บทที่ 14
บุคคลที่ไม่อาจปล่อยวาง
บ้านสีขาวสองชั้น หลังคาสีดำปรากฏอยู่ตรงหน้า ฉันแทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่านั่นคือบ้านของตัวเอง
“ทำไมถึง...”
“ฉันมีวิญญาณที่ต้องไปรับ ระหว่างนั้นเธออย่าไปไหนละกัน สัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรที่ไม่ควรทำ” ฉันพยักหน้ารับรัว ๆ ปกติแล้วฉันกับออกัสจะได้รับรายชื่อจากคนในนิวยอร์กเท่านั้น เขาคงไปขอจากยมทูตคนอื่นมา ซึ่งฉันคงไม่คิดหาคำตอบที่แน่ชัด ในเมื่อมันเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นหน้าพ่อแม่
ออกัสเห็นอย่างนั้นก็บลิงก์จากไป
ฉันกุมมือของตัวเองแน่น ขณะมองบ้านของตัวเอง กี่เดือนแล้วที่ฉันไม่ได้กลับมา กี่เดือนแล้วที่ฉันกลายเป็นเพียงความทรงจำสำหรับพวกเขา
หิมะหนาปกคลุมไปทั่วบริเวณ หากเป็นเมื่อก่อนคงมีตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่อยู่หน้าบ้านที่ปั้นโดยฉันกับเจมี่ มันเป็นตุ๊กตาหิมะที่ไม่เหมือนใคร เพราะเจมี่ชอบทำหน้าตาของตุ๊กตาหิมะให้ดูโหดร้ายเสมอ เขามีตาเป็นก้อนหินที่เจมี่ลงทุนทาให้เป็นสีแดง จมูกทำจากแครอตเหมือนปกติเท่าไป แต่ปากของตุ๊กตาหิมะถูกตกแต่งให้เหมือนกำลังแยกเขี้ยว พอมีเด็กเล็กนั่งรถผ่านหน้าบ้านของเรา พวกเขาจะส่งเสียงหวีดร้องกันแทบทั้งนั้น เจมี่ที่นั่งมองจากหน้าต่างของห้องนั่งเล่นก็จะหัวเราะลั่น
มันช่างผ่านมานานมากแล้วจริง ๆ
ความเงียบสงบของตัวบ้านทำเอาฉันใจเสียไปครู่หนึ่ง ถ้าหากพวกเขาขายบ้านหลังนี้ไปแล้วล่ะ? ถ้าที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉันอีกต่อไป? แต่แล้วความกังวลก็มลายหายไปเมื่อได้เห็นรูปงานวันรับปริญญาของตัวเองในห้องนั่งเล่น ฮีตเตอร์ในห้องเปิดอยู่บ่งบอกว่ามีคนอยู่ในบ้าน กรอบรูปบนเตาผิงปลอมมีเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีแค่รูปงานรับปริญญา รูปครอบครัวของเราตอนไปปิกนิกในสวนสาธารณะ ก็มีภาพเดี่ยวของฉันเพิ่มขึ้นมา เป็นภาพสมัยเรียนปริญญาโทโดยมีเจมี่เป็นคนถ่ายให้ ฉันเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกภาพนี้ ทั้งที่มันถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ และความละเอียดก็ทำให้ล้างรูปได้เหมาะสมสุดที่ขนาด 4 x 6ฉันสวมสเวตเตอร์ไหมพรมสีแดงที่แม่เป็นคนถักให้ สวมหมวกบีนี่สีดำที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาส และมีเจมี่นั่งอยู่ด้วยแม้จะไม่ได้ออกกล้องก็ตาม มันเป็นภาพที่ทำให้เราระลึกถึงกัน แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา พ่อเดินถือส้มเคลเมนไทน์สามผล ก่อนมานั่งลงบนโซฟา เขาเดินได้เชื่องช้ากว่าที่ฉันจำได้ ใบหน้าของเขาปรากฏริ้วรอยบนดวงตาและหน้าผากอย่างชัดเจน เส้นผมก็มีสีขาวแซมขึ้นมากกว่าเดิม พ่อสวมเสื้อแขนยาวสีกรมกับกางเกงผ้านุ่ม ๆ ขายาวสีดำ ฉันเผลอยิ้มเมื่อเห็นว่าเขาใส่รองเท้าแตะในบ้านคู่ที่ฉันซื้อให้
