เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เล่าให้(ไปลอง)ฟังkhuuun
#04 - Suede | The Birth of Britpop
  • ถ้าพูดถึง Britpop แน่นอนว่าหลายๆคนก็ต้องนึกถึง Oasis กับ Blur และเพลงชาติของชาวบริทป๊อบ อย่าง Live Forever และ Song 2 แต่เอ็นทรี่นี้เราจะมาพูดถึงวงที่เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของบริทป๊อบกัน

    อาจจะเหมือนใครหลายๆคน เราเริ่มรู้จัก Britpop เพราะ Oasis และเป็นแฟนเพลงอย่างเหนียวแน่นมานานหลายปี ในระหว่างนั้นก็ได้ยินชื่อ Suede เข้าหูมาเรื่อยๆ แต่เราก็ยังไม่ยอมฟังซักที เพราะ mindset ที่ว่า britpop มันมีหลายแนว เราคงจะชอบแนวร็อคแอนโรลแบบ Oasis เนี่ยแหละ แต่พอได้ยินกิตติศัพท์ว่าเพลงวงนี้เหมือน David Bowie ฟิวชั่นกับ The Smiths จนออกมาเป็น Suede เราก็ว่าเราควรจะลองฟังดูซักหน่อย (แหะๆ ความคิดเปลี่ยนเร็วเนอะ) แล้วเราก็ได้พบว่า พอสองสิ่งที่เรารักมากๆ มาอยู่ด้วยกันในเพลงของ Suede แล้ว มัน ดี งาม มาก !!! ฟังไปแค่ไม่กี่เพลงเราก็รู้แล้วว่าเราถูกจริตกับวงนี้มากๆ และ Suede ก็ได้ขึ้นมาเป็นวงบริทป๊อบที่เราชอบที่สุดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


    เรามารู้จัก Suede กันแบบคร่าวๆก่อนดีกว่า

    จากซ้ายไปขวา Simon Gilbert (กลอง), Bernard Butler (กีต้าร์), Brett Anderson (ร้องนำ) และ Mat Osman (เบส)
    Suede เป็นวงดนตรีจากลอนดอน ก่อตั้งโดย Brett Anderson และ Justine Frischmann ทั้งสองพบกันระหว่างเรียนใน University College London และตกลงคบกันพร้อมกับตั้งวงดนตรีด้วยกันขึ้นมา โดยมีสมาชิกอีกคนคือ Mat Osman ซึ่งเป็นเพื่อนในวัยเด็กของเบร็ท รับหน้าที่เป็นมือเบส Suede ประกาศรับสมัครมือกีต้าร์ผ่านทางโฆษณาในนิตยสาร NME และ Bernard Butler ก็ได้ติดต่อมาขอออดิชั่นเข้าวง ในตอนแรกพวกเขาไม่มีมือกลอง ทางวงได้ตัดสินใจใช้ Drum Machine ในการเล่นเพลงในผับ หลังจากนั้น Suede ได้รับสมัครมือกลองอีกหลายคน จนมาจบที่ Simon Gilbert ที่อยู่กับวงมาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน
    ในปี 1991 เบร็ทกับจัสทีนได้เลิกรากัน และจัสทีนได้ออกจากวงไป เนื่องจากได้พบรักใหม่กับฟรอนท์แมนวง Blur เดม่อน อัลบาร์น นั่นเอง
    หลังจากการออกจากวงของจัสทีน ทิศทางของวงก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เบร็ทกล่าวว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะเขาต้องการแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ซึ่งหากเหตุการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น ปัจจุบันนี้เขาอาจจะยังนั่งทำงานในออฟฟิศอยู่
    ในช่วงทำอัลบั้ม Dog Man Star ยังไม่เสร็จดี ความขัดแย้งภายในทำให้ Bernard Butler ลาออกจากวง ซึ่งทางวงก็ได้ Richard Oakes มือกีต้าร์อายุเพียง 17 ปีที่ฝีมือดีไม่แพ้คนเก่ามาแทนในทันที

