บทที่ 12
ทางเลือกที่เลือกไม่ได้
ฉันรู้สึกได้ว่ามีคนเดินตาม ฉันก้าวเท้าไวขึ้น ยาวขึ้น ทำทุกวิถีทางที่จะให้ตัวเองไปถึงบ้านโดยเร็วที่สุด เสียงผีเท้าที่ตามหลังมากระชั้นขึ้น ถี่ขึ้น จนเหมือนออกวิ่ง ฉันควรวิ่ง ฉันควรหนี ฉันออกตัววิ่งไปได้ไม่กี่เมตร เขาก็ตามฉันทัน เขากระชากแขนฉันจนเซ ฉันเหวี่ยงกระเป๋าฟาดตัวเขา แต่มันไม่ต่างอะไรกับการเหวี่ยงกระเป๋าใส่ต้นไม้ เขาไม่สะทกสะท้าน กลับกัน เขายิ่งมีน้ำโห
“นังแพศยา”
เขาตบหน้าฉัน พูดจาราวกับเรารู้จักกัน ใบหน้าด้านซ้ายของฉันชาวาบ ร่างกายของฉันเซจนต้องใช้อาคารใกล้เคียงเป็นที่พักพิง ความตกตะลึงทำเอาสมองสั่งการไม่ทัน เขาใช้จังหวะนั้นจับศีรษะของฉันกระแทกกำแพงจนมึนไม่รู้เรื่องรู้ราว ดวงตาของฉันเริ่มร้อนผ่าว เขาปล่อยให้ฉันล้มลงไปกับพื้น สายตาของเขาดุร้าย ริมฝีปากของเขาแสยะยิ้มอย่างมีความสุข ฉันรับรู้ได้ถึงภยันตราย รู้ว่าถ้าไม่ทำอะไร ฉันจะไม่มีวันได้หนี แต่สมองกับร่างกายกลับไม่สามารถร่วมงานกันได้
เมื่อเขาเห็นฉันยังไม่สามารถโต้ตอบอะไร เขาก็จิกทึ้งเส้นผมของฉันแล้วลากไปยังอาคารร้างแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ฉันร้องขอความช่วยเหลือ แต่เสียงที่เปล่งออกไปมันช่างเบานัก ใบหน้าของฉันเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ตอนที่เขาปล่อยฉันเป็นอิสระ ฉันรวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีให้ลุกขึ้นยืนเพื่อต่อสู้กับเขา ทว่ายังไม่ทันทรงตัวได้ดี เขาก็ตบฉันอีกครั้งด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิมจนรับรู้ได้ถึงรสเลือดในปาก ฉันทรุดนั่งขณะที่เขาย่างกรายเข้ามา มือของเขากำลังปลดเข็มขัด สมองของฉันล่วงรู้ถึงทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
ฉันสะดุ้งอย่างรุนแรง ก่อนจะพบว่าตัวเองยืนอยู่ที่ซุ้มยิงปืนกับออกัส ร่างกายของฉันสั่นเทิ้ม อัดแน่นไปด้วยความสะอิดสะเอียน มือขวาของฉันถือกระดาษใบเล็ก ๆ ไว้
เซลีน่า เกรซ เบนเน็ตต์
26 ธันวาคม เวลา 00:35 น. 21 โลคอล สตรีท, บรูคลิน
“เซลีน่า...”
