สำหรับคอหนัง หลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีกับประเภทหนังแนว Coming of 'Age' สำหรับคนที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก หนังประเภทนี้จะมุ่งเน้นถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก อุปสรรค และบรรยากาศของการค่อยๆก้าวข้ามผ่านจากช่วงวัยเด็กเป็นผู้ใหญ่ของตัวละครหลัก ซึ่งส่วนมากจะพบเจอกับจุดเปลี่ยนบางอย่างที่ส่งผลให้มุมมองในชีวิตวัยผู้ใหญ่แตกต่างจากในวัยเด็ก
จุดเปลี่ยนที่ว่านี้เองที่เป็นเสมือนกับเส้นระหว่างช่วงวัย เหมือนกับการก้าวข้ามจากขอบเขตวงกลมเล็กๆของการเป็นเด็ก สู่เขตวงกลมที่กว้างกว่า ตัวเราในตอนนั้นก็เหมือนกับยืนอยู่ตรงปลายขอบนั้น เราเลยใช้ชื่อบทว่า 'Edge' ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า 'Age' นอกจากจะแสดงสถานะหรือวัยแล้ว ยังให้ความรู้สึกของความไม่แน่นอน ไม่มั่นคง สะท้อนความกลัว ลังเล เหมือนกับเวลาที่เราอยู่ตรงขอบหน้าผา หรือตรงปากเหว ซึ่งความรู้สึกทั้งหมดนี้ เราสัมผัสถึงมันในช่วงหนึ่งของชีวิต ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น และเรากำลังจะตัดสินใจก้าวสำคัญในชีวิต...
เรื่องนี้เริ่มต้นในช่วงปลายๆอายุ 25...
จริงๆวัย 25 มันเหมือนจะเลยช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นมานานแล้ว แต่สำหรับเรา มันเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆในชีวิตที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตทั้งหมดถูกถ่ายโอนมาอยู่ในมือเรา เป็นการก้าวออกจาก comfort zone อย่างเต็มรูปแบบ เรามีอิทธิพลเต็มร้อยต่อการตัดสินใจกับชีวิตของตัวเอง และที่หนักที่สุดคือเราต้องแบกรับผลของการตัดสินใจนั้นด้วยตัวเองให้ได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากลองผิดลองถูกกับชีวิตหลายๆทาง มันก็ยังไม่เจอสิ่งที่เรารู้สึกว่า 'สบายใจ' ที่จะอยู่กับมันไปเรื่อยๆสักที จะเปลี่ยนไปลองทำอย่างอื่นอีกก็กลัวว่าจะเสียเวลา ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ครอบครัวก็ค่อนข้างคาดหวังกับเราพอสมควรว่าอย่างน้อยจบมาแล้วก็ควรจะเลี้ยงตัวเองได้ แต่ด้วยความที่เราเป็น 'เป็ด' ที่มีความแข็งแกร่งอยู่พอประมาณ (ซึ่งจุดนี้ทำร้ายเรามาก) และอยู่ตรงจุดกึ่งกลางเป๊ะๆระหว่างวิทย์และศิลป์ เราเรียนสายวิทย์มาโดยตลอด และทุกอย่างค่อนข้างราบรื่น ในชีวิตเราแทบจะไม่ต้องตัดสินใจอะไรเองเลย ไม่ว่าจะสอบเข้ามัธยมต้น มัธยมปลาย หรือมหาวิทยาลัย ก็เลือกๆไปแบบไม่ได้คิดอะไรมาก มันก็ค่อนข้างจะสมหวังกับสิ่งที่เลือกนะ แต่เราก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีความสุขกับมันเลย
Edge แรกที่ต้องก้าวผ่าน
ชีวิตเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ เราไม่รู้จริงๆว่าตัวเองชอบอะไร การไปเรียนพิเศษ เรียนติวก็เพื่อเกรดที่ดี ไม่มีคอร์สที่เรารู้สึกอยากเรียน ส่วนเรื่องกิจกรรมอื่นๆในชีวิตก็ถือว่าไม่ได้น่าเกลียด เราขับรถยนต์ได้ เล่นเปียโนได้ ชอบออกกำลังกายโดยการวิ่ง4-5วันต่อสัปดาห์ เคยลงมินิมาราธอนหลายครั้ง เราชอบนั่งจิบกาแฟ ชิมขนมในร้านคาเฟ่ ชงชา ทำอาหารบ้างบางโอกาส คิดว่าพอมีสกิลเพราะสมัยเด็กๆเคยช่วยอาม่าเตรียมกับข้าว เราทำงานฝีมือได้ แกะสลัก ปักผ้า เราสามารถวาดรูปได้ สีน้ำได้ แต่ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะทำมันเป็นอาชีพ พอจะต่อยอดจากสิ่งเหล่านี้ เราไม่รู้เลยว่าจะต้องเลือกจากอะไร เราเคยคิดจะทำธุรกิจสักอย่าง คิดจะเปิดร้านกาแฟ แต่ก็รู้ว่าตัวเองชอบทานมากกว่าทำ สุดท้ายแล้วเลยยังไม่ได้ทำอะไรกับมันสักอย่าง
