เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ขอเพียงใจไม่สิ้นไร้ซึ่งศรัทธา (At least your heart doesn’t lose hope)Tonliew Suparat
ไม่เด่นไม่ดังจะไม่หันหลังกลับไป
  • “ขอเชิญคุณบังอรขึ้นมารับรางวัลดาราสาวดาวรุ่งคนใหม่ด้วยครับ” เสียงปรบมือที่ดังกระหึ่ม เสียงผู้คนที่ร้องเชียร์ แสงไฟ เสียงดนตรี ทำให้หญิงสาวในชุดราตรียาวสีแดงสดรู้สึกตื้นตันในหัวใจ เธอรับรางวัลมากอดไว้แนบอก แต่ก่อนจะได้กล่าวขอบคุณผู้ชมทุกคนที่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


    “นังบังอร! มึงเล่นเป็นดาราอีกแล้วใช่ไหม!” เสียงดังของแม่ทำให้เด็กสาวเจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจจนต้องปล่อยมือจากทัพพีที่ตนถืออยู่เพื่อติ๊ต่างว่ามันคือถ้วยรางวัล

    “เปล่าจ้ะแม่” เธอตะโกนตอบกลับไปแล้วรีบเก็บทัพพีกับจานชาที่เพิ่งล้างเสร็จให้เรียบร้อย

    “โอ๊ย ไม่ต้องมาตอแหลเลยถ้าว่างนักมึงก็เอาข้าวไปให้พ่อกับพี่มึงที่นานู่นไป”

    “จ้า ๆ ไปแล้วจ้า”


    ตั้งแต่จำความได้บังอรไม่ค่อยจะมีความสุขกับชีวิตตนเองเท่าไรนัก เธอเบื่อชีวิตชนบทที่ต้องตื่นเช้ามาทำงานตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน พระยังไม่ออกมาบิณฑบาตร วัน ๆ มีแต่งาน งาน งาน ทุกคนในบ้านทั้ง 6 ชีวิตต้องทำงานกันทุกคน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันจะได้ลืมตาอ้าปากเหมือนอย่างคนอื่นเขา


    สมัยที่ยังเรียนหนังสือ บังอรมีเพื่อนเป็นลูกตำรวจ ลูกพ่อค้าคนจีน และลูกข้าราชการหลายคน แต่ละคนใช้ชีวิตโก้หรู มีชุดนักเรียน รองเท้านักเรียนใหม่เอี่ยมเสมอ  แต่ละคนพกเงินไปโรงเรียนกันวันละตั้ง 5 บาท 10 บาท อยากกินอะไรก็กินได้อย่างที่อยาก ส่วนเธอนั้นต้องใส่ชุดนักเรียนต่อจากพี่สาว ใส่ตั้งแต่ชุดใหญ่กว่าตัวจนมันสั้นเต่อไม่พอดี แต่ด้วยที่บ้านฐานะยากจนข้นแค้นเสียเหลือเกินจึงไม่มีปัญญาไปซื้อใหม่อย่างใครเขา ข้าวกลางวันก็ต้องคดไปกิน เงินค่าขนมยิ่งไม่ต้องถามถึง บังอรได้เรียนหนังสือถึงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ก็ต้องลาออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน เพราะพี่สาวคนโตแต่งงานย้ายออกไปอยู่กับผัวที่ต่างอำเภอแล้ว งานหลักของเธอจึงเป็นการดูแลน้องชาย และจัดการหุงหาอาหาร ทำงานบ้าน ส่วนงานรองนั้นคือไปช่วยงานในไร่


    ชีวิตของเธอไม่เคยได้มีเวลาเที่ยวเล่นสนุกสนานอย่างใครเขา แต่ในเมื่อโชคชะตามันใจดำกับเธอนักก็มีแต่ต้องจำยอมต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้บังอรมีแรงใจในการใช้ชีวิตทุก ๆ วันก็คือ ความฝันที่อยากจะเป็นดาราจอเงิน อย่างนักแสดงสาวชื่อดังอย่าง อรัญญา นามวงศ์ แต่เพราะเธอเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา ความฝันที่จะเป็นดาราจึงไกลเกินเอื้อมเหลือเกิน 


    “เออ โสภาเพื่อนมึงกลับมาจากรุงเทพแล้วนะ” ทองสุกพี่ชายของเธอพูดขึ้นมาตอนที่แกะข้าวกิน

    “จริงเหรอพี่ทอง” บังอรได้ฟังก็ทำตาโต ด้วยหลังจากจบชั้นประถมสี่เธอก็ลาออกจากโรงเรียนและไม่ได้เจอเพื่อนคนไหนอีกเลย โสภาที่ว่าสนิทกันที่สุดก็ย้ายเข้าเมืองไปเรียนที่กรุงเทพอีก ไม่แปลกที่เธอจะตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อรู้ข่าวว่าเพื่อนจะกลับมา “ไม่โกหกนะ”

