บทที่ 16
24 ชั่วโมงในโลกคนเป็น
24 ชั่วโมงของฉันเริ่มต้นที่ริมฝั่งอีสต์ รีเวอร์ ใช่ ฉันจนตรอกถึงขนาดมาอยู่แถวนี้เผื่อจะมีโอกาสเจอฆาตกร มันเป็นเรื่องปกติที่ฆาตกรจะกลับมายังที่เกิดเหตุ ต่อให้ที่นี่ไม่ใช่จุดที่ฉันถูกฆ่า แต่มันเป็นจุดที่เขามาทิ้งศพ พวกเราสี่คนถูกทิ้งในแม่น้ำแห่งนี้ มันต้องมีความหมายอะไรบางอย่างกับเขา เขาอาจจะมาที่นี่ทุกวันก็เป็นได้ ใครจะรู้
แม่น้ำ ตึกสูงระฟ้า และสะพาน เป็นภาพที่ฉันเห็นบ่อยครั้งในละครหรือภาพยนตร์ แล้วอยากมีโอกาสได้มาสัมผัสของจริงสักครั้งในชีวิต ฉันอยากมานั่งบนม้านั่งริมทางเพื่อดื่มด่ำธรรมชาติ ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันตาย ช่างน่าขันยิ่งนัก แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ฉันมีโอกาสได้มาซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ ถึงมันจะไม่ได้เงียบสงบอย่างที่จินตนาการไว้ รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงรถรา แต่มันก็ให้ความมีชีวิตชีวาในแบบที่เจอริโก้ให้ไม่ได้
ว่าแต่ 24 ชั่วโมงของฉันจะมีแค่การนั่งรออยู่แบบนี้จริง ๆ เหรอ
ฉันว่าฉันเป็นคนมีความอดทนในระดับหนึ่ง แต่การนั่งเฉย ๆ เป็นเวลานานก็ทำให้ลุกลี้ลุกลนไม่น้อย เวลาไม่มีอยู่จริงในเจอริโก้ ฉันจึงไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของช่วงวัน แต่ที่นี่ฉันสามารถมองเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสีได้อย่างชัดเจน แสงแดดกำลังให้ความอบอุ่นอย่างเต็มที่
“หรือจะคิดผิดที่มาที่นี่ ทำไมฉันถึงไม่ไปหาเจมี่แทนนะ”
จู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งลงข้างฉัน สายตาของเขาเหม่อมองไปบนท้องฟ้า ฉันรู้จักสีหน้าแบบนั้น มันเต็มไปด้วยความร้อนใจ เขากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สำคัญ เสียงถอนหายใจของเขาดังขึ้นก่อนที่เขาจะก้มหน้ามองพื้น สายตาของเขาเลื่อนลอยเหมือนจิตใจไม่ได้อยู่ที่นี่
“เป็นอะไร...”
ฉันเอ่ยปากถามก่อนนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน ถ้าเขามีคนรับฟังปัญหา เขาอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็เป็นได้ น่าเสียดายที่ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้ นอกจากนั่งมองเฉย ๆ
ผู้ชายคนนั้นหยิบภาพถ่ายออกจากกระเป๋าสตางค์ เป็นภาพถ่ายของเขากับคนรัก มือของเขาจับภาพใบนั้นแน่น ดวงตาของเขาคมกล้าขณะมองภาพถ่าย การเป็นยมทูตทำให้ฉันได้มีโอกาสสังเกตสีหน้า ท่าทางและพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ที่คนอื่นอาจไม่ทันสังเกต ใช่ พวกเราว่างแบบนั้นนั่นแหละ นั่นทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงในภาพคือบ่อเกิดของปัญหาสำหรับเขา
เขาฉีกภาพถ่ายเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะลุกขึ้นโปรยมันลงในแม่น้ำแล้วเดินจากไป เหลือแค่ฉันตามลำพังบนม้านั่งตัวนี้
แดดร้อนไม่ได้ทำให้ยมทูตอย่างฉันเหน็ดเหนื่อยหรือคอแห้ง และถึงแม้ว่าเดือนนี้จะเย็นลงกว่าเดือนที่แล้วแต่ก็ยังเห็นผู้คนเดินถือเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือเด็ก ๆ ยืนกินไอศกรีม อา...ฉันเองก็อยากกินไอศกรีมเหมือนกัน ดูเหมือนยมทูตยังมีความอยากหลงเหลืออยู่สินะ