    Suede หลังการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง
    จากซ้ายไปขวา Mat Osman, Neil Codling (keyboardist), Richard Oakes (guitarist), Brett Anderson และ Simon Gilbert 

    หลังจากที่ยุคของ Shoegaze ค่อยๆหมดลง เข้าสู่ช่วงต้นปี 90 ที่ดนตรี Grunge จากฝั่งอเมริกากำลังสั่นสะเทือนโลกและลามมายึดพื้นที่ในชาร์ตเพลงฝั่งอังกฤษ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การเคลื่อนไหวทางดนตรีของเกาะอังกฤษหยุดนิ่ง Blur และ Pulp ในช่วงนั้นต่างปล่อยอัลบั้มออกมาแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ และทั้งสองวงดูเหมือนจะยังหาทิศทางของตัวเองไม่เจอ
    ในปี 1993 วงดนตรีที่ชื่อ Suede ได้โผล่มาปล่อยอัลบั้ม self-titled ซึ่งทำสถิติขายหมดเร็วที่สุดในรอบสิบปี ด้วยลักษณะแบบ Androgynous ของเบร็ท แอนเดอร์สัน ที่โดดเด่นและแตกต่างในเวลานั้น ทำให้วงเป็นที่สนใจของสื่ออย่างรวดเร็ว หนังสือพิมพ์ Melody Maker ตีพิมพ์ภาพของ suede บนปกพร้อมกับเฮดไลน์ว่า วงดนตรีใหม่ที่ดีที่สุดในเกาะอังกฤษ อัลบั้ม Suede self-titled ขึ้นสู่ที่หนึ่งในชาร์ตอังกฤษพร้อมกับถูกกล่าวว่าเป็น Britpop อัลบั้มแรกของวงการ

    ตามมาติดๆ ในปีถัดมากับอัลบั้ม Dog Man Star พร้อมกับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกมากมาย อัลบั้มพุ่งขึ้นไปติดที่ 3 บนชาร์ต สื่อหลายๆ สำนักยกให้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Suede แต่ในด้านยอดขายกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก และเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงคือเบอร์นาด บัทเลอร์ได้ลาออกจากวง

    หลังจากได้มือกีต้าร์คนใหม่ ซาวด์ดนตรีของ Suede ก็เปลี่ยนไปในทางที่สดใสและเข้าถึงง่ายมากขึ้นในอัลบั้ม Coming Up ที่เต็มไปด้วยเพลงฮิตติดหูมากมาย อัลบั้มประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างมากและนำชื่อของ Suede กลับเข้าสู่ที่หนึ่งบนชาร์ตอังกฤษอีกครั้ง

    ในปีถัดมา Suede ได้ปล่อย Sci-Fi Lullabies ซึ่งเป็นอัลบั้มรวมเพลง B-sides จากอัลบั้มก่อนๆ หลายเสียงกล่าวว่า B-sides ของ Suede นั้นดีเทียบเท่ากับผลงานสองอัลบั้มแรกเลยทีเดียว

    เว้นไปสองปีหลังจาก Sci-Fi Lullabies กวาดคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากมาย Suede ก็กลับมาทวงที่หนึ่งบนชาร์ตอีกครั้งกับอัลบั้ม Head Music แต่คราวนี้เสียงนักวิจารณ์ส่วนใหญ่กลับพูดไปในทำนองเดียวกันว่าอัลบั้มนี้จัดเป็นผลงานในระดับกลางๆ ค่อนไปทางน่าเบื่อของ Suede

    Suede ก็เหมือนกับหลายๆ วงที่มีอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และอัลบั้มที่ไม่ประสบความสำเร็จเลย ในช่วงปี 2002 อัลบั้ม A New Morning ถูกปล่อยออกมา ดูเหมือนจะไม่ใช่ a new morning ที่ดีของ Suede อัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จกับยอดขายเท่าที่ควร ในปี 2003 ทางวงจึงตัดสินใจประกาศว่าพวกเขาจะไม่ทำเพลงอีกต่อไป เบร็ท แอนเดอร์สัน ประกาศในคอนเสิร์ตสุดท้ายก่อนจะยุบวงว่า “จะมีเพลงจาก Suede อีกแน่นอน แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

