เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Log Book ที่รัก♡ployapha.j
เอาหัวมุดน้ำไปสบตากับฉลามที่แอฟริกาใต้









  • 23 January 2018





    สวัสดี Log book ที่รัก♡




    จะว่าเรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าให้อ่านกันต่อไปนี้นั้นอยู่ใน Log book ก็ไม่เชิง เพราะเราไม่ได้ไปดำน้ำ แค่กลั้นหายใจเอาหัวไปมุดน้ำก็เท่านั้น แต่ก็เอาเถอะ ไม่รู้ว่าจะจับเรื่องนี้ใส่ในหมวดหมู่ไหนก็ใส่มาในนี้ก็แล้วกันนะ



    มาจะกล่าวบทไปถึงเดือนแรกของปี 2018 นี้ เราโชคดีได้วันหยุดติดกัน 5 วัน (จากที่บินเดือนละเกือบร้อยชั่วโมงมาตลอดเพราะลูกเรือขาด ในที่สุดก็ได้พักยาวๆซะทีโว้ย) แรกเริ่มเดิมทีเราจะไปตะลุยทะเลทรายและธรรมชาติที่งดงามในประเทศโอมาน เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ขับรถไปนิดเดียวก็ถึง แต่ทว่า... เราขอวันหยุดไปพร้อมกับ พี่เก๋ ลูกตาล และ คิเคย ซึ่งทั้งสามคนนั้น... ไม่ได้วันหยุดในช่วงนี้แหะ



    กลายเป็นว่าเราเลยต้องไปคนเดียวซะงั้นเลยคิดว่าจะกลับกรุงเทพ (อีกแล้ว) ไปพักผ่อนหย่อนใจ เล่นแมว กินข้าวที่แม่ทำก็มีความสุขดี แต่ช่วงที่เราหยุดมันตรงกับวันจันทร์ -  ศุกร์​ ทุกคนไปทำงาน เราก็จะต้องอยู่อย่างคนเหงาๆที่บ้านเงียบๆคนเดียว นอนดู Netflix ไปเรื่อยๆ








    เฮ้ยยย ไม่โอเคว่ะ...
    แถมจิตใจที่รักในการผจญภัยเริ่มเร้าร้อง
    ไปเที่ยวมั๊ยล่ะ ไม่มีใครไปด้วยก็ไปคนเดียวเนี่ยแหละ
    เพราะชีวิตคือการออกไปตามหาสิ่งใหม่ๆโว้ย






    ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิด The First Solo Trip of 2018 ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นทริปเดียวและทริปสุดท้ายของปีรึเปล่า (ฮาาา) เราปักหมุดมาที่ Cape Town, South Africa เพื่อมาขีดฆ่าหนึ่งในลิสต์สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย





    เราจะไป...

    ดำน้ำกับฉลามขาววววววว!!

















  • ประสบการณ์การสบตาปิ๊งปั๊งกับฉลามนั้นก็เริ่มจากการเรียนดำน้ำนั่นแหละ เจอตั้งแต่เรียน Open Water ที่ไปกรี๊ดอยู่ในใจ(และออกเสียงมานิดหน่อยทั้งๆที่ปากยังคาบ reg อยู่) กับ Whitetip Reef Shark หรือ ฉลามครีบขาว ที่มุ้งมิ้งอยู่ในกอปะการัง อีกรอบคือการไปตามหา Theresher Shark หรือ ฉลามหางยาว ที่เกาะมาลาปัสกัว (ตามไปอ่านกันได้เด้อ จิ้มเล้ย ) และก็เจอกับฉลามครีบขาวอีกทีในทริปนั้นนั่นแหละ



    ในคราวนี้เรามีความฝันอันยิ่งใหญ่ อยากจะไปแรกพบสบตากับ The Great White Shark หรือ ฉลามขาว ที่ทำให้เรากลัวแบบขี้หดตดหายหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง JAWS ตอนเด็กๆ เหยดดดด เป็นกิจกรรมที่ดูเสี่ยงตายดี ไปให้สุดแล้วหยุดที่เป็นอาหารปลาเง้ก็ได้หรอว้า