พ่อเปิดโทรทัศน์ และทำให้ฉันรู้ว่าเป็นวันเสาร์ นั่นหมายถึงคนอื่นก็อยู่บ้านเช่นกัน ฉันนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ พ่อ จู่ ๆ เขาก็สะดุ้งเฮือกแล้วหันหน้ามาทางฉัน หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน สายตาจ้องมองมาทางฉัน ที่สำหรับพ่อแล้วมันคงเป็นเพียงความว่างเปล่า ฉันนั่งตัวตรง ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้ว กระทั่งพ่อหันกลับไปทางโทรทัศน์พลางกินส้มต่อ
ฉันอาจต้องระวังตัวมากกว่านี้ ถึงพวกเขาจะมองไม่เห็นฉัน แต่พวกเขาอาจสัมผัสอะไรบางอย่างได้ก็เป็นได้
ฉันนั่งดูโทรทัศน์เป็นเพื่อน มันนานมากแล้วที่ฉันไม่ได้ทำแบบนี้ พอเข้ามหาวิทยาลัย เวลาที่มีให้กับครอบครัวก็เหมือนจะน้อยลงไปอย่างน่าประหลาด
เมื่อรายการโทรทัศน์เข้าสู่ช่วงข่าว พ่อก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เขาขยับตัวนั่งหลังตรง สายตาจดจ่อ
ข่าวแล้ว ข่าวเล่าผ่านไป แต่ก็ไม่มีข่าวที่พ่อกำลังรอคอย
“วันนี้ก็เหมือนเดิมเหรอคะ”
แม่ของฉันเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมแซนวิชในจาน ฉันรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเธอเตรียมมานั่งตรงที่ ๆ ฉันนั่งอยู่
พ่อของฉันส่ายหน้า และแม่ก็ถอนหายใจ พวกเขากำลังพูดถึงคดีของฉัน ฉันรู้สึกไม่ดีที่ต้องมาเห็นพวกเขาทุกข์ทรมาน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกัน ฉันเคยเห็นครอบครัวที่ต้องแตกแยกหลังจากสูญเสียลูกไป
“ผมรู้จักที่นี่ คุณพาผมมาที่นี่ทำไม”
เสียงของผู้ชายดังขึ้นจากทางเดินของบ้าน ออกัสเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น พร้อมวิญญาณที่ตนเพิ่งไปรับมา
“ลิลี่”
“แมต” ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเพื่อนของเจมี่ในสภาพแบบนี้ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
หนุ่มผมทองเกาศีรษะแกรก ๆ พลางยิ้มแห้ง เหมือนที่เขาเคยทำเวลาทำอะไรผิด
“ว่าแต่พี่เถอะ ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ พี่เป็นยมทูตอย่างนั้นเหรอ” เขามองหน้าฉันสลับกับหน้าของออกัส ยามที่สายตาของเขากลับมาที่ฉันอีกครั้ง ความเศร้าสร้อยก็ปรากฏอยู่ในดวงตา “พี่กลับมาเยี่ยมบ้านเหรอ”
“พวกเขาเป็นยังไงบ้าง”
“พวกเขาเข้มแข็งกว่าที่คิด พี่ก็รู้ว่าแม่พี่เป็นยังไง เธอไม่ชอบเวลามีใครแสดงความสงสาร เธออบขนมอร่อย ๆ ให้พวกผมกินบ่อย ๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จริงสิ ปีใหม่ที่ผ่านมา เจอมี่กับพวกผมก็ไปจุดดอกไม้ไฟให้พี่ด้วยนะ พี่เห็นหรือเปล่า”
น่าเศร้าที่คนตายไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่คนเป็นทำให้
“แล้วเจมี่ล่ะ”
สีหน้าของแมตเปลี่ยนไป
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา”
“เปล่าพี่ เปล่า”
“แมต” ฉันจ้องท่าทีลุกล้นของเขา ก่อนจะรีบเดินขึ้นไปห้องของเจมี่ที่ฉันสอง
สภาพห้องของเขาไม่ต่างจากที่ฉันจำความได้ กระทั่งได้เห็นบอร์ดติดผนังเหนือโต๊ะทำงาน มันเต็มไปด้วยภาพข่าวจากคดีนักแกะสลัก พร้อมด้วยด้ายแดงโยงใยไม่ต่างอะไรกับบอร์ดที่ได้เห็นในบ้านของสายสืบคาร์ฮาร์ต เพียงแต่ข้อมูลที่เจมี่มียังไม่มากเท่าของตำรวจ กระนั้นมันก็แสดงให้เห็นถึงความหมกมุ่นของเขา
