เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ขอเพียงใจไม่สิ้นไร้ซึ่งศรัทธา (At least your heart doesn’t lose hope)Tonliew Suparat
มอดไหม้
  •         อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล ยังมุมใดสักมุมหนึ่งของโลกใบนี้ ยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองเทียนไข ชาวเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ร่างกายของพวกเขาทำมาจากขี้ผึ้งและไขถั่วเหลือง ต่างสีสัน ต่างกลิ่นหอม นอกจากนี้บนศีรษะของพวกเขายังมีไส้เทียนโผล่ออกมาและมีเปลวไฟดวงน้อยที่ส่องประกายนวลตาอยู่ตลอเวลา เปลวไฟนี้จะมอดดับไปเองในตอนกลางคืน และถูกจุดขึ้นใหม่ด้วยตัวมันเองในตอนกลางวัน ชาวเมืองทุกคนต้องคอยระวังอย่าให้ไฟดวงน้อยนี้ดับไป เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองจึงเรียกไฟเหล่านี้ว่า ‘อัคคีแห่งชีวิต’ ความพิเศษของชาวเมืองเทียนไขยังมีอีกเรื่อง นอกจากพวกเขาจะทำขึ้นจากเทียนแล้ว พวกเขาทุกคนยังมีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็เลิศ เก่งทั้งงานกวี ดนตรี และศิลปะ ชาวเมืองหลาย ๆ คนจึงมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนักประพันธ์และศิลปินชื่อก้องโลกมากมาย เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี วิลเลียม เชกสเปียร์ และโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท

    ยังมีเด็กสาวอยู่คนหนึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับพ่อแม่ เธอมีร่างกายทำจากไขถั่วเหลือง ผิวกายของเธอเป็นสีส้มปนชมพูอ่อน ๆ ราวแสงอบอุ่นของดวงอาทิตย์ และมีกลิ่นหอมหวานของผลไม้สุกงอมและน้ำค้างยามเช้า เด็กสาวคนนี้หลงใหลในศิลปะ เธอรักการวาดรูปยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดและทำมันได้ดียิ่งกว่าใคร ๆ ไม่มีรูปอะไรที่เธอวาดไม่ได้ ไม่มีอุปกรณ์ศิลปะรูปแบบใดที่เธอใช้ไม่เป็น ด้วยความสามารถอันน่าเหลือเชื่อนี้ พ่อกับแม่จึงสนับสนุนเธออย่างเต็มที่และให้เธอเข้าเรียนสถาบันศิลปะชื่อดังของเมืองเพราะเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งลูกสาวของพวกเขา จะเติบโตขึ้นเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและได้ทำงานในแวดวงศิลปะอย่างที่ชาวเมืองเทียนไขหลาย ๆ คนได้เป็น หลังจากเข้าเรียนได้ไม่นานความสามารถของเธอก็ยิ่งเปล่งประกาย ชิ้นงานของเธอยอดเยี่ยมและโดดเด่น ไม่ว่าอาจารย์คนไหนหรือเพื่อนคนใดต่างก็ชื่นชนในตัวเธอ แต่เมื่อยิ่งทำผลงานไว้ได้ดีมากเท่าไร ความกดดันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เด็กสาวเริ่มกดดันตัวเองในการทำงานมากขึ้นกว่าเก่า เธอวาด แล้วก็วาด พยายามหาทางที่จะทำให้ผลงานของตนเองดียิ่งขึ้นไปอีก

     ‘ฉันอยากทำให้ทุกคนภูมิใจ ฉันอยากสร้างผลงานที่ทั้งโลกจะต้องจารึก’ 


    เธอคิดเช่นนี้ทุกครั้งในยามที่ตวัดฝีแปรงลงบนผืนผ้าใบ หากแต่นานวันเข้าผลงานของเธอกลับแย่ลงทุกที จากผลงานที่ดีที่สุดในสถาบัน ก็ค่อย ๆ กลายเป็นผลงานที่แย่ลงทุก ๆ ชิ้น เด็กสาวไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนี้คืออะไร ราวกับว่าทุกความสามารถของเธอหายวับไปเสียเฉย ๆ ทุกจินตนาการ ทุกความคิดสร้างสรรค์ เลือนหายไปเหลือไว้เพียงความธรรมดาและไม่น่ามอง