    และเพื่อความปลอดภัยในชีวิตน้อยๆของเราที่อยากจะเอาสองเท้าไปไปเกาโลกได้นานๆ ไม่ตกเป็นอาหารปลาไปเสียก่อนก็ต้องวางแผนอย่างรัดกุม ที่เคปทาวน์นี่มีบริษัททัวร์พาไปดูฉลามขาวมากมาย มีเรตราคาหลากหลายให้เลือก ส่วนตัวแล้วเราไปกับ White Shark Diving Company ที่ไปอ่านรีวิวแล้ว อ่านรีวิวอีกในเรื่องของความปลอดภัยและข้อมูลอื่นๆประกอบจนมั่นใจแล้วว่าเราจะไปฝากชีวิตไว้กับกรงเหล็กของบริษัทนี้


    สาเหตุที่เลือกไปกับที่นี่ก็เพราะ...


    • เขาเปิดดำเนินการมานาน 20 ปีแล้ว โดยไม่มีประวัติเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยแต่อย่างใด ไม่เคยมีใครแขนขาด เฮ!
    • จำกัดผู้ร่วมทริปแค่ 22 คนเท่านั้น ไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวาย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
    • ได้รับการการันตีจาก TripAdvisor Certificate of Excellence ในปี 2014 เป็นต้นมาว่ามันดีจริง
    • หากไม่เจอฉลามจะแจกคูปองให้มาใหม่ อายุใช้งาน 2 ปีเด้อ
    • บริษัทนี้เขายึดถือเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ฉลามเป็นหลัก มีทำงานร่วมกันกับองค์กรท้องถิ่น มีนักวิจัยที่มาศึกษาเก็บข้อมูลมากมาย 



    สำหรับข้อสุดท้ายนี้เป็นเรื่องที่เราเน้นย้ำและให้ความสำคัญมาก เพราะการดำน้ำในกรงเพื่อดูฉลามนั้นเป็นธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมซึ่งทำให้เกิดบริษัทที่ทำทัวร์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งโดยส่วนใหญ่นั้นเขาจะใช้เหยื่อที่ชุ่มเลือด ชิ้นใหญ่ เป็นเป้าล่อให้ฉลามสนใจ


    ซึ่ง...มันก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าทำให้พฤติกรรมของฉลามเปลี่ยนไป ไม่ออกล่า รอกินแต่เหยื่อจากทัวร์เหล่านี้ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมาคือเรื่องของผลเสียที่กระทบต่อระบบนิเวศในน่านน้ำนั้นๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับทัวร์ไร้จรรยาบรรณที่ให้เอาขนมปังไปหว่านๆให้ปลาการ์ตูนนั่นแล คือทำเป็นธุรกิจท่องเที่ยวจริงจัง ไม่ได้ศึกษาวิจัยถึงผลกระทบใดๆเลย


    ทางบริษัทนี้เขาจัดทัวร์ขึ้นมาในเขตที่พบฉลามขาวชุกชุมและออกล่าเหยื่อกันในบริเวณนี้เป็นปรกติสุข นั่นก็คือ ไดร์เออร์ ไอร์แลนด์ (Dyer Island, South Africa) ซึ่งตามสถิติแล้วเป็นจุดที่พบฉลามมาชุมนุมประชุมใจรักสมัครสมานกันหนาแน่นและบริเวณนี้ก็ห่างจากเขตของคนทั่วไป จึงไม่ใช่การล่อฉลามให้มาหาถึงที่ เขาจะใช้ซากปลาเป็นเหยื่อล่อ ไม่ใช่เนื้อชิ้นบึ้มโชคเลือดแบบอาห์ กินได้บ่อยอร่อยชัวร์ เพราะฉะนั้นฉลามที่เข้ามาจะเป็นเพียงฉลามที่ต้องการล่าซากที่เหลือเท่านั้น (คือให้มีกลิ่นๆว่าเอ๊ะ นี่คืออะไรหนา) พอมันไม่ได้อาหารก็จะจากไป เป็นการตัดสายสัมพันธ์ระหว่างคนกับฉลามขาวออกจากกันนั่นเอง





    สำหรับข้อมูลเรื่องราคาค่าใช้จ่ายต่างๆจะเขียนอธิบายในภายหลังนะจ๊ะ













  • ได้เวลาไปออกตามหาฉลามขาวกันเถอะ!








    แต่ทว่า...