    “เออสิวะ จะโกหกมึงทำไมเมื่อเช้าข้าเห็นมันนั่งรถเข้ามานะ โหคันอย่างใหญ่ โสภามันแต่งตัวสะสวยพริ้งอย่างกับดาราแหนะ”

    ยิ่งได้ฟังพี่ชายเล่าบังอรก็ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าเก่า บ่ายวันนั้นเธอจึงตัดสินใจเข้าเมืองไปหาโสภาที่บ้านด้วยความคิดถึง


    บ้านโสภาเป็นร้านขายของชำร้านใหญ่ที่สุดในอำเภอ นอกจากนี้บ้านเธอยังเป็นเจ้าของโรงสีข้าวโรงใหญ่ที่สุดอีกด้วย โสภาย้ายไปอยู่กับญาติฝ่ายพ่อที่กรุงเทพเพื่อเรียนหนังสือ ตอนนี้เธอปิดเทอมอยู่จึงกลับบ้านที่ต่างจังหวัดได้และแน่นอนว่าเธอก็ดีใจไม่น้อยที่ได้เจอบังอรอีกครั้งหลังจากผ่านมานานหลายปี โสภาบอกบังอรว่าคราวนี้เธอกลับมาได้ไม่นานเพราะต้องกลับไปช่วยงานญาติที่กรุงเทพ ดังนั้นเธอจะอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น 

    ดังนั้นบังอรจึงไปหาโสภาทุกวัน เด็กสาวทั้งสองพูดคุยกันนานหลายชั่วโมง เรื่องดารา เรื่องภาพยนตร์ แต่โดยส่วนมากบังอรจะขอให้โสภาเล่าเรื่องที่กรุงเทพให้ฟัง ฟังดูแล้วอย่างกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ถ้าเธอได้ไปบ้างก็คงดี


    เย็นวันหนึ่งบังอรเดินยิ้มหน้าบานกลับบ้านหลังจากไปคุยกับโสภาอย่างทุกวัน ในหัวเธอคิดถึงแต่การไปกรุงเทพ เด็กสาวฝันหวานไปไกลถึงชีวิตในเมืองใหญ่ ถ้าเธอได้ไปกรุงเทพอย่างโสภาโอกาสเป็นดาราก็คงใกล้เเค่เอื้อม เย็นนั้นเองเธอจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนในบ้านฟังระหว่างนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน 

    “ฉันจะไปกรุงเทพจ้ะ” 


    ทุกคนในบ้านเงียบ พ่อกับแม่หันมองหน้ากัน ทองสุกจิบน้ำ ก่อนที่เสียงของแม่จะทำลายความเงียบนั้นลง

    “มึงบ้าเหรอนังบังอร” แม่ร้องเสียงแหลม “มึงรู้ไหมไปกรุงเทพมันใช้สตางค์เยอะขนาดไหน”

    “ก็รู้หรอกแม่ว่าใช้เงินเยอะ แต่ฉันไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะฉันจะไปหางานทำ”

    “ถ้างานที่ว่าคือเป็นดารา กูไม่ให้มึงไปนะนังบังอร” พ่อพูดขึ้นก่อนจะตักน้ำแกงซด

    “แล้วเป็นดารามันไม่ดีตรงไหน” เด็กสาวเริ่มขึ้นเสียง “อย่างน้อยก็ไม่ต้องอดอยาก ทำงาน

    งก ๆ แต่ก็ยังจนอยู่แบบนี้” 

    ทั้งสามคนเริ่มตะโกนด่ากันไปมาด้วยความโมโห ทองสุกที่เป็นลูกโตต้องเข้ามาปราบ ส่วนไอ้เจ้าน้องชายคนเล็กพอคนในบ้านเริ่มทะเลาะกันมันก็นั่งร้องไห้จ้า เกิดเป็นบรรยากาศวายป่วงอย่างที่สุดจนเพื่อนบ้านพากันก่นด่า การทะเลาะกันครั้งนี้เลยเถิดไปกันใหญ่จนไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกแล้ว


    “เพี๊ยะ!” เสียงฝ่ามือของผู้เป็นแม่ฟาดลงข้างแก้มของบังอร เด็กสาวได้แต่ตัวแข็ง รู้สึกเจ็บชาที่ใบหน้าข้างขวา แต่ที่เจ็บยิ่งกว่าคือหัวใจของเธอ เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าแม่จะลงไม้ลงมือกับเธออย่างนี้ 