    ไม่เข้าใจ.... เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

    และแล้วเรื่องประหลาดก็ได้เกิดขึ้นกับเด็กสาวในเช้าวันหนึ่ง เมื่อเธอตื่นนอนแล้วพบว่าไส้เทียนของเธอไม่ได้ถูกจุดขึ้น อัคคีแห่งชีวิตของเธอหายไป เด็กสาวร้องเสียงดังด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งร้องห่มร้องไห้ลงไปหาพ่อกับแม่ที่ชั้นล่างทั้งที่ยังสวมชุดนอนของตนอยู่

    “พ่อคะ แม่คะ ช่วยหนูด้วย” เธอกล่าวเสียงสั่น ดวงตาสั่นไหวและน้ำตาก็ไหลอาบสองแก้มสีกุหลาบ ทั้งพ่อและแม่ต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยพบเห็นใครก็ตามที่อัคคีแห่งชีวิตดับไปแต่ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขากอดลูกสาวเอาไว้ ปลอบประโลมจิตใจอันหวั่นวิตกของเธอให้สงบลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วตัดสินใจพาเด็กสาวไปหาหมอเพื่อหาทางรักษาความผิดปกติที่เกิดขึ้น

    “ดูเหมือนว่าลูกสาวของคุณจะป่วยครับ” คุณหมอกล่าวกับทั้งสามแล้วจึงอธิบายต่อ “จากอาการของเธอหมอวินิจฉัยว่าเธอป่วยเป็นโรคมอดไหม้ครับ”

    “มันเกิดจากอะไรครับหมอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “แล้วมันอันตรายมากไหม”

    “หมอตอบไม่ได้ครับ โรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่ แค่เป็นโรคหายากในเมืองของเรา ดังนั้นเราจึงไม่มีตัวอย่างของกลุ่มอาการโรคมอดไหม้มาเปรียบเทียบว่าอาการของลูกสาวคุณรุนแรงและเข้าขั้นอันตรายมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างหนึ่งโรคนี้ยังไม่มีตัวยาไหนรักษาได้ครับ หมอเสียใจด้วยจริง ๆ”

    เด็กสาวพยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เชื่อมั่นว่าสักวันตนจะต้องหายดีและไปพบหมออย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์เพื่อดูความคืบหน้าของอาการ ในช่วงสัปดาห์แรกเธอยังพอฝืนใจตนเองให้กลับไปเรียนได้ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นานวันเข้าเธอรับรู้ได้ว่าอาการมันแย่ลง เด็กสาวเลิกไปพบหมอแล้วขอลาออกจากสถาบันศิลปะ ทุก ๆ วัน หลังจากตื่นนอนมารับประทานอาหารเช้า เธอจะขังตัวเองอยู่ในห้องนอน เธอนอนลงกับเตียง จ้องมองเพดานสีขาวอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมายจนหมดวัน ความฝันและความหวังของเธอค่อย ๆ มอดลงทีละน้อยก่อนจะดับไปเช่นเดียวกับอัคคีแห่งชีวิตของเธอ

    “ฉันไม่มีวันหาย” เธอกล่าวกับตนเองเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบเหงาอย่างที่สุด “ถ้าไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าวาดรูปไม่ได้อีกแล้วฉันจะมีประโยชน์อะไร ไม่มี ฉันไม่มีดีอะไรเหลืออยู่แล้ว”

    เด็กสาวเกลียดตัวเองในช่วงเวลานี้มากเหลือเกิน สมองของเธอว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีอยู่ ดวงตาที่เคยมองเห็นสิ่งสวยงามน่าอัศจรรย์ บัดนี้กลับไม่ต่างจากคนตาบอด สองมือที่เคยวาดสิ่งน่าพิสมัยก็ไม่อาจทำได้ดั่งใจ แม้ว่าจะพยายามฝืนตนเองให้ลุกขึ้นกลับมาลองวาดภาพกี่ครั้ง สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษก็มีเพียงความว่างเปล่า ไม่ว่าพ่อกับแม่หรือคนรอบข้างจะพยายามปลอบใจเพียงไรก็ไม่เกิดผล เด็กสาวรู้สึกเหมือนกับว่าตนได้ตายไปแล้วทั้ง ๆ ที่ยังมีลมหายใจ ไม่ใช่การค่อย ๆ ละลายไปทีละน้อยแล้วจากไปเมื่อสิ้นอายุขัยอย่างยายของเธอ หรือว่ามอบดับไปอย่างเช่นใครหลายคนที่ไม่อาจปกป้องอัคคีแห่งชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้ การตายของเธอไม่ใช่การตายทางกายภาพ แต่เป็นการตายทางจิตใจ  เด็กสาวอยู่ในสภาวะเช่นนี้นานเกือบ 2 เดือน พ่อกับแม่ที่เฝ้าดูอยู่ก็ไม่อาจทนเห็นลูกรักเพียงหนึ่งเดียวเป็นเช่นนี้ ท้ายที่สุดพวกเขาจึงคิดว่าถึงเวลาทำอะไรสักอย่าง

