เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ขอเพียงใจไม่สิ้นไร้ซึ่งศรัทธา (At least your heart doesn’t lose hope)Tonliew Suparat
โอกาสที่สอง
  • “แม่งเอ๊ย”


    นี่เป็นครั้งที่สามของเดือนแล้วที่ผมโดนปฏิเสธจากงานที่สมัครไป ไม่ว่าจะยื่นที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจรับเข้าทำงาน ทั้งที่ผมมีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับงานเหล่านั้นทุกอย่าง แต่มันติดแค่อย่างเดียวเท่านั้น


    ผมเคยติดคุกมาก่อน


    แค่เป็นชาวต่างชาติก็ยากแล้ว นี่ผมยังมีประวัติอาชญากรรมอีก ยิ่งไปแปลกเลยว่าทำไมถึงไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงานสักที่


    ครอบครัวผมเป็นชาวต่างชาติที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศแห่งนี้ ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลากหลาย อิสระ และเสรีที่สุดในโลก แต่พอเอาเข้าจริงผมกลับไม่เห็นหนทางเลยว่าคนอย่างพวกผมจะมีชีวิตอิสระเสรีได้อย่างที่คนอื่นเขาพูดกันหรือเปล่า และชีวิตผมในปัจจุบันนี้มันก็เป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าบางทีอิสรภาพก็คงเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน


    ผมถูกจำคุกในคดีอาญาข้อหาปล้นชิงทรัพย์ที่ผมไม่ได้เป็นคนก่อ ผมรู้ว่าคนทำตัวจริงคือใครแต่เพราะฐานะทางบ้านไม่ได้ดีมากนัก การจะจ้างทนายมาสู้คดีจึงเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ อีกอย่างต่อให้จ้างทนายได้ผมก็คงสู้ไม่ชนะอยู่ดี โทษของผมคือจำคุก 10 ปีแต่เพราะประพฤติตัวดีมาตลอดจึงถูกลดโทษลงเหลือเพียง 5 ปีเท่านั้น ผมออกจากคุกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและได้กลับไปอยู่กับครอบครัวของผมในที่สุด ถึงผมจะรู้ว่าพ่อไม่นับผมเป็นลูกอีกแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังมีแม่ที่ยินดีกับการกลับมาใช้ชีวิตปกติของผม 


    แต่จะว่าปกติก็คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมไม่ใช่เด็กที่เพิ่งเรียนจบมัธยมอีกแล้ว ดังนั้นการจะนั่ง ๆ นอน ๆ เป็นภาระพ่อแม่ต่อไปก็ใช่เรื่อง ผมอยากเริ่มต้นใหม่เลยตัดสินใจหางาน ผมอยากทำงาน งานอะไรก็ได้ขอเพียงให้มีรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัว แต่บางทีผมคงอ่อนต่อโลกเกินไปหน่อยถึงได้คิดว่ามันจะง่ายดายปานนั้น 


    งานแรกที่ผมยื่นใบสมัคร คือ งานพนักงานส่งอาหารของร้านอาหารฟาสฟู้ดร้านหนึ่ง แต่ก็โดนปฏิเสธไป งานต่อมาที่ผมสมัคร คือ แคชเชียร์ในร้านสะดวกซื้อ แล้วก็โดนปฏิเสธไปอีกงาน ส่วนงานนี้เป็นงานรับจ้างขับรถส่งของ แต่ก็ยังถูกปฏิเสธอีกอยู่ดี พอโดนปฏิเสธมากเข้าผมก็เริ่มคิด


    บางทีคนอย่างผมคงไม่อาจมีโอกาสที่สองให้เริ่มต้นใหม่


              หลังจากผ่านมาสองเดือนผมก็เริ่มถอดใจ ไม่ว่าผมเดินไปไหนก็เหมือนมีป้ายที่เขียนว่า ‘ไอ้ขี้คุก’ ห้อยคอไปด้วยทุกที่ ใคร ๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยประหนึ่งว่าผมเป็นอาหารที่เน่าบูดส่งกลิ่นเหม็นและน่าขยะแขยง ผมกลายเป็นที่รังเกียจของสังคมแห่งความเท่าเทียมจอมปลอมนี้ ไม่สิทธิ์จะทำอะไรทั้งนั้นเพียงเพราะประวัติไม่ขาวสะอาด  ไม่มีที่ไหนอ้าแขนต้อนรับคนอย่างผมแม้แต่บ้านของผมเอง พ่อที่ไม่พอใจเรื่องนี้เป็นทุนเดิมตั้งแต่แรกไล่ผมออกจากบ้าน เขาบอกเองว่าไม่ต้องการให้แกะดำอย่างผมอาศัยอยู่ในบ้านเพราะมันทำให้เขารู้สึกเสียเกียรติ ผมย้ายออกไปเช่าห้องพักราคาถูกอยู่ลำพังและหาเงินจากการเก็บขยะรีไซเคิลไปขาย ผมแทบไม่ได้ติดต่อเพื่อนสมัยมัธยมเลยด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้แต่ละคนไปอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรบ้าง บางวันแม่จึงแวะมาหาผม ทำของโปรดมาให้ อยู่คุยเป็นเพื่อนประมาณครั้งละหนึ่งชั่วโมงพอให้ผมรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ แต่เมื่อถึงตอนกลางคืนความเงียบเหงาและความโศกเศร้าก็เข้าเล่นงาน