“เป็นอะไรไป”
ฉันสะดุ้งอีกครั้งเมื่อออกัสจับแขน เขารีบปล่อยมือทันที ฉันไม่อยากนึกถึงภาพที่เห็นเพราะมันเหมือนกับตอนที่ฉันตาย ผู้ชายคนนั้นจะลงมืออีกครั้ง และเหยื่อของเขาในคราวนี้คือเซลีน่า ผู้หญิงที่ฉันเคยช่วยชีวิตไว้
ผลพวงคือบทลงโทษในตัวมันเอง
นี่น่ะเหรอผลพวงที่เดธเคยบอกไว้ การที่ฉันช่วยเซลีน่าในตอนนั้น ทำให้เธอต้องโดนฆาตกรคนเดียวกันกับฉันฆ่าตาย ทำให้เธอต้องเผชิญกับความโหดร้ายเช่นเดียวกันกับฉัน ความรู้สึกที่เหมือนตายทั้งเป็น
“เซลีน่า ผู้หญิงที่จะโดนรถชนคนนั้นน่ะเหรอ” ออกัสหยิบโน้ตไปจากมือของฉัน “ถ้าเธอถึงฆาต มันคงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้”
ฉันกอดตัวเอง สมองยังคงเห็นภาพการตายของเซลีน่าปะปนไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ออกัสถามอีกครั้ง
“ผู้ชายคนนั้น” ฉันพึมพำ “เธอถูกฆ่าด้วยผู้ชายคนนั้น”
ทำไมกัน ทำไมฉันถึงยังไม่ได้รับชื่อของผู้ชายคนนั้นเสียที ทำไมมันถึงยังเป็นชื่อของผู้หญิงคนอื่น ทำไม ทำไมตำรวจถึงยังทำอะไรไม่ได้
“วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ” ฉันพูดขึ้น ฉันคงไม่รู้วันเวลาถ้าหากว่ายมทูตด้วยกันไม่ตกแต่งเจอริโก้ให้เข้ากับช่วงเทศกาลแบบนี้ “เรายังมีเวลา”
“ลิลิธ” ออกัสจับแขนฉัน น้ำเสียงเฉียบขาดห้ามปราม
“นี่เป็นครั้งแรกที่ตำรวจจะรู้ล่วงหน้าว่าฆาตกรจะลงมืออีกครั้ง ขอร้องล่ะออกัส ให้ฉันได้ไปเจอคุณตำรวจ”
“เธอรู้ว่าฉันทำไม่ได้” เขาลดเสียงลง แต่ไม่ได้ลดความน่าเกรงขามไปแต่อย่างใด “เธอมีหน้าที่รับดวงวิญญาณเท่านั้น คราวก่อนเธอไม่โดนลงโทษ แต่เธอคิดว่าพวกนั้นจะให้โอกาสอีกเหรอ เดธจะยอมอีกอย่างนั้นเหรอ”
อันที่จริงฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องช่วยชีวิตเซลีน่าเลย ฉันคิดแค่ว่ามันจะเป็นโอกาสดีที่ฆาตกรจะโดนจับ
“ฉันมีงานต้องทำ” ออกัสพูดขึ้น มองกระดาษใบเล็กอีกใบในมือของตัวเอง “เธออยู่ที่นี่ แล้วห้ามไปหาตำรวจเด็ดขาด”
เขาไม่ได้รอคำตอบแล้วหายตัวไปทันที เขาไม่ยอมให้ฉันไปทำงานด้วย นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ฉันกลายเป็นยมทูต ที่ออกัสทำงานตามลำพัง เขาไม่ไว้ใจฉันถึงขนาดนั้น
ระหว่างที่เดินไปทะเลสาบ ฉันเฝ้ามองโน้ตในมือ ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นชื่อของเซลีน่าอีกครั้ง อีกแค่วันเศษ ๆ เธอก็จะถูกฆ่า
ฉันหยุดเดิน ขยำกระดาษในมือแน่น ออกัสห้ามฉันไปหาตำรวจ แต่ไม่ได้ห้ามฉันติดตามเซลีน่า การติดตามเธอก่อนช่วงเวลาถึงฆาตไม่ใช่การฝ่าฝืนกฎแต่อย่างใด ฉันตัดสินใจบลิงก์ไปยังโลกของคนเป็น