    ปี 2010 Suede ได้กลับมาขึ้นคอนเสิร์ตด้วยกันอีกครั้ง และก็ดูเหมือนจะติดลมบน พวกเขาตระเวนทัวร์ตามเฟสติวัลต่างๆ ทั่วโลก หลังจากทัวร์สิ้นสุดลงในปี 2011 สองปีถัดมา Suede ก็ประกาศการกลับมาพร้อมกับอัลบั้ม Bloodsports หลังจากหายไปนานถึง 11 ปี

    ห้าปีให้หลัง อัลบั้มล่าสุด Night Thoughts ก็ออกมาให้เราได้ฟังกัน ครั้งนี้แม้อัลบั้มจะขึ้นไปสูงสุดแค่ที่ 6 ในชาร์ต แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ Suede ได้รับเสียงวิจารณ์แง่บวกมากมาย นักวิจารณ์หลายคนยกให้อัลบั้มนี้ให้เทียบเท่ากับอัลบั้มที่ดีที่สุดที่ Suede เคยทำมาอย่าง Dog Man Star เลยทีเดียว


    แนะนำอัลบั้มที่น่าสนใจ

    Suede (1993)


    อัลบั้มแรกที่จะแนะนำก็คงหนีไม่พ้น Self-titled อัลบั้ม อัลบั้มแรกของวงและบริทป๊อบอัลบั้มแรกของยุค ด้วยการเลิกรากับ Justine Frischmann ในตอนต้นๆของการทำอัลบั้ม ส่งผลให้เนื้อเพลงที่เบร็ทแต่งออกมานั้นค่อนข้างมืดมนและหดหู่ เนื้อหาหลักๆ ของอัลบั้มส่วนมากจะเกี่ยวกับเซ็กซ์ ยาเสพติด และความรุนแรง 
    อาร์ตเวิร์คของอัลบั้มเป็นภาพของคู่รักกำลังจูบกันซึ่งคลุมเครือแทบแยกไม่ออกว่านั่นคือ ชาย-ชาย ชาย-หญิง หรือ หญิง-หญิง ภาพนี้นำมาจากหนังสือ Stolen Glances: Lesbians Take Photograph ซึ่งภาพเต็มๆ คือหญิงสาวสองคนกำลังจูบกันบนเก้าอี้วีลแชร์ ฟรอนท์แมนของวงกล่าวว่า “ผมเลือกรูปนี้เพราะความคลุมเครือของมัน แต่หลักๆ เลยก็คือเพราะความสวยงามของมันเองนั่นแหละ” 

    • Suede เปิดอัลบั้มมาด้วยเพลง So Young หนึ่งในเพลงที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล เนื้อเพลงกล่าวถึงการใช้เฮโรอีน เสียงของเบร็ทและวิธีการร้องชวนให้นึกถึง Bowie และ Morrisey บวกกับซาวด์กีต้าร์อันเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์นาดที่ติดหู ถือว่าเป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ดีเลยทีเดียว

    • Animal Nitrate เริ่มต้นมาด้วยริฟฟ์กีต้าร์สุดแคชชี่ของเบอร์นาดและโซโล่ในช่วงกลางเพลงที่สุดจะติดหู Animal Nitrate เป็นการเล่นคำกับคำว่า Amyl Nitrate ซึ่งเป็นสารเสพติดประเภททำให้เคลิบเคลิ้มและกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ เนื้อเพลงพูดถึงการล่วงละเมิดภายในครอบครัว ซึ่งเพลงนี้เรียกว่าเป็นหนึ่งในเพลงที่ดาร์คที่สุดของ Suede เลยก็ว่าได้

    • The Drowners หนึ่งในเพลงที่เราชอบที่สุดของ Suede และเราขอยกเพลงนี้ให้เป็นเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้ม ความรู้สึกที่ได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกคือ โลกเปลี่ยนเลยอะ มันดีมาก นี่เราไปอยู่ไหนมาทำไมพึ่งมาเจอ เบร็ทพูดถึงเพลงนี้ว่า “The Drowners มันเกี่ยวกับการมอมเมาด้วยความรัก การถูกเสพจนเกินขนาด มันคล้ายๆกับตอนคุณเสพเฮโรอีนนั่นแหละ”