    “หนูเกลียดแม่ เกลียดทุกคนเลย!” บังอรร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วลุกออกไปโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของพี่ชาย เธอจะไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่ที่บ้านหลังนี้ ที่เมืองชนบทไกลความเจริญแห่งนี้ ที่ผ่านมาเธอยังพออดทนได้ แต่การที่แม่ตบเธอมันเหมือนฟางเส้นสุดท้ายนั้นได้ขาดลงไปเรียบร้อยแล้ว บังอรเก็บข้าวของสำคัญใส่ลงย่ามแล้วนำเงินเก็บเล็กน้อยเท่าที่พอมีติดตัวไปด้วย 


    “บังอรมึงใจเย็นก่อน พ่อกับแม่เขาแค่ห่วงมึงนะ” ผู้เป็นพี่ชายพยายามกล่อมน้องสาวที่เดินลงส้นเท้าตึงตังออกจากบ้าน 

    “ถ้าเขาห่วง เขารักกูจริงเขาจะรั้งกูให้อยู่ในที่แบบนี้เหรอ” เธอหันไปตวาดพี่ชายทั้งน้ำตา “กูถามจริง ๆ นะพี่ทอง พี่ไม่เคยคิดบ้างเหรอว่าชีวิตเราที่นี่มันโคตรเฮงซวยเลย พี่ไม่อยากทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เป็นชาวไร่ ชาวนาไปจนตายเหรอ”

    “พี่ก็คิด แต่มึงก็ต้องเข้าใจด้วยว่าเราเกิดเป็นลูกชาวนานะไม่ใช่ลูกพ่อค้าคนมีสตางค์อย่างโสภาเพื่อนมึง เขาจะไปเรียน ไปใช้ชีวิตในกรุงเทพก็ได้แต่มึงไม่ได้”

    บังอรได้ฟังแล้วก็นึกขำในโชคชะตาแสนตลกร้ายของตนเหลือเกิน 

    “งั้นกูจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่าลูกชาวนาคนนี้มันก็เป็นดาราได้”


    จากนั้นก็ไม่มีใครพบบังอรอีกเลย ไม่มีใครในบ้านได้รับการติดต่อจากบังอร จนสุดท้ายก็ไม่มีใครพูดถึงเธออีก ชาวบ้านลือกันว่า บังอรมันไปไม่รอดในกรุงเทพบ้าง มีลูกมีผัวไปแล้วบ้าง แต่ก็ไม่มีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มากไปกว่าสาวน้อยที่หนีออกจากบ้านไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 



    “มีใครอยู่บ้านไหมคะ” เสียงของโสภาดังขึ้นที่หน้าบ้านของครอบครัวบังอร เธอแต่งตัวสวยหรูอย่างสาวเมืองกรุงและในมือก็ถือซองจดหมายซองหนึ่งติดมือมาด้วย เธอยืนรออยู่สักพักก็มีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งออกมาหา 

    “พี่มาหาใครเหรอ” เด็กชายถาม

    “มาหาพี่ทองสุกจ้ะ ไม่งั้นป้าจันทร์ก็ได้” พอได้ฟังที่หญิงสาวกล่าวเด็กชายจึงวิ่งเข้าบ้านไป

    พลางตะโกนไปพลาง

     “แม่! พี่ทอง! มีคนมาหา”


    สักพักใหญ่ ๆ ทองสุกก็วิ่งออกมาจากหลังบ้านด้วยท่าทีงุนงงสงสัยแต่พอเห็นว่าเป็นโสภาจึงได้ยิ้มออก “อ้าว ว่าไงภามีอะไรเหรอ” เขาเอ่ยถามตามประสาคนรู้จักกัน ก่อนจะทำหน้างงเมื่อเห็นหญิงสาวส่งซองจดหมายมาให้ ที่หน้าซองเขียนชื่อผู้ส่งว่า ‘บังอร’ พอเห็นดังนั้นทองสุกก็รีบตะโกนเรียกพ่อและแม่ให้ออกมาดู ทุกคนเมื่อได้ยินว่าเป็นจดหมายจากบังอรก็รีบออกจากบ้านมาด้วยความว่องไว ชนิดที่ว่าไม่สนใจว่าตนจะนุ่งผ้าขาวม้าดีแล้วหรือยัง หรือว่าจะถือสาดติกมือออกมาด้วย

    “มีอะไรวะไอ้ทอง นังบังอรมันส่งจดหมายมาเรอะ” นายเจริญผู้เป็นอเอ่ยถามด้วยความ

    ตื่นเต้นตกใจ

    “มันเขียนมาว่าอะไร มึงรีบเปิดซิ” นางจันทร์ผู้เป็นแม่เร่งเร้าลูกชายคนโตให้เปิดจดหมาย 