“หมอนั่นเริ่มรวบรวมข่าวของพี่หลังจากที่ตำรวจพบศพเหยื่อคนล่าสุดเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา” แมตเล่า สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเคยเห็นบอร์ดนี้มาก่อน “เจมส์บอกว่าถ้าเขาไม่หยุดฆาตกร ก็คงไม่มีใครหยุดฆาตกรได้”
“เจมี่”
ฉันแทบไม่อยากเชื่อในเรื่องที่ได้ยินและสิ่งที่ได้เห็น บนบอร์ดมีกระทั่งแผนที่นครนิวยอร์กที่มีรอยเมจิกสีแดงกากบาทจุดพบศพ และบริเวณที่ตำรวจคาดการณ์ว่าเป็นจุดเกิดเหตุ เขารวบรวมข้อมูลทั้งจากโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต
“เขาควรเตรียมตัวเข้ามหา’ลัยแท้ ๆ”
การกลับบ้านในแต่ละครั้ง ไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นเลย
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน” แมตส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ฉันรู้จักเพื่อนของน้องชายคนนี้เหมือนเป็นเพื่อนของตัวเอง “อย่าโกหกนะแมต ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา”
เขาเสมองไปทางอื่น
“แมต”
อีกฝ่ายทำไหล่ลู่
“เขาเคยพูดเรื่องไปนิวยอร์ก เพราะอยู่ที่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก”
ฉันหันมองออกัสและเขาเข้าใจทันที ออกัสส่ายหน้า
“ถ้าเธอหมดธุระกับที่บ้านแล้ว เราก็จะกลับ”
ฉันอ้าปากค้างก่อนจะหุบปากไป แล้วเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง พ่อยังคงนั่งดูโทรทัศน์ พลางกินแซนวิชที่แม่ทำให้ ฉันจึงเดินไปหาแม่ในครัว เธอกำลังล้างจาน และฉันมักเข้าไปช่วยเธออยู่เสมอ ต่อให้แมตบอกว่าแม่เป็นคนเข้มแข็ง แต่เมื่อเธอได้อยู่ตามลำพัง สีหน้าอ่อนล้าของเธอก็ปรากฏชัด สายตาของเธอแสดงความกังวล เธอเสียลูกสาวไปแล้ว ฉันไม่ยอมให้เธอเสียลูกชายไปอีกแน่ ไม่ว่าเจมี่จะตั้งใจทำอะไร เห็นทีฉันคงต้องหาทางหยุดเขา ถ้าเขาไปอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าเราจะได้เจอกัน ฉันหวังว่าจะไม่มีชื่อของเขาปรากฏขึ้นมา
“กลับกันเถอะ” ฉันบอกออกัสที่เดินเข้ามาสมทบ
“ผมจะได้ไปกับพี่หรือเปล่า” แมตถามด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
ฉันยิ้มแห้งให้เขา เราบลิงก์มาที่ความว่างเปล่าและบอกลากัน ระหว่างที่กำลังกอดลาแมต เขาก็กระซิบข้างหู
“เจมี่น่าจะพักที่บ้านของพี่ในนิวยอร์ก”
ฉันมองหน้าเขา ก่อนจะยืนส่งเขาเดินเข้าไปในประตูไม้ จากนั้นออกัสกับฉันก็บลิงก์กลับไปที่เจอริโก้
“ขอบคุณนะที่ให้ฉันได้ไปเห็นหน้าพ่อแม่”
“ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องของเธอใช่ไหม” เขาถามด้วยสีหน้าจริงจัง
ถ้าตอบว่าไม่ก็คงเป็นการโกหก ฉันจึงเลือกที่จะยิ้มแทน และเขาก็เข้าใจความหมายได้ไม่ยาก ออกัสเพียงแค่บีบบ่าขวาของฉันแล้วเดินจากไป เขาไม่ได้ตักเตือน ไม่ได้ห้ามปรามเหมือนอย่างทุกครั้ง สัมผัสของเขาคล้ายให้กำลังใจมากกว่าจะข่มขู่
ตอนนี้มันไม่ได้มีแค่เรื่องของฉันอีกต่อไป ฉันต้องปกป้องเจมี่ ไม่ว่าเขาจะตั้งใจทำอะไรก็ตาม ฆาตกรคนนั้นเป็นบุคคลอันตราย ฉันคงยอมไม่ได้แน่หากเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของตัวเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in