    • Metal Mickey ซาวด์กีต้าร์เพลงนี้นี่แบบสุดยอดไปเลย แค่อินโทรก็รักแล้ว ไหนจะโซโล่ที่ใส่มาแบบไม่ยั้ง โดยเบอร์นาดบอกว่าเขาได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง You really got me ของ The Kinks

    • Animal Lover เป็นเพลงที่ทำให้คิดถึง glam rock ในช่วง 70 ตั้งแต่ได้ยินอินโทร ว่ากันว่าเพลงนี้พูดถึงเดม่อน อัลบาร์น ในช่วงที่จัสทีนเลิกกับเบร็ทไปแล้ว เธอยังคงอาศัยอยู่กับเขา ในขณะเดียวกันก็เดทกับเดม่อนด้วยเช่นกัน

    • ปิดอัลบั้มด้วยเพลงบัลลาดที่ฟังแล้วรู้สึกเศร้าแบบบอกไม่ถูกอย่าง The Next Life เสียงของเบร็ททำให้เรารู้สึกขนลุก(ในทางที่ดี) ถือเป็นการปิดฉากที่สวยงาม


    Dog Man Star (1995)


    หลังจาก Suede ปล่อยอัลบั้มแรกออกมา พลพรรคนักดนตรีชาวอังกฤษทั้งหลายก็เริ่มปล่อยของตามกันมาติดๆ ปี 1995 เป็นปีที่คึกคักสำหรับวงการเพลงอังกฤษ Parklife ของ Blur เปิดตัวด้วยที่หนึ่งบน UK Chart ตามมาด้วยวงน้องใหม่ไฟแรงอย่าง Oasis ที่นำ Definitely Maybe ขึ้นที่หนึ่งเช่นกัน ในขณะเดียวกัน Suede ก็ทำตัวห่างจากคำว่า Britpop ไปเรื่อยๆ อัลบั้มนี้ยังคงมีซาวด์กีต้าร์อันเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์นาดอยู่ เพิ่มเติมคือคือเครื่องเป่าและวง orchestra ที่ยกระดับความ epic ของอัลบั้มให้มากขึ้น และมู้ดที่มืดหม่นขึ้นกว่าเดิม เราขอยกให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Suede เลย
    Dog Man Star เป็นอัลบั้มที่คุมโทนได้ดีมาก เหมาะกับการฟังทั้งอัลบั้มรวดเดียวจบเพื่อความครบอรรถรส ในที่นี้ขอยกมาเฉพาะเพลงที่เราคิดว่าโดดเด่นมากๆ ละกัน

    • We Are the Pigs เพลงที่ดูเหมือนจะพูดถึงการจลาจลและสงครามกลางเมืองถ้าดูจากเอ็มวี (ซึ่งสมัยนั้นโดน MTV แบนไม่ให้ออกอากาศเพราะว่ามีความรุนแรงเยอะเกินไป เช่น การเผาทำลายรถยนต์, ไม้กางเขน และการใช้กำลังกับมนุษย์) แต่ใจความจริงๆ ของเพลงนี้เบร็ทได้อธิบายไว้ว่า “มันเกี่ยวกับความรู้สึกผิดกับการตระหนักรู้ว่าสถานการณ์อันไม่มั่นคงรอบตัวเรานั้นอาจจะพังทลายลงเมื่อไหร่ก็ได้ และวิธีเดียวที่จะรับมือกับมันก็ได้คือยอมรับและยินดีกับการพังทลายของมันซะ” ด้านดนตรียังคงไว้ด้วยเสียงกีต้าร์อันจัดจ้าน และเครื่องเป่าที่เพิ่มเข้ามายิ่งแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลจากแกลมร็อคของเดวิดโบวี่นั้นยังคงฝังแน่นอยู่ใน DNA ของ Suede 