“อืม เข้าใจแล้ว เดี๋ยวสัปดาห์หน้าฉันจะไปเยี่ยมนะ จะพาเจ้าตัวเล็กไปด้วย”
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพร้อมรถเข็นเด็ก เธอนั่งลงบนม้านั่งตัวเดียวกันกับฉันพลางคุยโทรศัพท์ เด็กน้อยในรถเข็นที่เดาจากกิ๊บรูปตัวการ์ตูนที่ติดผมแล้วก็คงเป็นเด็กหญิง ยิ้มร่าให้กับของเล่นในมือ ดวงตาสีฟ้ากลมโตของเธอหันมาทางฉัน หลังจากเป็นยมทูตฉันก็ไม่กลัวที่จะสบตาใคร เพราะพวกเขามองไม่เห็นฉัน ด้วยเหตุนี้ฉันเลยส่งยิ้มให้เด็กน้อย เอามือปิดหน้าแล้วเล่นจ๊ะเอ๋กับเธอ เด็กน้อยในรถเข็นส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ฉันถึงกับชะงัก
“เธอเห็นฉันเหรอ”
เด็กน้อยปรบมือ ยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก ฟันของเธอเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น เธอทำให้ฉันนึกถึงเจมี่ตอนยังเล็ก ช่วงอารมณ์ดีเขาก็น่ารักน่าชัง น่าเข้าใกล้ แต่พออารมณ์เสียเมื่อไรก็มีแค่แม่เท่านั้นแหละที่ปราบเขาอยู่หมัด
“ชื่ออะไรเหรอคะ”
ฉันเล่นกับเธอ แม้ว่าเธอจะตอบอะไรฉันไม่ได้ก็ตามนอกจากส่งเสียงอ้อแอ้ เธอยื่นมือทั้งสองข้างท่าทางเหมือนอยากให้อุ้ม ฉันมองแม่ของเธอที่หันมาเล่นกับลูกสาวพร้อมสนทนาผ่านโทรศัพท์มือถือไปด้วย เด็กน้อยยังคงรอคอยให้ฉันอุ้ม แต่ฉันทำไม่ได้ เลยได้แค่ยื่นนิ้วชี้ไปให้เธอจับ เธอส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เรียกคนเป็นแม่ให้หันมาสนใจอีกครั้ง
“เอาแบร์แบร์ไหมจ๊ะ”
แบร์แบร์เป็นยางรูปหน้าหมีที่มีไว้ให้เด็กเล็กขบกัด เธอรับมาถือแล้วเขย่า ๆ ก่อนหันมามองฉันอีกครั้งโดยที่ยังจับนิ้วชี้ของฉันไว้
ฉันไม่รู้ว่าการทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องผิดกฎไหม แต่เด็กน้อยแบบนี้จะทำอะไรได้ อีกอย่างมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรตามมา เธอคงไม่โตไปเป็นเด็กโชคร้ายเพียงเพราะเคยจับมือยมทูตหรอกจริงไหม
“แอ้ แอ้” เธอร้องพร้อมเขย่านิ้วของฉันไปด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พี่ชื่อลิลิธนะ ไหนพูดซิ ลิ-ลิธ”
“แอ้!”
ฉันหัวเราะ ขืนเธอพูดตามได้จริง ๆ คนเป็นแม่คงตกใจแย่
ฉันโบกมือลาเด็กน้อยในรถเข็น มองคุณแม่เข็นรถของเธอเดินจากไป เหลือเพียงฉันอยู่ตามลำพังอีกครั้ง ท้องฟ้าตอนนี้มีแดดกำลังดี พร้อมลมเย็นหน่อย ๆ เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ฉันไม่ได้มาที่โลกมนุษย์เพื่อพักผ่อน ฉันมาเพื่อตามหาฆาตกร ถึงแม้ว่าโอกาสมันจะริบหรี่ก็เถอะ
ส่วนหนึ่งในใจของฉันอยากเปลี่ยนใจแล้วไปหาเจมี่แทน แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าฆาตกรมาที่นี่จริง แล้วเราจะคลาดกัน
ฉันไม่สามารถใช้กระดานของยมทูตตามหาตำแหน่งของเขาได้หากไม่มีชื่อ อีกอย่างการทำแบบนั้นจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คุม พวกเขาควบคุมการทำงานของกระดานในเจอริโก้ ที่มีไว้ใช้สำหรับตอนรับดวงวิญญาณเท่านั้น มียมทูตใหม่โดนตักเตือนเรื่องใช้บอร์ดหน้าทางเข้าไปกับการตามดูคนเพื่อความบันเทิง
ทำไมยมทูตถึงมองไม่เห็นอนาคตนะ อะไร ๆ คงง่ายขึ้นเยอะ