    ทองสุกจึงต้องรีบแกะซองเพื่อเปิดดูโดยเร็ว โสภาเองก็อดชะโงกหน้าเข้ามาดูไม่ได้เหมือนกัน


    ด้านในซองจดหมายไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเงินจำนวนหนึ่งและรูปใบปลิวโฆษณาภาพยนตร์ ทุกคนจึงได้แต่มองหน้ากันด้วยความงุนงงสงสัย นายเจริญเกือบจะหลุดปากออกมาแล้วว่านังบังอรมันเล่นพิเรนทร์อะไร แต่โชคดีที่นางจันทร์พูดขึ้นมาเสียก่อน

    “แล้วหนูไปได้จดหมายมาจากไหนจ๊ะ” 

    “บังอรเขาเอามาให้หนูเองจ้ะ หนูเจอเขาเมื่อสองสามวันก่อนจะกลับมาที่นี่”


    จากนั้นโสภาจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนให้นายเจริญ นางจันทร์และทองสุกฟังอย่างละเอียด คืนนั้นที่ที่บังอรตัดสินใจจะไปกรุงเทพ เธอไปหาโสภาที่บ้านแล้วขอติดรถเข้าไปด้วย เมื่อแรกเริ่มที่เข้ากรุงเทพ บังอรก็ไปทำงานเป็นลูกจ้างในร้านค้าของญาติโสภา โดยระหว่างนั้นบังอรก็พยายามหางานแสดงเล็ก ๆ น้อยไปด้วย พอเริ่มทำงานกับบ้านญาติโสภาไปได้สักสอง สามปีบังอรก็แต่งงานกับหนุ่มที่เป็นเด็กส่งของในร้านก่อนจะย้ายออกไปอยู่ด้วยกัน

    “วันนั้นที่เจอกัน บังอรเขาก็ดูสบายดีนะคะ เขาบอกว่าตอนนี้ได้เป็นดาราหนังสมใจแล้ว 

    เรื่องในใบปลิวเนี่ยก็เป็นเรื่องแรกที่เขาได้แสดงค่ะ” โสภากล่าว 

    “บังอรเขาคงอยากให้ทุกคนไปดูผลงานเขานะคะ”


    ทั้งสามเงียบไปพักหนึ่งเหมือนจะใช้ความคิด โสภาเห็นท่าก็รู้สึกว่าไม่น่าจะดีเท่าไหร่ด้วยรู้ว่าบังอรแยกกับครอบครัวแบบไม่ค่อยดีนัก แถมห้าปีที่ผ่านมาก็แทบจะไม่ติดต่อหากันเลยสักนิด ขนาดจดหมายยังฝากส่งผ่านเธอด้วยซ้ำ

    “เราจะไปดูจ้ะ เดี๋ยวฉันจะพาเมียไปดูด้วยจะได้รู้ว่าน้องสะใภ้มันเป็นคนดัง” ทองสุกพูดด้วยรอยยิ้ม  “เอาไปๆ ไปแต่งตัว เราจะไปดูหนังกัน”


    ค่ำวันนั้นทุกคนจึงไปดูหนังด้วยกัน เพราะไม่ได้เข้าไปดูหนังในโรงบ่อย ๆ ทุกคนจึงรู้สึกเกร็งไม่น้อย ไม่มีใครพูดอะไรอีกเมื่อหนังเริ่มฉาย ทุกคนนั่งดูอย่างตั้งใจและคอยมองหาบังอรจนกระทั่งเห็นหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนจอ

    “คุณนายขา น้ำเย็น ๆ ค่ะ” บังอรในบทคนรับใช้เดินเข้ามาในฉากพร้อมถาดน้ำ ทองสุกที่นั่งข้างนางจันทร์ก็อดแอบเหลือบมองใบหน้าของแม่ไม่ได้ สิ่งที่เขาเห็นคือรอยยิ้มน้อย ๆ และน้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตา ชายหนุ่มจึงหันไปกระซิบแล้วชี้ให้แม่ดู


    “นังบังอรมันทำจริงได้นะแม่ มันบอกว่ามันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าลูกชาวนาอย่างมันก็เป็นดารา

    ได้ ตอนนี้มันได้เล่นแค่บทเล็ก ๆ อย่างคนใช้ แต่อีกหน่อยแม่เชื่อไหม ว่าคนมุ่งมั่นตั้งใจอย่าง

    มันต้องได้เล่นบทดี ๆ เด่น ๆ เข้าสักเรื่องแน่”

    “เออ แม่เชื่อ”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in