    • Heroine คือเพลงที่ทำให้เราตกหลุมรักวงนี้แบบถอนตัวไม่ขึ้น ทุกๆ องค์ประกอบมันดีไปหมด ตั้งแต่อินโทรกีต้าร์ยันเสียงร้องและการเขียนเนื้อเพลงที่โคตรจะมีศิลปะ เพลงนี้มีที่มาจากกลอน She walks in beauty ของ Lord Byron โดยเบร็ทท์ได้นำประโยคแรก She walks in beauty, like the night. มาใส่ในท่อนแรกของเพลง เนื้อเพลงพูดถึงผู้ชายที่ชื่นชมและละเมอเพ้อพกถึงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขายกให้เธอเป็นวีรสตรีในดวงใจ ซึ่ง Marilyn ที่อยู่ในเพลงนั้นเป็นการเปรียบเปรยถึงเทพี Aphrodite ไม่ใช่ Marilyn Monroe แต่อย่างใด 

    • The Wild Ones ไม่น่าเชื่อว่า Suede ก็มีเพลงโรแมนติกกับเขาด้วย แต่ความโรแมนติกแบบ Suede ก็แน่นอนว่าต้องมีความเหงา ความเรียกร้อง และโดดเดี่ยว อยู่ในเพลง เนื้อเพลงของ The Wild Ones เป็นการร้องขอให้คนรักอยู่กับเขาต่อ แต่ไม่ใช่การตื้อ หรือถ้านี่คือตื้อก็เป็นการตื้อแบบมีชั้นเชิงและมีศิลปะที่สุดในโลก สังเกตุได้จากท่อนคอรัสที่ว่า If you stay, I’ll chase the rain-blown fields away, We’ll shine like the morning and sin in the sun. แค่ประโยคนี้ใจก็ละลายแล้ว เครื่องสายและเปียโนในอินโทรที่ค่อยๆ ปูทางให้เสียงออดอ้อนของเบร็ทและเสียงกีต้าร์ที่ประสานเข้ามาอย่างประจวบเหมาะทำให้นี่คือหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดของ Suede เลยล่ะ

    • The Power อีกหนึ่งเพลงบัลลาดในอัลบั้มที่เราชอบมากๆ เนื้อเพลงพูดถึงการอยากมีพลังพอที่จะลุกขึ้นมาวิ่งตามความฝันตัวเองแทนการอยู่กับชีวิตประจำวันอันจำเจน่าเบื่อ ดนตรีเพลงนี้ดีมาก เราชอบพาร์ทเครื่องสายที่ใส่มาในเพลงได้อย่างลงตัว และซาวด์แบบ spacey ในช่วงท้าย ที่ส่งให้เพลงดูมีพลังมากขึ้นไปอีกโดยไม่หลุดไปจากโทนของอัลบั้ม

    • The Two of Us อีกเพลงบัลลาดเปียโนกับเสียงเหงาๆ ของเบร็ทที่สะเทือนใจทุกครั้งที่ได้ฟัง อย่างที่ได้กล่าวไปว่า เบอร์นาด บัทเลอร์ ได้ออกจากวงไปในช่วงที่กำลังทำอัลบั้มนี้อยู่ เนื่องจากความไม่เข้าใจกันระหว่างเบร็ทและเบอร์นาด เบร็ทได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Dog Man Star เป็นอัลบั้มเกี่ยวกับการแตกสลายและความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ และ The 2 of Us ก็เกี่ยวกับคนสองคนที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ อีกทั้งยังเกี่ยวกับความสำเร็จที่นอกจากจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปแล้วยังส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์อีกด้วย