ฉันลุกจากที่นั่งแล้วออกเดินไปตามทางเลียบริมแม่น้ำ สุดทางจะเข้าใกล้จุดที่ตำรวจพบศพของฉัน ม้านั่งตามทางมีคนมานั่งชมวิว โต๊ะแบบสามคนก็มีกลุ่มวัยรุ่นจับจอง เสียงหัวเราะรื่นเริงของพวกเขาเข้ากับบรรยากาศยิ่งนัก
ฉันตั้งใจว่าถ้าเดินไปจนสุดแล้วยังไม่เห็นวี่แววของฆาตกร ฉันก็จะไปหาเจมี่แทน
ท่าทางฉันจะเลือกวันผิด วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้เขาอาจใช้เวลากับครอบครัวก็ได้ ไม่สิ คนมีครอบครัวไม่น่าทำอะไรแบบนั้น...แต่ฉันจะไปรู้อะไร ข่าวก็มีออกบ่อย บางทีคนในครอบครัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำเลยว่าคนในบ้านเป็นอาชญากร
สุดทางเดินมีเพียงชายสองคนยืนคุยกันริมแม่น้ำ ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองตาฝาด อย่างเจมี่จะมาทำอะไรที่นี่ แต่ช่วงวินาทีหนึ่งฉันก็นึกได้ว่าเขามาอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว และหนึ่งในชายที่ยืนริมรั้วนั่นก็คือเจมี่ น้องชายของฉันจริง ๆ คู่สนทนาของเขาคือสายสืบคาร์ฮาร์ต
หากฉันยังจำเป็นต้องหายใจ นี่คือช่วงเวลาที่ฉันหยุดหายใจแบบไม่รู้ตัว
สีหน้าของทั้งคู่เคร่งเครียด บทสนทนาของพวกเขาก็เป็นเรื่องของฉัน
“ผมเตือนคุณแล้วนะเจมี่ ปล่อยให้คดีของพี่สาวคุณเป็นหน้าที่ของตำรวจ คุณกำลังทำเรื่องที่เสี่ยงอยู่ ดีไม่ดีจะกลายเป็นขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย”
“พวกคุณก็แค่รอให้เขาลงมืออีกไม่ใช่เหรอ คุณไม่มีเบาะแสอะไรที่จะตามหาตัวฆาตกรได้เลย คุณรอให้เขาทำพลาด แล้วถ้าเขาไม่พลาด หรือถ้าเขาไม่ลงมืออีก คุณก็จะปล่อยให้เขาลอยนวลแบบนี้เหรอ” เจมี่สวนกลับ น้อยครั้งนักที่ฉันจะเห็นเขาโมโหขนาดนี้ ขนาดตอนที่เราทะเลาะกัน เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าดุดันแบบนี้
“เรากำลังทำงานอย่างเต็มที่”
“คุณพูดได้แค่นั้น!” เสียงตวาดของเจมี่ทำเอาฉันสะดุ้ง “ปีนึงแล้วนะที่คุณเอาแต่พูดว่ากำลังทำงานอย่างเต็มที่ ปีนึงแล้วที่พี่สาวผมจากไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แม่ผมยังคงไปที่ห้องของเธอทุกคืน คุณสายสืบ ทุกคืน แล้วใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเป็นชั่วโมง”
เจมี่หันไปทางแม่น้ำเพื่อเลี่ยงสายตาของตำรวจ ฉันไม่รู้มาก่อนว่าแม่ทำแบบนั้น ความรู้ใหม่ส่งผลให้ใจของฉันเจ็บปวด ฉันอยากยื่นมือไปปลอบน้องชาย แต่ก็ทำไม่ได้ คาร์ฮาร์ตเองก็คงอยากทำแบบนั้น แต่เขาก็ลดมือลง มองเจมี่ด้วยสีหน้าลำบากใจ
ฉันเข้าใจความหงุดหงิดของเจมี่ หนึ่งปีกับการรอคอยคำตอบที่ยังไม่มีแม้กระทั่งหนทางมันช่างมืดมนนัก กระนั้นแล้วฉันเองก็เข้าใจสายสืบคาร์ฮาร์ต ฉันเห็นแล้วว่าเขาจริงจังกับคดีนี้มากแค่ไหน และคงหงุดหงิดไม่แพ้เจมี่ที่ยังไม่มีกระทั่งเบาะแสของคนร้าย ไม่มีผู้ต้องสงสัย ไม่มีอะไรทั้งนั้น มันน่าเศร้าที่พวกเขาทำได้แค่รอ เหมือนที่ฉันทำได้แค่รอให้มีชื่อของฆาตกรโผล่ขึ้นมา ทุกครั้งที่ฉันมาที่นี่เพื่อรับดวงวิญญาณ ฉันภาวนาให้ชื่อในมือคือชื่อของชายคนนั้น