    ก่อนวันเดินทางที่จะไปดูฉลาม เราได้รับอีเมลจากทางบริษัทว่าช่วงนี้ฉลามขาวนั้นเล่นซ่อนแอบกับเราอยู่นะจ๊ะ เพราะครั้งล่าสุดที่เจอฉลามขาวนั้นคือวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา... -- หลังจากอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วก็ใจแป้ว ฮือ งั้นเราจะมาทำไมฟะ รู้งี้กลับบ้านไปเล่นแมวก็ได้โว้ยยย




    แต่ช้าก่อน! เขาบอกว่าช่วงนี้มีเซอไพร์สเพราะอาจจะมีโอกาสได้เจอกับ Copper Shark หรือ Bronze Whaler หรือ Narrowtooth Shark หรือ ฉลามครีบด่าง (หลายชื่อจังโว้ย) ฉลามอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ไม่ค่อยได้พบได้เจอในแถบนี้ อะเมซิ่งมากเลยนะยูว เราก็เออ ไหนๆก็มาแล้วอะ เจออะไรก็เจอเถ๊อะ เผื่อว่าโชคดี ฉลามขาวอาจจะกลับมาเซย์ฮายก็ได้










    รถตู้ของทางบริษัทมารับเราตั้งแต่ตีสี่ครึ่งที่หน้าโฮสเทล ใช้เวลาเดินทางจากเคปทาวน์ไปที่เมือง Gansbaai (อ่านออกเสียงไม่ถูกง่ะ) กันโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ระหว่างทางเราก็งีบไปพลาง บางทีก็ตื่นมาถ่ายรูปวิวและพระอาทิตย์ขึ้นบ้าง แล้วก็กลับไปงีบต่อ











    เช้านี้อุณหภูมิประมาณ 19 องศา
    ระหว่างทางก็เจอฝนบ้างประปรายเป็นระยะ
    มีสายหมอกลอยต่ำอยู่ท่ามกลางภูเขา น่ารื่นรมย์









    จอดแวะให้เข้าห้องน้ำ ซื้อของกินจุ๊บจิ๊บ













    และแล้วเราก็มาถึง White Shark Diving Company





















    พอมาถึงปุ๊บก็ต้องลงทะเบียน เซ็นเอกสาร และจ่ายเงิน จากนั้นก็เป็นเวลาว่างนิดๆหน่อยๆให้กินข้าวเช้า มีชา กาแฟ โยเกิร์ต คอนเฟล็ก น้ำผลไม้ และไข่คนไว้ค่อยให้บริการ เรากินไปนิดๆหน่อยๆเพราะกลัวเผื่อว่าเมาเรือจะปั่นป่วนในท้อง

    พอทุกคนจัดการเรื่องเอกสารครบแล้วก็มานั่งฟัง นาล่า หัวหน้าทัวร์ของเราในวันนี้พูดเรื่อง Safety Briefing เกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆ ทั้งในเรื่องของเรือว่าอุปกรณ์อะไรอยู่ตรงไหนและการเข้าไปในกรง ดังต่อไปนี้...



    • เราจะหย่อนตัวจากด้านบน ให้เอาเท้าไปแตะที่ราวเหล็กด้านหน้าแล้วค่อยๆกระดึ๊บลงไป
    • จะมีราวเหล็กอีกอันอยู่ข้างล่าง เอาไว้ให้ล็อกเท้า กันไม่ให้เราลอย
    • ส่วนมือต้องจับอยู่ที่ราวเหล็กเท่านั้น ห้ามเอาออกนอกกรงเด็ดขาด โกโปรก็ห้ามเด้อ
    • เวลาดำลงไปดูใต้น้ำให้ใช้กำลังแขนกดตัวลงไป ล็อกข้อศอกไว้จะได้ไม่ลอย
    • ห้ามจับฉลามมมมมมม!



    เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปขึ้นเรือกันจ้าาาา







    เรือมีสองชั้น ต้องแบ่งกันว่าใครจะนั่งข้างบน ข้างล่าง หรือในเคบินด้านใด







    บนเรือเราก็พบกับ แมรี่ ที่เป็นนักวิจัยเกี่ยวกับฉลาม จะขอติดตามมาเก็บข้อมูลของ Copper Shark ด้วย (เผื่อเจอ) ระหว่างทางเราก็เลยนั่งคุยกับเขา ก็ได้ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับฉลามมากมาย เช่น ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับฉลามขาวที่ทำร้ายคน คือออออ จริงๆแล้วสถิติการทำร้ายมนุษย์ของฉลามนั้นน้อยมาก เกิดมาจากความเข้าใจผิดของฉลามมากกว่านี่คิดว่าเราคือแมวน้ำอุ๋งอาหารโปรด


    การกัดของฉลามขาวนั้นเป็น sample bite (ขอแปลว่าทดลองแง๊บ คือมันไม่ได้งับอะ มันเป็น verb to แง๊บ) แต่ไอ้การทดลองเนี่ย แขนขาด ขาขาดเด้อ... น้องแค่สงสัย น้องไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายล่ามะนู้ดดดด


    ฉลามขาวนั้นไม่ได้อยู่ในน้ำลึกๆอย่างที่เราเข้าใจกันจากภาพยนตร์เรื่อง JAWS ที่มาล่าคน กินๆๆๆ แล้วก็หายวับกลับทะเลไป แท้ที่จริงแล้วมันเป็นฉลามที่ดำรงชีพอยู่ใกล้ๆชายฝั่ง น้ำไม่ลึกไม่ตื้น แต่ก็สามารถพบเจอได้ในระดับความลึกประมาณ 1,200 m. ไม่ได้อาศัยอยู่ที่ใดเป็นหลักแหล่ง เป็นฉลามที่รักการผจญภัย สามารถว่ายไปได้ไกลมากๆ ซึ่งขณะนี้สุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่จะสูญพันธุ์เพราะมนุษย์เรานี่แหละที่ล่ามันไปจะหมดแล้ววววว






    "This is our job to protect them." เธอกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่เรือจะจอด





    เหยดดดดด โคตรเท่!
















  • ระหว่างที่แมรี่ไปเตรียมนี่นั่นนู่นโน่น เราก็มาดูนาล่าและทีมลูกเรือเตรียมกรงกันจ้ะ หน้าตาก็แบบนี้...





    แค่เพียงกรงเหล็กบางๆที่กั้นตรงกลางเท่านั้น
    มันก็ไม่บางหรอก พูดไปงั้นแหละ แฮ่






    จากนั้นก็จะแบ่งผู้ร่วมทริปออกเป็น 3 ทีม เราเป็นกลุ่มแรกที่ได้ลงไปก็จัดการใส่เวทสูทและใส่ฮู้ด เตรียมหน้ากากให้พร้อม









    เหยื่อล่อคือซากปลาจริงๆ ไม่มีเนื้อแดง ไม่มีเลือดโชกแต่อย่างใด
    แถมโยนๆไปนกนางนวลก็ชะแว้บเอาไปกินหม๊ด








    พอปล่อยทุ่นซากปลา และโยนชิ้นปลาลงน้ำไปซักพักเราก็เห็นเงาดำๆเคลื่อนผ่านแถวๆนั้น นาล่าเรียกให้กลุ่มพวกเราเตรียมตัวและค่อยๆหย่อนตัวเองตุ๋มลงไปในกรง





    ความรู้สึกที่แรกที่เอาตัวหย่อนลงไปคือ....





    เชี่ยยยยยยยย น้ำเย็นสาสสสสสสสสสสสสสสสสสสส





    โอ้โห อุณหภูมิน้ำ 13 องศาเซลเซียสมันเป็นอย่างนี้นี่เองงงง เวทสูทกับฮู้ดไม่ได้ช่วยอะไรเลย มือสั่นมาก สั่นแบบถือกล้องสั่นถ่ายอะไรไม่ได้เล้ย ยังไม่ทันได้จัดระเบียบร่างกาย ไอ้ราวที่จับมันอยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ นาล่าก็ตะโกนมาว่า GET DOWN TO THE BASE!!!! ไอ้เราก็เฮ้ย เดี๋ยวววว ยังไม่พร้อมโว้ย แต่ก็ฮุบอากาศแล้วก็มุดหัวลงไป




    ตอนนั้นความหนาวคืออะไรไม่รู้ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือออออ























    แอ๊ะะะะ แก๊ ฉลามมมมม ฉลามอะไรไม่รู้ แต่คือตื่นเต้นมากกกกกกกกกกก ที่เคยเห็นฉลามครีบขาวคือมันนอนอยู่เฉยๆ ส่วนฉลามหางยาวคือไกลกว่านี้มาก แต่นี่คือต่อหน้าต่อตา โว้ยยยย กรี๊ดดดดดดดดดดดด





    เราก็ผลุบขึ้นๆลงๆ กลั้นหายใจดำดูด้วยใจระทึกมาก อยากให้มาใกล้ๆ อยากเห็นอีกกกกกก และจริงๆถ่ายคลิปมาเยอะมาก ถ่ายหน้าตัวเองมาด้วยนะ แต่... SD Card Error พอผลุบหัวขึ้นมาก็จัดแจงถอดเคสถอดแบตมันตรงนั้นอะ เจ๊งเป็นเจ๊ง แต่เราต้องได้รูปว้อยยยย เดชะบุญที่ไม่ทำหลุดมือและกล้องกลับมาใช้ได้ตามปกติ





    อะ ลงไปใหม่!












    พอมาเห็นชัดๆก็รู้แล้วว่าน้องที่มาเซย์ฮายนั้นไม่ใช่ฉลามขาวนะจ๊ะ เป็นน้อง Copper Shark แทน (สังเกตจากตรงส่วนหน้าที่ยาวกว่าฉลามขาว) ซึ่งก็ตื่นเต้นอยู่ดีละว้าาาา ฮืออออ น่าย้ากกกกกกกกกกก







    ง่ำาาาาาาาา
    ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังป้อนข้าวเด็กเงี้ย น่าย้ากกกกกกกก











    ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกลลลลล









    พอสัมผัสกับประสบการณ์อันน่าประทับใจแล้วเราก็แท็กมือให้กลุ่มสองลงไปบ้างและไปหยิบสมุดบันทึกมานั่งคุยเม้ามอยกับนาล่าต่อในเรื่องฉลาม ไถ่ถามว่าช่วงไหนคือช่วงที่เจอฉลามเยอะๆ เหตุผลอะไรที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอ ก็ได้ความรู้มาว่าฉลามขาวเป็นปลาชนิดเดียวที่เปลี่ยนพลังงานที่ได้รับให้เป็นความร้อนในร่างกาย เป็นสัตว์เลือดอุ่นนะจ๊ะ โดยอุณหภูมิของมันจะอยู่ที่ประมาณ 26 - 27 องศาเซลเซียส ช่วงนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ประมาณสิบนิดๆ ซึ่งหนาวเกินไปสำหรับฉลาม


    ต้องมาช่วงหน้าหนาวคือเดือนมิถุนายน-กันยายนถึงจะมีโอกาสได้เจอ เพราะกระแสน้ำอุ่นจะพัดเข้ามาแทนกระแสน้ำเย็นในช่วงนั้น นัยว่าอากาศบนบกเย็น ในน้ำอุ่น ปลาแฮปปี้ มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมายจำนวนมาก














    ประกอบกับช่วงนี้มีพวกวาฬเพชรฆาตออกมาล่าฉลามขาวแถวนี้ทั้งๆที่มันไม่เคยจะโผล่เล้ยยย และภายในสองเดือนที่ผ่านมาเจอซากฉลามขาวเกยตื้นที่ฝั่งถึงสองตัว นังนี่มันร้ายนัก! ล่าฉลามขาวโดยกินแค่ตับและทิ้งซากไว้ให้ดูต่างหน้า ที่เหลือเลยแตกกระเจิง ตกกะใจ หายไปหม๊ด แมรี่เข้ามาสำทับว่าเจ้าพวกนี้คือ Human of the ocean นั่นแหละ! เกิดมาเพื่อทำลายล้างสายพันธุ์อื่นๆ เกิดมาเพื่อล่า เอ็งเป็นมธุสรเร้อออ (อันนี้แมรี่ไม่ได้บอก อินเนอร์เราเองแหละ)

    และสาเหตุที่วาฬเพชรฆาตมาออกล่าในน่านน้ำแถวนี้นั้นอาจเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงผิดแปลกไปในทะเลก็ได้ ทำให้มันหันมาสนใจในแถบนี้ ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมของสัตว์น้ำ มีไปลงพื้นที่เก็บข้อมูลบ้าง และหวังว่ามันจะไม่หวนกลับมาใหม่ เหล่าฉลามจะได้กลับมาดังเดิม เย้เฮ!