ท่ามกลางแสงสีของต้นคริสต์มาสในช่วงเทศกาล ฉันพบว่าตัวเองยืนอยู่ตามลำพัง รายล้อมด้วยผู้คนมากมายที่ออกมาเล่นไอซ์สเก็ตในร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็สนุกไปกับการเคลื่อนตัวไปในทางเดียวกันกับคนข้างหน้า บ้างก็สามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว บ้างก็ต้องจับขอบทางไปเรื่อย ๆ เพื่อทรงตัว
คริสต์มาสในร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันต้องทำเมื่อมานิวยอร์ก ฉันวาดฝันว่าจะได้มาเล่นไอซ์สเก็ตพลางชมต้นคริสต์มาสประดับไฟกับคนรัก ใครจะไปคิดว่าฉันจะมีโอกาสเห็นจริง ๆ ทว่าไร้ซึ่งคนรัก ไร้ซึ่งการมีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำ
ฉันมองหาเซลีน่า แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะหาคน ๆ เดียวในสถานที่แบบนี้
ในเมื่อเธอไม่อยู่ในลานสเก็ต ก็เป็นไปได้ว่าจะอยู่ที่คาเฟ่ด้านล่าง ฉันเดินผ่านคู่รักที่กำลังถ่ายรูปโดยมีต้นคริสต์มาสเป็นฉากหลัง ผ่านเสียงหัวเราะและเสียงเพลงที่ให้ความบันเทิงแก่ทุกคนรอบข้าง กระทั่งมาถึงทางเข้าคาเฟ่ คืนก่อนวันคริสต์มาสแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นคนรอโต๊ะจำนวนมาก
ฉันเกือบถอดใจกระทั่งหันไปเห็นเซลีน่าที่โต๊ะริมหน้าต่าง เธอมากับผู้ชายผมสีบลอนด์ สีเดียวกันกับผมไฮไลต์ของเธอ มือที่กอบกุมกันบนโต๊ะอาหารทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นคู่รักกัน เธอยิ้ม เธอหัวเราะ เธอดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนที่ฉันเจอเธอที่สี่แยก สายตาของฝ่ายชายก็ทั้งเทิดทูนและเอ็นดูเธอ พวกเขาพูดคุยสลับกับมองออกไปยังลานสเก็ตด้านนอก
“เธอดูนั่นสิ” เซลีน่าเขย่ามือฝ่ายชายพร้อมพยักพเยิดให้เขามองไปข้างนอก
ศูนย์รวมสายตาของทุกคู่หยุดอยู่ที่กลางลานสเก็ตที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าขอแฟนหนุ่มแต่งงาน ตอนที่เขาตอบตกลง ทุกคนต่างก็ปรบมือแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า บรรยากาศภายในร้านทวีความครื้นเครง บทสนทนามีทั้งแสดงความยินดีและความรู้สึกอิจฉาที่อยากให้มีใครจัดเซอร์ไพรซ์แบบนั้นให้บ้าง
“โดนตัดหน้ากันก่อนแบบนี้ก็แย่สิ ผมต้องหาวิธีใหม่แล้วล่ะ” แฟนหนุ่มของเซลีน่าพูดขึ้น ทำเอาเธอหน้าแดง “ว่าแต่พรุ่งนี้คุณพร้อมไหม”
“อย่าพูดสิ ฉันตื่นเต้นจะแย่แล้ว ถ้าพ่อแม่เธอไม่ชอบฉันขึ้นมาจะทำยังไง”
ฝ่ายชายหัวเราะเบา ๆ
“พวกเขาต้องชอบคุณแน่”
เธอมองเขาอย่างเขินอาย ขณะที่เขายิ้มรับอย่างภาคภูมิ
“ฉันโชคดีจริง ๆ ที่ได้เจอเธอ ถ้าคืนนั้นฉันโดนรถชน ฉันคงไม่มีโอกาสได้เจอลูกค้าแบบเธอในวันรุ่งขึ้น”
“อะไรกัน คุณตกหลุมรักผมตั้งแต่แรกเลยเหรอ ทำไมปล่อยให้ตามจีบเป็นเดือน ๆ แบบนั้นล่ะ”
“ใครบอกว่าตั้งแต่แรกเล่า” เซลีน่ามองออกไปที่ลานสเก็ตอีกครั้งพร้อมกับจิบน้ำไปด้วย
