เราอยู่ในสังคมที่ทุกคนอยากพูดแต่ไม่มีใครอยากรับฟัง.
ไม่คิดอย่างนั้นกันเหรอ? เราอยู่ในสังคมที่สื่อออนไลน์ช่วยให้สิ่งที่เราอยากพูดไปถึงคนจำนวนมากได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งมันก็ดีนะ เราได้เห็นคนทำตามความฝันของตัวเอง อยากร้องเพลงก็โคฟลงยูทูป อยากแต่งหน้าก็ผันตัวเป็นบิวตี้บลอกเกอร์ อยากรีวิวสินค้าก็เขียนมันลงเฟสซะเลย หรืออยากกินก็ทำม็อกบังแล้วนั่งกินโชว์เลย อาจจะดังขึ้นมาเหมือนพี่ซูบินก็ได้
เราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบพูด ตั้งแต่เด็กจนจบม.ปลาย..เวลาแม่มารับที่โรงเรียน เราจะเล่าให้แม่ฟังเสมอว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันของเรา แม่ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ตักเตือนบ้าง หัวเราะบ้าง โต้ตอบบ้าง
แต่พอลองมาคิดๆดูแล้ว เราไม่เคยถามแม่เลยว่าวันของแม่เป็นยังไง วันนี้งานที่บ้านเยอะรึเปล่า? วันนี้แม่เหนื่อยมั้ย?
เวลาแม่เล่าให้ฟังเราก็มักจะฟังผ่านๆแล้วก็ขัดแม่ด้วยเรื่องของตัวเองเสมอ เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
ในตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่าการกระทำของเรามันน่าหงุดหงิดแค่ไหนจนกระทั่งเจอกับตัวเอง พอเริ่มพบปะผู้คนมากขึ้นเราก็เริ่มเจอมนุษย์ที่ชอบพูดแต่ไม่ฟังมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็เป็นเพื่อนที่สนิทกัน บางคนก็เป็นคนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนก็เป็นมนุษย์นิรนามที่เจอกันออนไลน์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนเอาแต่พูดแต่เรื่องของตัวเองจนไม่ฟังคนอื่นเลย
(1) เรามีเพื่อนคนหนึ่งที่มโนขึ้นมาเองว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า มันไม่เคยไปหาจิตแพทย์ มันไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยในชีวิต แต่มันนั่งบ่นเช้าบ่นเย็น บ่นทุกวันว่าตัวเองต้องเป็นโรคซึมเศร้าแน่ๆ เวลาเพื่อนคนอื่นเสนอให้มันไปหาจิตแพทย์ดู มันก็ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก็บ่นต่อว่าชีวิตมันเครียดแค่ไหน แล้วเวลาเราเล่าเรื่องอะไรให้มันฟัง มันจะแค่พยักหน้ารับก่อนจะวกกลับเข้ามาพูดเรื่องตัวเองได้อย่างแนบเนียน
(2) เราเจอพี่คนหนึ่งผ่านการเล่นบอทศิลปินเกาหลี ตอนแรกเราก็มองว่าพี่เขานิสัยดีจนกระทั่งเขาเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเอง เขาเล่าว่าครอบครัวเขามีปัญหา แม่ก็จะเอาแต่เงินเดือนเขาส่วนพ่อก็ไม่รัก เราที่ได้รับฟังเช่นนั้นก็รู้สึกสงสาร เขาบอกว่าเขาอึดอัดทุกครั้งที่ต้องกลับบ้าน เราก็พยายามปลอบและรับฟังด้วยความเข้าใจทุกครั้งที่พี่เขามาบ่น แต่เราคงทึกทักเอาเองว่าเราเขาจะรับฟังเราเหมือนที่เรารับฟังเขา เพราะเวลาเรามีปัญหาแล้วไปปรึกษาเขา เขาจะเอ่ยปัดเหมือนปัญหาเรามันเล็กนิดเดียวและเล่าปัญหาของตัวเองทับราวกับว่ามันใหญ่กว่าปัญหาของเราเสียเต็มประดา เห้อ.
(3)เรามีเพื่อนที่มหาลัยคนหนึ่งซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่ได้คุยกันทุกวัน ยิ่งช่วงปิดเทอมยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย มีการเอ่ยถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้างพอเป็นพิธี ประเด็นคือเพื่อนคนนี้จะชอบทักมาถามสารทุกข์สุขดิบเราตอนตัวเองมีเรื่องอยากจะเม้า เหมือนแกล้งถามเป็นพิธีไปอย่างนั้นก่อนจะเข้าเรื่อง ซึ่งบางทีเราก็รับฟังด้วยความยินดีเพราะบางทีเรื่องที่มันเล่าก็ได้อรรถรสดีตามประสาชะนีเม้ามอย แต่เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเรามันก็หยุดอยู่แค่นี้ เราได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมเราถึงไม่สนิทใจกับเพื่อนคนนี้เสียทีทั้งๆที่อยู่กลุ่มเดียวกัน? คำตอบก็คือเพื่อนคนนี้ไม่เคยฟังในสิ่งที่เราพูด และตัวมันเองก็ไม่เคยพูดสิ่งที่มันคิดจริงๆออกมาให้เราฟัง มีแต่การเม้ามอยเรื่องชาวบ้านอย่างสนุกปากเท่านั้น
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเบะปากมองบนแล้วคิดว่า แล้วการที่เรามาเขียนว่าเพื่อนตัวเองปาวๆอยู่อย่างนี้ มันต่างกันตรงไหน?
ไม่ต่างหรอก. เราก็ไม่เคยบอกว่าเราเป็นผู้ฟังที่ดีนี่นา.
แต่อย่างน้อยถ้าใครก็ตามที่อยากให้เรารับฟัง เราก็ยินดีรับฟังโดยไม่ทับถมเขาด้วยปัญหาของตัวเอง
เราว่าผู้ฟังที่ดีน่ะหายากนะ ถ้าคุณเจอเพื่อนที่รับฟังคุณทุกเรื่องแล้วล่ะก็ จงเก็บเขาไว้ให้ดี
หรือถ้าคุณยังไม่เจอล่ะก็...เรายินดีรับฟังนะ :-)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in