           ทุกคืนเมื่อหลับตาภาพเหตุการณ์ในวันที่โดนจับจะปรากฏชัดเจนในความฝัน ความทรมานกัดกินหัวใจผมจนอยากกรีดร้องออกมา ผมเข้าใจความหมายของคำว่าตายทั้งเป็นอย่างถ่องแท้หลังออกจากคุกนี่เอง ตอนอยู่ในคุกผมเฝ้านับวันรอคอยอิสรภาพ แต่เมื่อได้ออกมาแล้วก็พบว่าอิสรภาพนั้นไม่เคยมีอยู่จริง และคนเช่นผมก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนแบกรับความจริงข้อนี้ไปจนวันตาย


           ผมขออีกแค่ครั้งเดียว 


           ขอโอกาสอีกแค่ครั้งเดียวมันมากไปหรือไง


           คืนวันของผมผ่านไปอย่าเหงาเศร้า จนวันหนึ่งผมเริ่มทนตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ไหว จึงตัดสินใจออกไปสูดอากาศที่สวนสาธารณะหลังกินมื้อค่ำเสร็จ ท้องฟ้ารอบข้างเปลี่ยนเป็นสีม่วงและส้มบ่งบอกว่าอีกไม่นานพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า ผมเดินไปเรื่อย ๆ แล้วจึงหยุดเมื่อเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งฮัมเพลงอย่างเป็นสุขขณะที่เล่นกับแมวจรจัดแถวนั้น ชายชราคนนี้หน้าตามอมแมม ไว้หนวดเครารุงรังและสวมเสื้อผ้ามอซอ บางทีแกคงเป็นคนไร้บ้านกระมัง ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงไม่มีคนมาแถวนี้ทั้งที่มีม้านั่งมากมายหลายตัว


           “ทำอะไรอยู่เหรอลุง” ไม่รู้ผมนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรจึงได้ทักทายแกไปอย่างนั้น

          “ร้องเพลงให้เจ้าเหมียวฟัง” แกหันมาตอบผมด้วยรอยยิ้ม “อยากฟังด้วยไหม”


    ผมไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วจึงได้ตอบตกลงแกไป ก่อนจะนั่งลงยังที่ว่างข้าง ๆ ลุงเขา ชายจรจัดคนนี้ไม่ได้ร้องเพลงเพราะอะไรนักหรอก ออกจะเพี้ยนเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือแกมีความสุขมาก มากกว่าใครหลายคนที่ผมรู้จักเสียอีก 

            “ทำไมลุงดูมีความสุขจัง” ผมเอ่ยถามแกหลังจากนั่งฟังแกร้องเพลงไปได้สักพัก “ลุงมีความสุขไม่ได้

             เรอะ” แกหันมามองหน้าผมพลางขมวดคิ้ว

             “ก็… อย่าหาว่าปากเสียเลยนะแต่ว่าลุงเป็นคนไร้บ้านใช่ไหมละ ไม่มีบ้าน ไม่มีงาน แต่ทำไมยังมี  

             ความสุขอยู่ได้อีก”


     พอฟังจบแกก็พลันหัวเราะออกมา ไม่รู้ตลกอะไรนักหนาแต่ผมก็ต้องปล่อยให้แกหัวเราะไปก่อน แกหัวเราะอยู่นานเกือบห้านาทีจนผมจะลุกหนีอยู่แล้ว แกถึงได้ตอบผม

            “อ้าว แล้วทำไมคนไร้บ้านจะมีความสุขไม่ได้ละ ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับใจเรานะไอ้หนุ่ม”

            “ยังไงละลุง”

            “ก็ต่อให้คนรอบข้างมองว่าเราเป็นยากไร้ ไม่มีจะกิน ชีวิตลำบาก แต่ถ้าใจเราไม่ได้รู้สึกอย่าง

             นั้น มันก็แปลว่าเราไม่ได้ลำบากไง เอ้อถามแปลกนะเรา”


    น่าแปลกที่คำพูดของแกทำให้ผมคิดได้ ที่ผ่านมาผมมัวแต่คิดมากเรื่องที่คนอื่นมองว่าผมเป็นไอ้ขี้คุกแล้วก็ถอดใจไปเสียดื้อ ๆ จนไม่ทันจะได้ลองเริ่มต้นทำอะไรใหม่เลยสักอย่าง ผมยังหนุ่ม แข็งแรง และทำงานได้อีกมาก แต่ใจของผมกลับเล็กยิ่งกว่าหัวใจมดเสียอีก


    “ขอบคุณนะลุง”

    “ขอบคุณทำไมละ”

    “ก็ลุงเพิ่งให้คำแนะนำดี ๆ กับผมไง”

    “เหรอ งั้นก็ดีแล้วละไอ้หนุ่ม อย่าได้หมดศรัทธาเชียวนะไม่ว่าใจของนายบอกว่ายังไง”

    “ครับลุง”


    บางทีชีวิตคนเรามันก็ไม่เคยง่าย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสให้เปลี่ยนแปลงหรือเริ่มใหม่เสียที่ไหน บางทีที่เราคิดว่ามันคงไม่มีทางอีกแล้วมันอาจเป็นเพียงแค่สิ่งที่เราหวาดกลัวไปเองก็ได้


    ถ้าใจเราไม่หมดหวัง


    ไม่สิ้นในศรัทธา


    ยังไงก็มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คอยชี้นำทางให้ชีวิตที่มืดบอดนี้อยู่แล้ว


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in