ฉันช่วยชีวิตเธอไว้ ทำให้เธอได้เจอคนรัก ขณะที่พวกเขากำลังวาดฝันถึงอนาคต เธอก็กำลังจะตาย...อีกครั้ง
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องตามดูเซลีน่าต่อ ฉันเดินออกจากคาเฟ่ ออกจากร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ ปะปนไปกับผู้คนที่ไม่มีใครมองเห็นฉัน ความมีชีวิตชีวาในโลกของคนเป็นกลับทำให้ฉันโดดเดี่ยว ฉันเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมของช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ ระหว่างที่ฉันกำลังเดินทอดน่องไปตามเส้นทาง ฉันเห็นยมทูตกำลังรับดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต การปรากฏตัวของพวกเรามีแต่จะนำเรื่องร้ายมาให้
การเดินทางของฉันไร้จุดหมาย ครอบครัวของฉันอยู่ไกลเกินกว่าที่จะไปหาได้โดยไม่เป็นการเรียกความสนใจจากผู้คุม ฉันเดินทะลุตัวคนมากมาย พวกเขาต่างหากที่เป็นอากาศธาตุสำหรับฉัน ไม่มีใครที่ฉันรู้จัก ไม่มีใครให้ฉันไปหา
กระทั่งผู้ชายคนนั้นเดินเข้าสู่สายตาของฉัน ลักษณะท่าทางเยี่ยงคนธรรมดาของเขา สามารถกลมกลืนไปกับผู้คนรอบข้างได้อย่างลงตัว ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่ออกมาเดินบนถนนฟิฟท์ อเวนิว ในคืนก่อนวันคริสต์มาสจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ตำรวจกำลังตามหา เขาไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นคนประเภทที่ถ้าหากไม่เคยคุยด้วยหรือทำความรู้จักกันมาก่อน ก็คงไม่รู้ว่าเขามีตัวตน เขาอาจเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณ โดยที่คุณไม่รู้อะไรไปมากกว่าที่ตั้งโต๊ะทำงานของเขา เขาอาจจะเป็นเพื่อนบ้าน ที่คุณพยักหน้าทักทายแต่ไม่เคยรู้ชื่อกันมาก่อน
ร่างกายของฉันมีปฏิกิริยาทันทีที่เห็นเขาเดินตรงเข้ามา ขาของฉันหยุดนิ่ง มือทั้งสองกำชายเสื้อผ้าของตัวเอง ศีรษะหนักอึ้งทั้งยังอึดอัดอยู่ในอก อยากวิ่งหนี แต่ทำไม่ได้ อยากหันไปทางอื่น แต่ดวงตาเอาแต่จับจ้อง ยิ่งเขาใกล้เข้ามาก็ยิ่งอึดอัด ภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นฉายซ้ำอยู่ในสมอง
เราสบตากัน หรืออย่างน้อยมันก็คือฉันที่จ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าเฉยเมย ที่ทำให้ร่างกายของฉันสะท้านวาบด้วยความพรั่นพรึง
ฉันเบี่ยงตัวหลบยามที่เขาเดินผ่าน กลิ่นสนิมและกลิ่นบุหรี่ปะปนมากับสายลม เพิ่มความสมจริงของคืนนั้นเป็นเท่าทวี
ฉันต้องฆ่าเขาฉันต้องฆ่าเขาฉันต้องฆ่าเขา
ยามที่รู้สึกตัวอีกที มือของฉันห่างจากแผ่นหลังของเขาไม่กี่เซนติเมตร เพียงแค่ใช้แรงนิดเดียวของยมทูต ร่างกายของเขาก็คงกระเด็นกระดอนไปไกลตามแรงชนของรถ
ใช่...โอกาสของฉันมาถึงแล้ว ถ้าฉันไม่หยุดเขาในตอนนี้...