    “เราจะไปไหนกันคะ” เธอเอ่ยถามเมื่อถูกแม่ปลุกให้ตื่นในเช้าวันหนึ่งและพบว่าแม่ของตนอยู่ในชุดเดรสสีขาวเข้ากับผิวกายสีฟ้าอ่อนของแม่ ก่อนจะได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มแสนสดใส

     “ไปทะเลจ้ะ ไปเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยแม่ว่ามันคงช่วยได้”

    การตัดสินใจไปพักผ่อนที่ทะเลเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน อาจะไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด ที่จะช่วยเด็กสาวจากโรคมอดไหม้ แต่ในสายตาของคนเป็นพ่อแม่ พวกเขาก็หวังว่าจะได้เห็นประกายแห่งความสดชื่นสดใสในแววตาของลูกสาวอีกสักครั้งก็ยังดี พวกเขาพาเด็กสาวไปร้านอาหารทะเลชื่อดัง พาไปดูการแสดงสุดตระการตา พาไปล่องเรือและดำน้ำดูปะการัง แต่เด็กสาวก็ยังไม่ดีขึ้น

    ในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ เด็กสาวออกไปที่ชายหาดตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ดวงตาของเธอจ้องมองผืนน้ำเบื้องหน้า สองเท้าค่อย ๆ ก้าวลงไปใกล้ทะเลมากขึ้นทีละน้อย ก่อนจะหยุดยืนนิ่งปล่อยให้คลื่นสาดซัดความเย็นเฉียบของน้ำทะเลยามเช้ามาสู่ปลายเท้าของตน เธอยืนอยู่เช่นนั้น รอจนกระทั่งพระอาทิตย์ดวงกลมโตจะค่อย ๆ เคลื่อนกายขึ้นสู่ท้องฟ้าฉาบแสงสีทองไปทั่วโลกทั้งใบ เปลี่ยนท้องฟ้าสีเทาหม่นให้กลายเป็นสีกุหลาบ

    ‘โลกสวยงามขนาดนึ้ครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่’ เด็กสาวเอ่ยถามตนเองในใจก่อนจะหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูและเห็นผิวสีเหลืองอมส้มอันแสนคุ้นเคยของพ่อ “ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังลูก กว่าจะถึงเวลาออกจากรีสอร์ทก็เที่ยงนู่นเลย”

    “หนูออกมาสูดอากาศนิดหน่อยค่ะ” เธอกล่าวกับพ่อเสียงเบาแล้วจึงหันกลับไปมองท้องฟ้าสีค่อย ๆ เปลี่ยนสีอีกครั้ง จากสีชมพู กลายเป็นสีม่วงคราม ก่อนจะกลายเป็นสีฟ้ากระจ่างใสราวลูกแก้ว ไม่มีบทสนทนาใดต่อจากนั้น มีเพียงความเงียบระหว่างสองพ่อลูก และเสียงของคลื่นลมทะเลเท่านั้น แต่แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงเมื่อเด็กสาวเอ่ยขึ้น

    “พ่อคะ”

    “ว่าไงลูก”

    “หนูคิดว่าหนูอยากจะลองกลับไปวาดรูปอีกสักครั้งค่ะ”

    “เอาสิ”

    แล้วบทสนทนาก็จบลงเพียงเท่านั้น พร้อมกับประกายไฟเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่ไส้เทียนบนศีรษะของเด็กสาว ประกายเล็ก ๆ แห่งความหวัง ที่ดับมอดไปนานเหลือเกิน

     










เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in