“ผมทราบดีว่าคุณอยากจับฆาตกรให้ได้ ผมเองก็อยากทำแบบนั้น สำหรับผมแล้วคดีนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าที่คุณคิด แฟนของผมตรงกับโปรไฟล์ของฆาตกรเหมือนกับผู้หญิงอีกหลายคนในเมืองนี้ วันดีคืนดีพวกเขาอาจสวนทางกับฆาตกรโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ผมอยากจับเขาให้ได้ ผมเป็นตำรวจ มันเป็นหน้าที่ที่ต้องพาอาชญากรมารับโทษ แต่คุณไม่ใช่ เจมี่ คุณเป็นพลเมือง การที่คุณติดต่อญาติผู้เสียชีวิตคนอื่น ๆ รวมทั้งผู้ต้องสงสัยที่ผ่านมาเพื่อดำเนินการสืบสวนของตัวเองมันอันตราย ยังไม่รวมเรื่องที่คุณได้ข้อมูลจากกรมตำรวจมาโดยมิชอบอีก”
เจมี่มีสีหน้าแบบเดียวกันกับตอนที่แม่จับได้ว่าเขาหนีเรียนเพื่อไปเที่ยว
คาร์ฮาร์ตเพิกเฉยต่อปฏิกิริยานั่นแล้วพูดต่อ “เรายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นชนวนให้คนร้ายลงมือ เรามีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและตามติดคดีนี้อยู่ เราไม่ได้หยุดนิ่ง ผมให้คุณมาเสี่ยงชีวิตแบบนี้ไม่ได้ คุณแม่ของคุณเสียลูกสาวไปแล้ว อย่าให้ท่านต้องกังวลกับลูกชายอีกเลย กลับบ้านเถอะ ผมจะติดต่อไปทันทีที่มีความคืบหน้า”
มือขวาของเจมี่กำขอบรั้วแน่น เขาไม่ได้เชื่อมั่นในตัวคาร์ฮาร์ตแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมเชื่อ แม้ว่าลึก ๆ แล้วฉันจะดีใจที่เจมี่ไม่ทอดทิ้งฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขาเป็นอันตราย
ระหว่างที่พวกเขานิ่งเงียบ เสียงทำนองสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น คาร์ฮาร์ตขอตัวเพื่อรับสาย ฉันเดินเข้าไปใกล้เขาเพื่อฟัง หากเป็นเรื่องส่วนตัวฉันคงถอยกลับ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้หัวใจของคนตายอย่างฉันมีความหวังขึ้นมา
“มีผู้หญิงคนหนึ่งมาแจ้งความว่าถูกทำร้ายร่างกาย เธอตรงกับโปรไฟล์ ที่สำคัญคือเธอจำหน้าคนร้ายได้ คุณควรมาที่นี่ด่วน”
คาร์ฮาร์ตขานรับอย่างกระตือรือร้นก่อนจะเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิม
“ผมต้องไปก่อนละ เจมี่...” ในเสี้ยววินาทีนั้นฉันเห็นความลังเลจากสายสืบคาร์ฮาร์ต ราวกับเขาอยากให้เจมี่ไปด้วยกัน แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจ “ผมจะติดต่อไปเมื่อทางเรามีความคืบหน้า”
ฉันบอกลาเจมี่ที่กำลังต่อสู้กับความต้องการของตัวเองกับการเชื่อตำรวจ ก่อนจะวิ่งตามสายสืบคาร์ฮาร์ตไปที่รถ และถือวิสาสะนั่งตรงเบาะข้างคนขับ
ใบหน้าของฆาตกรแวบเข้ามาในสมอง บางอย่างในใจฉันบ่งบอกว่าเป็นคนเดียวกัน ฉันอยากให้เป็นคนเดียวกัน มันถึงเวลาที่เขาต้องได้รับโทษแล้ว
--------------------------------------------------
สวัสดีค่า
ห่างหายจากการทักทายไปนานเลย ช่วงนี้กำลังปั่นต้นฉบับเรื่องใหม่อยู่ค่ะ (อู้ววว)
ส่วนลิลิธก็จัดรูปเล่มเรียบร้อยค่ะ อยู่ระหว่างการพรูฟ ระยะเวลาการสั่งรูปเล่มของเรื่องนี้คือ 1-31 ก.ค. แน่นอนค่ะ ราคายังไม่รวมค่าส่งคือ 240 บาทนะคะ นิยายเรื่องนี้จะลงตอนสุดท้ายวันที่ 15 ก.ค.ค่ะ จำนวน 25 ตอน ตอนจบมีอะไรมาเม้าท์เยอะแยะแน่นอน รวมทั้งภาคต่อด้วย อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้มาโดยตลอดนะคะพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
Aki_Kaze
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in