    แต่ข้อดีก็คือช่วงนี้เราจะได้เห็น Copper Shark ที่ไม่เคยจะโผล่มาในแถบนี้ เหมือนกับว่าผู้ล่าเจ้าถิ่นหายไป ผู้ล่าหน้าใหม่ที่ตัวเล็กกว่าก็เข้ามาแย่งชิงพื้นที่ ก็ดี จะได้มีโอกาสสังเกตและศึกษาฉลามสายพันธุ์นี้ได้มากขึ้นได้มากขึ้น 








    สำหรับสถานการณ์ของฉลามขาวในแอฟริกาใต้และรอบโลกยังคงน่าเป็นห่วง เพราะจำนวนของพวกมันลดลงอย่างน่าใจหายซึ่งตอนนี้มีอยู่ที่ประมาณ 300 - 500 ตัว และประชากรฉลามขาวทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 3,000 ตัวหรือน้อยกว่านั้น ไม่รวมสายพันธุ์อื่นๆที่เสี่ยงใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย ซึ่งการลดจำนวนลงของประชากรฉลามทั่วโลกส่งผลอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศทางทะเล



    และอีกเรื่องที่น่าเศร้าก็คือการล่าฉลาม เช่น เคสที่โอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่นที่ทำให้เรารู้สึกหดหู่มาก เรื่องของเรื่องคือทางพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นจับฉลามขาวเพศเมีย ความยาวประมาณ 3 เมตรได้และเอามาไว้ในอควาเรี่ยม แล้วมันเกิดอาการเครียด พุ่งชนกระจกตลอดเวลา ไม่กินอาหาร และตายในอีก 3 วันต่อมา 


    เชี่ยย สลดใจอะ... ตอนเด็กๆเราชอบไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนสัตว์มากๆเลยนะ แฮปปี้มีความสุขสนุกสนาน แต่พอเราได้มาดำน้ำ ได้มาสัมผัสกับบ้านของปลาจริงๆในทะเลแล้วเรารู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของเขา บ้านที่แท้จริงที่เขาจะอยู่อย่างมีความสุข มีอิสระเสรี และรู้สึกว่ามนุษย์อย่างเราๆแม่งโคตรชั่วเลยว่ะ ไปพรากเขาออกมาจากบ้าน (แกนึกถึงเรื่องนีโม่สิ) เอามาจัดแสดง ทำเพื่อเงิน เพื่อธุรกิจ ทิ้งขยะลงทะเล ทำบ้านของพวกเขาเสียหายเป็นพิษ โอ้ยย ร้ายกว่าวาฬเพชรฆาตก็มนุษย์อย่างเราๆนี่แล บางทีอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบหนังสือ Inferno ของ Dan Brown ขึ้นมาจริงๆ



    และอีกเรื่องที่น่าเศร้ามากๆไม่แพ้กันคือการล่าฉลามเพื่อการบริโภค โดยในแต่ละปีมีฉลามที่ถูกคนล่ามากถึง 100 ล้านตัว (100 milion ค่ะ ไม่ผิดค่ะ เยอะมากกกก) และในความเป็นจริงแล้วมีฉลามที่ถูกฆ่ามากกว่าในสถิตินี้ราวๆ 3 - 4 เท่าเลยทีเดียว... ก็...กลายเป็นซุปหูฉลามที่ทานๆกันนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้นวอนว่าหยุดกิน มันไม่ได้มีสารอาหารมากมายอะไรขนาดนั้นอะคุณเอ๊ย กินผักเยอะๆ ล้างให้สะอาด กินหลายๆสี ชีวีก็มีความสุขแล้วเด้อออออ












    พอพูดอย่างนี้แมรี่ก็เอ่ยปากชวนให้มาเป็นอาสาสมัครบ้างมั๊ยล่ะ เนี่ย พวกเราทุกคนที่นี่ก็เป็นอาสาสมัครมาก่อนกันทั้งนั่นแหละ อย่างนาล่าก็จากบ้านในแคลิฟอเนียมาอยู่ที่นี่เมื่อ 17 ปีที่แล้ว แมรี่ก็มาจากอังกฤษเหมือนกัน ที่นี่มีโปรแกรม Shark Reserch Volunteer Program ที่ก่อตั้งร่วมกันกับ White Shark Company Reserch และ Volunteer Institute ที่เป็นหน่วยงานท้องถิ่น โปรแกรมนี้มีกิจกรรมให้ทำมากมาย อาทิ...


