วันนี้เป็นวันที่หก ที่แฟนหนีจากผม ผมไม่สามารถติดต่อกับแฟนได้เลย ไม่รู้ข่าวคราวของแฟน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้แฟนอยู่ที่ไหน ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังทำอะไร ผมก็จนปัญญา ผมเองก็วอนขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง แค่ครั้งเดียวก็ได้ ผมจะขอคืนดีกับแฟนของผม
ตัดภาพมาที่บนโต๊ะกับข้าวของผมเอง อาหารบนจานเป็นข้าวไข่เจียวธรรมดาที่เรียบง่ายสุดๆ ผมไม่สัมผัสความหลากหลายบนโต๊ะอาหารหลายวันแล้ว ความทรงจำของผมย้อนกลับมาอีกครั้ง ภาพที่เธอจัดแจงของกินทุกอย่างบนโต๊ะ ภาพที่เธอหยิบลูกชิ้นก๋วยเตี๋ยวจากถ้วยของเธอใส่ในถ้วยของผม ภาพที่เธอบอกว่านี่คือของโปรดที่ผมชอบ เธอทำสุดฝีมือ ภาพเหล่านั้นติดตาเสมอ
เช้าของวันรุ่งขึ้น ผมเดินทางไปทำงานด้วยความอ่อนเพลีย เหมือนคนหมดเรี่ยวหมดแรง วิญญาณที่ปลายเตียงยังคงรบกวนผมตลอดทั้งคืน บางตนยื่นนิ่งๆ บางตนยืนพูดกับอีกร่างหนึ่ง บางตนก็ชอบเล่นกิจกรรมแปลกประหลาดกับอวัยวะตนเอง บางตนก็กระทำกิจกรรมซ้ำไปซ้ำมา บางตนก็นั่งร้องไห้ มันเป็นเวรกรรมอะไรที่ทำให้ผมต้องเจอกับเรื่องประหลาดอย่างนี้
ในขณะที่ผมยืนอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข่าวสารบ้านเมือง เมื่อเปิดหน้าจอ ผมได้รับอีเมล์ปริศนาที่ส่งโดยไม่มีชื่อผู้ที่ส่งมา เมื่อผมเปิดอีเมล์นั้น เป็นข้อความเขียนว่า
"ในเวลาของเที่ยงคืนของวันนี้ หากเจ้าได้เสียงหมาป่าร้องเป็นจำนวนสามครั้ง นั่นคือเสียงแห่งความตายจะมาเยือนเจ้า ประตูนรกจะเปิด สัตว์อเวจีจะมากระชากวิญญาณ"
ผมอ่านจบ มือไม้สั่นและควบคุมไม่ได้ โทรศัพท์มือถือร่วงหล่นบนพื้น พร้อมกับความแข็งทื่อตามร่างกาย คนในขบวนรถไฟมองมาผม ผมค่อยๆ ก้มตัว ควานหาโทรศัพท์ที่หล่นบนพื้น
แต่แล้วมีคนหนึ่ง หยิบโทรศัพท์และยื่นให้ผม
"เอ๊ะ...ทำไมโทรศัพท์ของคุณ ตั้งรูปพื้นหลังเป็นรูปฉันเหรอคะ"
ผมมองหน้าคนที่ยื่นโทรศัพท์ให้ผม
คนที่ยื่นโทรศัพท์ให้ผม คือแฟนของผมเอง
...........................
ตกตอนเย็น ผมนัดแฟนหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นร้านสุดหรูตั้งใจกลางเมือง ผมสั่งอาหารพร้อมไวน์ที่มีรสชาติดี ดื่มด่ำร่วมกับเธอ ผมสารภาพผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอให้อภัยผม เราสองคนพูดจา คุยกันจนผมและเธอเริ่มมีอาการเมาในระดับหนึ่ง ผมจ่ายบิล แล้วหลังจากนั้นจับมือและจูงเธอขึ้นรถแท๊กซี่กลับบ้าน
เมื่อถึงที่บ้าน ผมแบกร่างของเธอ วางเธอนอนลงบนเตียง เธอมีสภาพกึ่งตื่นกึ่งหลับ ผมใช้มือรวบรวมผมที่บดบังใบหน้าเธอและมองหน้าเธออย่างใกล้ชิดในระยะเพียงแค่ฝ่ามือ เธองามหยดย้อยเหมือนไข่มุก ผิวนุ่มนิ่มเหมือนสำลี จมูกเรียวเหมือนสันเขา ริมฝีปากแดงระเรื่อ
ผมใช้นิ้วจับริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ เผยอเห็นรอยฟันเล็กน้อย ผมค่อยๆ ก้มต้วลง เอาปากประกบกับปากเธอ ดูดริมฝีปากของเธออย่างกระหาย มือของเธอแตะหัวผม และลูบอย่างช้าๆ อย่างนุ่มนวล เราสองคนแลกลิ้นซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นไม่นาน ผมดึงหัวตัวเองขึ้นมาจากใบหน้าของเธอ มือเธอยังคล้องคอของผม ตาเล็กๆ ของเธอจ้องมองผม
"ผมขอตัวอาบน้ำก่อนนะ ที่รัก" เธอจูบที่ปากของผมอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้นเธอปล่อยมือที่คล้องคอของผม
...............................................