จนวันหนึ่งเราได้พบกับหนังสือของคิม รันโด ที่เป็น Edge แรกของการรับผิดชอบชีวิตผู้ใหญ่นั่นก็คือ 'เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด' เราจะขอเล่าสั้นๆละกัน เพราะเดี๋ยวยาวไปจะกลายเป็นบทความรีวิวไปซะก่อน หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดเรื่องราวของการให้คำปรึกษานักเรียนในการวางแผนชีวิตของคุณคิม รันโด ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยใช้ประสบการณ์โดยตรงของตัวเอง ความรู้สึก ความยากลำบากที่เขาพบเจอในช่วงที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาเลยเข้าใจว่าความรู้สึกแต่ละอย่างจากคำบอกเล่าของนักเรียนมันคืออะไร เพราะมันคือสิ่งที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
ดอกไม้ แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ถ้าฤดูนั้นมาถึง คุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น ในช่วงเวลาที่ต้องรอคอย จงเตรียมตัวให้พร้อม
- Rando Kim-
ซึ่งเรื่องราวมันก็ไม่ได้ตรงกับชีวิตเราขนาดนั้น แต่ทุกคำแนะนำที่ถ่ายทอดออกมาสามารถเอามาปรับใช้ได้จริง เราได้เปลี่ยนมุมมองและปรับโฟกัสมาที่ความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เลิกสนใจความสำเร็จของคนรอบข้าง มีเวลาครุ่นคิดกับชีวิตอยู่สักพักใหญ่ และอยู่ๆก็มีความคิดที่อาจจะบ้าคลั่ง ฉาบฉวย ขึ้นมาว่า ถ้าเลือกตัวเลือกที่มีไม่ได้ ทำไมไม่ลองใช้ชีวิตตามรอยคุณคิม รันโดไปเลยล่ะ ถ้าในวงกลมที่เรายืนอยู่มันเล็ก ไม่มีที่ให้เราเติบโต ทำไมไม่ลองก้าวออกไปจากขอบเดิม สู่วงกลมที่ใหญ่กว่า ก่อนที่มันจะสายเกินไป สุดท้ายเราเลยตัดสินใจว่าลองยื่นใบสมัครเรียนต่อสักแห่งบนโลกดีกว่า เผื่อจะได้แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต และเป็นโอกาสดีที่จะเปิดโลกให้ตัวเอง โดยมีเงื่อนไขว่าเอาที่ค่าเทอมไม่แพงหรือต้องมีทุนให้ เพราะไม่อยากจะรบกวนที่บ้านไปมากกว่านี้แล้ว
หลังจากที่ตกลงปลงใจกับความคิดนี้ ชีวิตเราก็มีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับรถที่ไม่ได้ขับมานานแต่เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังก็กลับมาพร้อมวิ่งเต็มสปีด เราใช้เวลาไม่นานในการเลือกมหาวิทยาลัยและประเทศตามเงื่อนไขที่ได้ตั้งไว้ และได้ตัดสินใจยื่นเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมิลาน อิตาลี ซึ่งเราก็ได้ทำเรื่องขอทุนมหาวิทยาลัยเผื่อไว้ด้วย ชีวิตในช่วงเวลา2-3 เดือนของเราวุ่นวายไปกับการเตรียมเอกสารและ Portfolio ยังโชคดีที่มีคะแนนสอบวัดภาษาอังกฤษอยู่ในมือ หลังจากนั้นอีก 2-3 เดือนก็ได้รับคำตอบรับจากทางมหาวิทยาลัย เนี่ยบางครั้งชีวิตก็ราบรื่นแบบเหนือความคาดหมาย
Edge ที่สอง
แต่ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเรานานหรอก ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์... (อะปิดไฟ เตรียมเข้าโหมดดาร์ค)
ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะดี มันมีวันที่จะกลับมาร้ายในแบบที่เราไม่ได้คาดคิด ชีวิตที่เราเคยบอกว่าค่อนข้างราบรื่น จริงๆมันเป็นแค่ฉากหน้าที่บังปัญหาครอบครัวของเราเอาไว้ เราไม่เคยเล่าเรื่องชีวิตในบ้าน รวมทั้งปัญหาระหว่างพ่อแม่ให้ใครฟังมาก่อน แม้แต่เพื่อนสนิทของเราเอง พ่อแม่เราพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำหน้าที่ 'พ่อ' และ 'แม่' ในแบบของตัวเอง เพื่อประคับประคองสิ่งที่เรียกว่า 'ครอบครัว' เอาไว้ ภายนอกครอบครัวของเราดูปกติดีมีความสุขมาก แต่จริงๆมันเปราะบาง เหมือนถ้วยชามที่เต็มไปด้วยรอยร้าวแต่ติดกาวเอาไว้เพื่อประคองรูปร่างให้ยังคงดูเป็นถ้วยอยู่เท่านั้น ท้ายที่สุดมันก็ต้องแตกออกจากกัน และวันนั้นก็มาถึงในช่วงก่อนที่เรากำลังจะเดินทางเพียงแค่เดือนเศษ