    • เก็บตัวอย่างข้อมูลและตัวอย่าง Fin ID
    • ลงน้ำเข้ากรงไปสังเกตพฤติกรรมฉลาม
    • ทำเซอเวย์เก็บข้อมูลจากชาวบ้าน ชาวประมงท้องถิ่น
    • เรียนรู้การติดป้าย Tag บนครีบฉลาม (โอ้ยย นี่แหละฝันที่เป็นจริงหลังจากดูรายการสำรวจโลก)
    • จับฉลามมือเปล่ากับการทำ Snorkeling Survey
    • ว่างๆก็ไปเที่ยว ไปปีนเขา ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ พบเพื่อนใหม่มากมาย เย้







    เฮ้ยยย น่าสนใจมาก หากใครสนใจก็สามารถอีเมลไปสอบถามกันได้ที่ 

    volunteer@sharkcagediving.co.za

    อาจจะไปพบเจอเราอยู่ที่นั่นด้วยก็ได้เพราะสนใจมากเหมือนกัน!












    พอดูฉลามกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว (สงสารกลุ่มที่สามที่ลงไปเก้อเพราะฉลามได้จากเราไปแล้ว...) ก็ได้เวลากลับเข้าฝั่งและทานอาหารกลางวัน ระหว่างนั้นก็ฟังแมรี่เล่าเรื่องเกี่ยวกับฉลามให้ฟังอย่างคร่าวๆและก็เดินทางกลับ ก่อนจากกันแมรี่ก็ทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้ทุกคนนำสิ่งที่เธอและทุกคนที่นี่กำลังทำอยู่ไปบอกต่อว่าฉลามนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ Awesome ขนาดไหน (แปลคำนี้เป็นไทยไม่ได้อะ) เราทุกคนต้องช่วยกันรักษาสายพันธุ์ที่งดงามและท้องทะเลนี้ไว้นะจ๊ะ



    โคตรเท่ ไอดอลมาก อยากเป็นนักวิจัยทางทะเลแบบเน้!



    ก็...นั่นแหละ เราก็ทำตามอย่างที่แมรี่บอกไว้คือมาเขียนบล็อกนี้เพื่อเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับฉลามและประสบการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน core memory ของเราก็ว่าได้




    ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการเข้ากรงไปสบตากับฉลาม

    ณ 

    Gansbaai, South Africa!












  • ว่าด้วยเรื่องของราคาและค่าใช้จ่ายในทริปนีี้



    ค่าเข้ากรงไปดูฉลามกับ White Shark Diving Company

    • Shark Cage Diving - One day trip = 2,250 ZAR ราคานี้รวมรถรับส่งไปกลับ อาหารเช้ากุ๊กกิ๊ก และอาหารกลางวัน
    • ลืมเอากล้องมาหรอ ไม่มีปัญหา ที่นี่มีให้ยืมในราคา 350 ZAR
    • หากรูปที่ถ่ายเองไม่โอเค จะซื้อภาพ footage ของทริปนี้ก็ได้ ราคา 350 ZAR
    • เขามีทริป 2 วัน ทริปไปซาฟารีและอื่นๆอีกมากมาย เข้าไปแวะชมได้ในเว็บไซต์นะจ๊ะ



    ค่าอาหารการกินและการเดินทางต่างๆ

    • การเดินทางในแอฟริกาใต้ เราขอแนะนำให้ทุกคนใช้บริการ Uber เพราะราคาถูกกว่าแท็กซี่มาก
    • ถ้าเดินทางมาคนเดียว ขับรถไม่เป็นแบบดิฉันนั้น ก็มีบริการทัวร์หลากหลายให้ได้เลือกลอง ใช้เงินในการแก้ปัญหาชีวิตไปค่ะ
    • หรือถ้าขับรถได้ มีใบขับขี่สากลก็เช่ารถโลด ไม่แพง
    • อาหารการกินตกอยู่ที่ประมาณมื้อละ 100 ZAR (เรากินในแถบโฮสเทลอะ ก็จานละประมาณ 200 บาทไทยได้มั๊ง)



