู้สึกเหมือนกันไม่เปลี่ยน หากอารมณ์ดีเราจะพบว่ามันสวยงาม หากวันไหนหดหู่ มันก็ยิ่งเพิ่มความเศร้าสร้อย


                “เขาหมดวาระการเป็นยมทูตแล้วเดินผ่านประตูไม้ไปแล้ว”


                “หมดวาระ...หมายถึงสิ้นสุดสัญญาแล้วน่ะเหรอ แต่เขาเพิ่งมาเองนี่” ถ้าเทียบกับแมนดี้และออกัสแล้ว เด็กซ์เพิ่งมาเป็นยมทูตได้ไม่นาน ที่สำคัญเขามาหลังฉันด้วยซ้ำ แต่แน่นอนว่าฉันเป็นข้อยกเว้น


    ฉันไม่เข้าใจหลักเกณฑ์เลยจริง ๆ


    “ยมทูตคือคนที่ขายเวลาตัวเอง”


    “ขายเวลา?” 


    รอยยิ้มเย้ยหยันของเขา ชวนขนลุกอย่างไรอย่างนั้น


    “ฉันแค่พูดให้มันดูดีน่ะ เราทุกคนล้วนแล้วแต่เลือกที่จะสิ้นสุดเวลาของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม”


    “สิ้นสุดเวลา...หมายถึง...” ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาเหมือนเข้าใจกันได้เสมอ และฉันดูเป็นคนนอกแบบนี้ “ทั้งคุณ...ทั้งแมนดี้...แต่แมนดี้ยังเด็กอยู่เลย”


    “การเป็นเด็กไม่ได้หมายความว่าไม่มีเรื่องทุกข์ใจนี่”


    ที่ออกัสพูดมาก็ถูก ฉันในตอนเด็กโดนเพื่อนร่วมชั้นรังแก ยิ่งฉันพยายามตั้งใจเรียนเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างดี ๆ อยู่ ฉันก็ยิ่งถูกรังแกมากขึ้น


    “แล้วที่คุณบอกว่าหมดวาระล่ะ”


    “เพราะพวกเราขายเวลาก่อนวัยอันควร เราจึงเป็นยมทูตไปจนกว่าจะถึงเวลานั้น การที่เด็กซ์หมดวาระเร็ว แสดงว่าเขาไม่ได้อายุยืน”


    “แล้วคนที่ถูกฆ่าล่ะ พวกเขาล้วนจากไปก่อนวัยอันควรไม่ใช่เหรอ”


    “เธอคิดว่าเดธแฟร์กับเราอย่างนั้นเหรอ เราที่ไม่ได้อยากอยู่ต่อกลับต้องยังอยู่ และเธอที่อยากอยู่ต่อกลับต้องเดินผ่านประตูไม้ไป”


    “ทำไมเขาถึงยอมให้ฉันเป็นยมทูต”


    “ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้ นอกจากเดธ”


    เราทั้งคู่ยืนนิ่ง จ้องมองไปยังท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดงโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก และปล่อยให้ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนาต่อไป ไม่ว่าเดธจะตั้งใจทำอะไร พวกเราก็ถูกผูกมัดด้วยสัญญาไปแล้ว


    หลังจากที่แมนดี้กลับเข้าฝั่ง ออกัสก็ชวนเธอไปยังเขตรกร้าง ที่นั่นแปรเปลี่ยนเป็นสุสานขนาดใหญ่ต่อหน้าต่อตา ป้ายหลุมศพมากมายตั้งเรียงรายสุดลูกหูลูกตา นี่คือบรรดายมทูตที่หมดวาระลง ฉันมารู้ทีหลังจากออกัสว่าเขตรกร้างสามารถเปลี่ยนเป็นทุกอย่างที่เราต้องการได้ เหมือนตอนที่ฉันเจอออกัสนั่งใต้ต้นไม้ตอนที่เราผิดใจกัน


    ป้ายหินสลักชื่อของเด็กซ์ปรากฏขึ้นที่แถวหน้าสุด แมนดี้ย่อตัวลงหน้าหลุมศพเพื่อบอกลา เธอไม่มีโอกาสบอกเขาตรง ๆ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน ยมทูตไม่มีทางรู้ว่าจะหมดวาระของตัวเองเมื่อไร พวกเราต่างรู้ดีว่าเด็กซ์ไม่มีทางได้ยินสิ่งที่เราบอก แต่การทำเช่นนี้ส่งผลให้เราสบายใจขึ้น เสมือนได้บอกลาเขาจริง ๆ


    ฉันกล่าวลาในใจพอเป็นพิธี เช่นเดียวกับออกัสที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เราสองคนยืนมองแมนดี้จากด้านหลัง ปล่อยให้เธอพูดกับเด็กซ์ตามลำพัง สายตาของฉันมองไปยังป้ายหลุมศพมากมาย ในใจรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นยมทูตหลังขายเวลาของตัวเอง...ใช่ ฉันเลือกที่จะใช้คำเดียวกันกับที่ออกัสใช้ ฟังแล้วก็เหมือนว่าพวกเรากำลังหลีกเลี่ยง แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ คำว่า ฆ่าตัวตาย ไม่ควรเป็นคำที่พูดออกมาง่าย ๆ หรือปล่อยไว้เฉย ๆ มันมีอะไรมากมายอยู่ในคำ ๆ นั้น


    ภาพการตายแวบเข้ามาในหัวสมอง หัวใจของฉันบีบแน่นเหมือนกำลังจะขาดใจ ออกัสคว้าแขนของฉันไว้ไม่ให้ล้ม กระดาษใบเล็กปรากฏขึ้นในมือขวาระบุชื่อของเป้าหมาย


    “เป็นอะไรไหม” ออกัสกระซิบเพราะไม่อยากรบกวนแมนดี้


    ฉันส่ายศีรษะ มองวัน เวลา ที่ระบุในบัญชีการตาย หัวใจของฉันพองโตแต่ต้องเก็บความยินดีไว้ในใจ มันไม่ใช่เรื่องสมควรที่จะดีใจเวลามีใครตาย โดยเฉพาะในเวลาที่กำลังแสดงความอาลัยต่อผู้ที่จากไปแบบนี้ แต่การที่ฉันได้รับรายชื่อ หมายถึงฉันจะได้กลับไปที่โลกคนเป็น ฉันจะได้ทราบข่าวคราวเพิ่มเติมของฆาตกร


                จะไม่ให้ฉันดีใจกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน



    -------------------------------------------------------

    สวัสดีค่า


    แวะมาทักทายเล็กน้อย 

    วันนี้เพิ่งมีเวลาพรูฟต้นฉบับลิลิธ...พบว่าคำผิดเยอะมาก กรี๊ดดด ขออภัยทุกท่านจริง ๆ ค่ะ ก่อนลงเช็คจากหน้าคอมแล้ว แต่พรูฟกระดาษนี่มันเห็นชัดเจนเลย ฮา ฮา ฮา (เศร้า)


    ระหว่างพรูฟไปก็ได้ไอเดียภาคของออกัสเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตื่นเต้นมาก ๆ อยากไปเขียนแล้ว งื้ออออ



    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ


    พบกันใหม่ตอนหน้า


    อีก 7 ตอนจบภาคลิลิธแล้ว เหลือเชื่อ!


    Aki_Kaze

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in