การตัดสินใจหย่ากันไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรมากถ้าทั้งสองฝ่ายยินยอม เพียงแค่มีพยานไปร่วมในตอนเซ็นใบหย่า ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชม.ทุกอย่างก็จบลง แต่กระดาษเพียง 1 แผ่นมันไม่ได้ทำให้ความทุกข์ที่มีมาก่อนหน้านั้นเบาบางลง เอกสารเกือบทั้งหมดของเราในการขอทุนต้องดำเนินการใหม่หมด ซึ่งมันไม่สามารถทำได้ทันเวลาแน่นอน และเราต้องจ่ายเต็มจำนวนถ้าตัดสินใจจะไปเรียน ในส่วนของค่าใช้จ่ายอื่นๆก็เริ่มมีปัญหา เพราะทั้งสองคนไม่สามารถคุยกันได้อีก ตัวเราในตอนนั้นตัดสินใจลาออกเพื่อมาเตรียมตัว ก็มีเงินเก็บไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตตลอดสองปีแน่นอน ไหนจะเป็นห่วงว่าแม่อาจจะต้องอยู่คนเดียว ชีวิตเรากลับมายืนตรงขอบหน้าผาอีกครั้ง...
ความหวังอันริบหรี่
ไป ไม่ไป... ไป ไม่ไป... คำสองคำนี้วนเวียนในหัวเราทั้งวันทั้งคืนจนรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า ใจหนึ่งเราอยากจะยกเลิกทุกอย่างที่ทำมาแล้วเริ่มต้นไปทำงานเพื่อช่วยที่บ้าน แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายทั้งทุนและแรงที่ได้ลงไปแล้ว หลายๆครั้งที่ความรู้สึกเจ็บปวดและภาพในวัยเด็กมันย้อนกลับมา ไม่ว่าจะเป็นภาพความทุกข์หรือความสุข ล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำ ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังอยู่กันอย่างพร้อมหน้า และแยกย้ายกันใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่บางอย่างมันสูญหายไป ความรู้สึกของการสูญเสียมันกลับมาอีกครั้ง เราพยายามรักษาตัวเองด้วยการไม่นึกถึงทุกๆเรื่องเพื่อไม่ให้รู้สึกอะไรกับมัน ไม่อยากจะร้องไห้ ไม่อยากจะทำอะไร แต่ภาพต่างๆก็ฉายกลับมาอย่างไม่หยุดหย่อน สุดท้ายก็ทำได้แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า
สองสามสัปดาห์ถัดมา เป็นช่วงที่ความรู้สึกของทุกๆคนเริ่มฟื้นตัว ใกล้จะกลับสู่ภาวะปกติ วันเดินทางก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกอย่างมันบีบบังคับว่า ถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจได้แล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่แม่เดินเข้ามา และพูดประโยคนึงว่า 'ไปเถอะ แม่จัดการได้' แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวความรู้สึกตึงเครียด ความอึดอัดใจ ความรู้สึกติดอยู่กับที่ สิ่งพันธนาการก็ถูกปลดล็อคไปได้อย่างง่ายดาย บ้านเราค่อนข้างมีวิธีการพูดและแก้ปัญหากันอย่างตรงไปตรงมา ได้คือได้ ไม่คือไม่ จะไม่มีเหตุการณ์แบบที่เราไม่พูดเพราะเกรงใจ หรือแม่ไม่พูดเพราะเกรงใจ เราว่าเหตุผลหนึ่งที่แม่ตัดสินใจแบบนี้คือ การยึดมั่นกับคติประจำใจสุดแสนคลาสสิคและเรียบง่าย นั่นคือ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" ซึ่งแม่คงเห็นว่าสิ่งที่ยังพอทำได้ในตอนนี้คือการทำเต็มที่ที่สุดในการรักษาโอกาสนี้ไว้ และเราก็รู้ว่าเราเองก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดเช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in