    ที่พัก

    ทริปนี้เน้นนอนถูกเข้าว่า เราเลยมาซุกหัวนอนที่ Urban Hive Backpackers ย่าน Long Street ที่เป็นย่านฮิปๆน่ารักๆของเคปทาวน์ ซึ่ง ไม่ แนะ นำ ให้ มา นอน เพราะ นอน ไม่ หลับ ทุก วัน เลย โว้ย

    กลางคืนเสียงดังมากเพราะผับบาร์ร้านค้าเต็มไปหมด แต่ถ้าเป็นคนนอนง่าย หลับสนิทตลอดคืน ตื่นขึ้นมาตอนเช้าอารมณ์ดีแจ่มใสก็มาได้ สตาฟหล่อและน่ารักกกกกกกกกกก 4 วัน 3 คืน 1,200 ZAR จ้ะ






    นี่คือห้องนอน เลือกเป็นเตียงเดี่ยวเพราะขี้เกียจเอาพลังงานไปรู้จักมนุษย์หน้าใหม่











    ห้อง Common Room มีโต๊ะพูลและระเบียงด้านนอกไว้ให้นั่งชิวได้














    ห้องครัวที่อุปกรณ์พร้อม ครบครัน สะอาด
    ห้องน้ำรวมก็สะอาดเด้อ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดจ้ะ







    ส่วนย่าน Long Street นี้ก็เป็นย่านฮิปๆคูลๆของเคปทาวน์ล่ะ มีร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย ร้านหนังสือ ร้านเสื้อผ้าทั้งมือหนึ่งและวินเทจ ชิวๆดี ข้อควรระวังคือคนอาจจะเดินมาขอเงิน ขอเศษตังได้ เราบอกปฎิเสธได้เขาไม่ทำร้าย และโดยส่วนตัวแล้วเราไม่โดนใครมาขอแหะ อาจจะเพราะแต่งตัวมอซอ ลากแตะ ไม่แต่งหน้าก็เป็นได้ ฮาาาาา







    ตึกนี้คือโฮสเทลของเราเองแหละ

































































    ส่วนเบอร์เกอร์ร้านนี้อร่อยดี ชื่อร้าน Royale Eatery ซึ่งได้รางวัลจาก TripAdvisor หลายปีติดต่อกัน ที่เราสั่งเป็น Vegan Burger เพราะช่วงนี้เป็นมนุษย์ผัก ละเนื้อ แต่เหลือบไปเห็นของโต๊ะข้างๆนี่ก็ดูอวบอึ๋มน่ากินเป็นที่สุดดดดดดด









    นอกจากการไปสบตากับฉลามแล้ว เราก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนอีก เดินวนมันอยู่ในแถวๆนี้แหละเพราะไข้ขึ้นสูงมากจ้า เจ็บคอ เจ็บหู และปวดไซนัสมาก (กรี๊ดดดดด ฉันต้องกลับไปทำงาน ไปบิน ไปหาเงิน ป่วยไม่ได้โว้ย) เลยนอนหายใจรวยริน ไม่ได้ออกไปปีนเขาใช้ชีวิตแอดเวนเจอร์อย่างที่ตั้งใจไว้




    สำหรับทริปหน้าเราจะไปเป่าลมหายใจให้กลายเป็นฟองอากาศที่ไหน โปรดติดตามนะจ๊ะ อ้ออออ ทริปนี้ทำเป็นคลิปด้วยนะ อิ๊อ๊ะ สามารถแวะเข้าไปดูได้ที่ ด้วยรักจากทะเลทราย นะฮ้า ถ้าชอบกดไลค์ ถ้าใช่กดแชร์ด้วยเด้ออออ จะได้ติดตามไปซอกแซกรอบโลกกันในวาระโอกาสต่อไป







    จิ้มที่รูปภาพเพื่อตามไปดูคลิปกันได้เลยจ้าาาาา



















    รักนะ รักเสมอ
    แล้วเจอกันใหม่ใต้ทะเล









    ตามไปอ่านบันทึกการเดินทางอื่นๆได้ที่..
    .www.facebook.com/withlovefromthedesert
    IG: Ployapha.j
    #ด้วยรักจากทะเลทราย
    #withlovefromthedesert

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in