“บทลงโทษสำหรับการฆ่ามนุษย์”
จู่ ๆ เสียงของแมนดี้ก็แวบเข้ามาในหัว
“...ทุกคนในโลกคนเป็นจะลืมว่าเคยมีพี่อยู่ เหมือนกับพี่ไม่เคยเกิดมาก่อน”
ยามที่ลังเลก็มีเสียงของโอมาร์แทรกขึ้นมา
“ผมไม่มีอะไรจะเสีย”
“ฉันไม่มีอะไรจะเสีย” ฉันพูดกับตัวเอง
เสียงหัวเราะสดใสของฉันเองดังขึ้นในหัว ภาพของวันที่ฉันเข้าพิธีสำเร็จการศึกษาแวบเข้ามาในสมอง เสียงหัวเราะของเจมี่ดังตามมาเมื่อเขาดูรูปที่เพิ่งถ่ายผ่านกล้อง ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีสีหน้าเบิกบานและภาคภูมิใจกับความสำเร็จของฉัน สายตาของพวกเขาให้ความอบอุ่นกับฉัน รอยยิ้มของพวกเขาพัดพาเอาความเหนื่อยยากจากตอนเรียนไปจนหมดสิ้น
“แม่รักลูกนะ ลิลี่”
เสียงของแม่ทำให้ฉันหยุดชะงัก
ฉันไม่อยากให้พวกเขาลืมเรื่องราวพวกนั้น ฉันในตอนนี้เป็นได้แค่ความทรงจำสำหรับพวกเขา ถ้าฉันทำอะไรผู้ชายคนนี้จนถึงชีวิต แม้แต่ความทรงจำเหล่านั้นก็จะหายไป ฉันจะกลายเป็นเพียงสสารที่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า ไร้ซึ่งคนรู้จัก ไร้ซึ่งคนห่วงใย ลิลิเบธ แมรี่ แลงดอน จะตายจากโลกนี้ไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ฉันทำไม่ได้... ฉันยอมไม่ได้...
สัญญาณไฟข้ามถนนเปลี่ยนสี ส่งผลให้ฆาตกรยิ่งเดินห่างไกลฉันไปเรื่อย ๆ
ทำไมเขาถึงต้องพรากทุกอย่างไปจากฉัน ทำไมถึงมีแต่ฉันที่เจ็บปวด!
บรรยากาศในเจอริโก้ครื้นเครงเหมือนโลกคนเป็นไม่มีผิดเพี้ยน ต้นคริสต์มาสสูงใหญ่ประดับไฟและของตกแต่งหลากสีตั้งตระหง่านหลังป้ายแผนที่ กระทั่งในสถานที่หลังความตายแบบนี้ ก็ยังสามารถพบเห็นคู่รักได้ทั่วไป พวกเขาใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข ทั้งที่บางคนอาจเพิ่งไปรับวิญญาณมาด้วยซ้ำ บางคนอาจพบเจอการตายที่ไม่ยุติธรรม บางคนอาจต้องไปรับดวงวิญญาณของคนในครอบครัว พวกเขาสามารถละทิ้งทุกอย่างไว้ที่โลกของคนเป็น และปรับตัวเข้ากับการเป็นยมทูต
ถ้าหากฉันละทิ้งทุกอย่างได้ ทั้งความแค้น ความเจ็บปวด ความเห็นอกเห็นใจ ละทิ้งความเป็นมนุษย์ไป ฉันจะมีรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า ฉันจะมีความสุขได้ไหม
ท้องฟ้าแห่งนี้ไม่ได้มืดมิดเหมือนคืนที่ฉันตาย แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนจ้องมองไปในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด
_____________________________________
สวัสดีค่า
วันนี้มาทักทายเพื่อนที่จะบอกว่าต้นฉบับเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ (ปรบมือ)อย่างที่แจ้งไว้ในตอนก่อนโน้นว่าเรื่องนี้เป็นเพียงภาคของลิลิธเท่านั้น ยังมีภาคออกัสตามมาอีก อุอิส่วนตอนนี้เป็นหนึ่งในตอนที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เซลีน่ารอดมาว่าจะต้องเขียนให้ได้ค่ะ ในหัวของลิลิธคิดเรื่องฆ่าฆาตกรไปหลายครั้งแล้ว แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะลงมือจริง ๆ สุดท้ายแล้วมันจะเป็นอย่างไรกันนะ?
พบกันใหม่วันจันทร์หน้านะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ รวมทั้งขอขอบคุณทุกคอมเมนต์มาก ๆ ค่ะAki_Kaze
ป.ล. เมื่อจบเรื่องนี้แล้วจะมีเรื่องไหนต่อ สามารถติดตามข่าวสารผ่านทาง Facebook Page ได้นะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in