คืนนี้เป็นคืนที่แฟนกลับมานอนห้องผม เราทั้งสองคนอยู่บนที่นอน มือซ้ายของผมจับมือขวาของเธอ นิ้วของเราสอดประสานซึ่งกันและกัน เธอนอนหลับไปตั้งนานแล้ว แต่ผมยังคงตื่นมองเพดานของห้อง คิดไปต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับข้อความที่ปรากฎว่าในโทรศัพท์ ผมหันไปมองแฟนที่กำลังหลับไหลอย่างมีความสุข วิญญาณที่อยู่ปลายเตียงยังคงพูดคุย นั่งเล่น และสร้างความรำคาญให้ผมเช่นเดิม
"ดิ่ง ดิ่ง ดิ่ง กระดิ่ง ปะ ป่าว ป่าว ป่าว ฮ๊อกี้ ฮ๊อกกี้ฮ๊อก โฮ"
ผมได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมาจากข้างนอกห้องผม ผมปล่อยมือจากแฟน ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แหวกผ้าม่าน มองข้างนอก เห็นดวงจันทร์ขนาดมหึมา เงาดำคล้ายหมาป่า ชูคอส่งเสียงร้องโหยหวนบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง และมันเห่าหอนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายครั้ง
ผมปิดผ้าม่านลง หันกลับมา ไม่พบวิญญาณภายในห้องอีกต่อไปแล้ว อากาศภายในเริ่มเย็นตัวลง มีเพียงแค่แฟนของผมที่นอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมเอื้อมมือหยิบกล่องที่เก็บไว้ข้างใต้เตียง เปิดกล่องออกมา หยิบของภายในกล่องออกมาวางบนที่นอนที่ผมเคยนอน และวางกระดาษที่มีข้อความสั้นๆ ที่เขียนว่า
ถ้าหากพรุ่งนี้ทุกอย่างมันหายไป สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่กับเธอ นั่นคือหัวใจของผม
อยากให้เธอเก็บไว้
รักนะ เด็กโง่
~ โฟโต้ อลอนโซ่ เดอ ฟลันซกิ๋ง ~
หลังจากที่ผมจัดวางของทุกอย่างบนเตียงเรียบร้อย ผมหันไปมองรอบๆ มีแสงสว่างวาบๆ เล็กจากมุมหนึ่งของห้อง หลังจากนั้นมันค่อยๆ ขยายขนาด สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกระโดดออกมาจากแสงสว่างนั้น มันมีหัวกลมสีฟ้า มีหนวดเส้นยาว ปากกว้างๆ ลำตัวอ้วนป้อมสีฟ้า มีมือและเท้าที่เป็นก้อนกลมๆ ไม่มีนิ้ว แต่สามารถจับคทา โบกไปโบกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
"ไอเจ้าทานุกิสีฟ้า แกมาที่ห้องฉันทำไม"
"สวัสดี เราไม่ใช่ทานุกิ และเราก็มาจากโลกอนาคต เราคือโมเมม่อน"
"แกมาทำไม"
"เจ้าครอบครองสมบัติที่เป็นที่รักของเจ้านายเรา"
"ผมครอบครองอะไร ผมไม่รู้ ผมไม่เกี่ยว"
"อย่าเฉไฉ" เจ้าทานุกิสีฟ้าพูดดังลั่น "นาฬิกาสีทองทีี่ข้อมือของเจ้าคืออะไร"
หลังจากเจ้าทานุกิสีฟ้าพูดจบ มัันเอาไม้ยาวๆ มีบ่วงเชือกปลายไม้คล้องหัวผมอย่างรวดเร็ว บ่วงเชือกรัดของผมจนผมแทบจนหายไม่ออก มันดึงผมเข้าไปในแสงสว่างนั้น ผมพยายามดึงต่อต้านเพื่อต่อสู้กับแรงดึง ยิ่งผมต่อต้านเท่าไหร่ บ่วงยิ่งรัดคอผมแน่นขึ้นเรื่อย จนผมทนไม่ไหว ผมยอมเดินตามโดยดี แล้วค่อยหาโอกาสหลบหนี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in