    • The Asphalt World ในช่วงที่ทำเพลงนี้เป็นช่วงที่แรงกดดันภายในวงเพิ่มขึ้นสูงสุดจนใกล้จุดแตกหัก ความตั้งใจของเบอร์นาดคืออยากจะใส่พาร์ทโซโล่กีต้าร์ที่ยาว 8 นาที แต่โปรดิวเซอร์ของวงไม่เห็นด้วย ทำให้เบอร์นาดตัดสินใจเก็บข้าวของออกจากวงไป The Asphalt World ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวรักสามเศร้าของเบร็ทในเวลานั้น เราว่านี่คือเพลงที่ดีที่สุดในอัลบั้ม ดนตรีทุกพาร์ทถูกจัดสรรใส่มาในเพลงได้แบบเพอร์เฟ็ค และพาร์ทกีต้าร์ของเบอร์นาดในเพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นงานที่ดีที่สุดของเขาตั้งแต่ทำเพลงมา


    Coming Up (1996)


    หลังจากการออกจากวงของเบอร์นาด ทิศทางเพลงของ Suede ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้กลับมาพร้อมซาวด์สดใสแบบต่างจากสองอัลบั้มแรกอย่างสิ้นเชิง และสไตล์ที่เปลี่ยนไปของฟรอนท์แมน เบร็ทดูมีความ Masculine เพิ่มมากขึ้น ที่เหมือนเดิมคือยังไม่เลิกท่าส่ายเอวอันเป็นเอกลักษณ์ หลายเสียงกล่าวว่า ถ้า Dog Man Star คือ Diamond Dogs (David Bowie) ในยุค 90 Coming Up ก็คือ Ziggy Stardust ดีๆนี่เอง

    • Trash เพลงแรกในอัลบั้มที่เริ่มต้นด้วยจังหวะกลองสนุกๆ เมโลดี้สดใสกรุ๊งกริ๊ง กับเสียงร้องของเบร็ทที่เปลี่ยนวิธีการร้องและดูขี้เล่นมากขึ้น เบร็ทให้สัมภาษณ์ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับแฟนเพลงของ Suede การมีหลายๆ สิ่งที่เหมือนกันระหว่างวงกับแฟนๆ เรียกได้ว่าเป็นเพลงชาติของแฟนเพลงเลยทีเดียว

    • Beautiful Ones เพลงเกี่ยวกับวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตวัยเยาว์ไปอย่างสูญเปล่า เพลงฮิตตลอดกาลของ Suede ที่ใครหลายคนคงเคยได้ฟัง ด้วยอินโทรกีต้าร์ที่สวยงามมากและสุดติดหู ทำให้ชอบตั้งแต่ได้ยินครั้งแรกได้ง่ายๆ เลย เราชอบ MV เพลงนี้มากที่เล่นคำกับภาพได้โคตรเท่

    • The Chemistry Between Us เป็นเพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์ของเด็กวัยรุ่นในเชิงเปรียบเทียบกับยาเสพติด โดยเป็นการถามของบุคคลในเพลงว่าความสัมพันธ์ที่พวกเขามีนั้นเป็นเพียงแค่ความเข้ากันได้ของสารเสพติดที่พวกเขาใช้หรือเปล่า โดย Class A, Class B ในเพลงนั้นหมายถึงการจำแนกประเภทของสารเสพติด (Class A เช่น โคเคน เฮโรอีน ยาไอซ์, Class B เช่น กัญชา เคตามีน) ไม่ว่า Suede จะเปลี่ยนแนวจากสองอัลบั้มมากแค่ไหน ก็ยังคงความเหงาตามแบบฉบับไว้เหมือนเดิมในเพลงนี้ สิ่งที่ทำให้เพลงสดใสคือเสียงซินธิไซเซอร์จากสมาชิกคนใหม่ Neil Codling และเสียงร้องของเบร็ทในเพลงนี้ที่ทำให้นึกถึง Morrissey ฟรอนท์แมน The Smiths อย่างบอกไม่ถูก

    • Saturday Night เห็นได้ชัดว่าความเหงากลายเป็นซิกเนเจอร์ของ Suede ไปแล้ว Saturday Night เป็นเพลงบัลลาดปิดอัลบั้มที่พูดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่รอจะได้ออกไปใช้ชีวิตในคืนวันเสาร์กับผู้หญิงเพื่อหาความสุขเพิ่มเติมให้กับเธอ เพลงที่จะทำให้คืนวันเสาร์กลายเป็นวันเหงาๆ ถ้าคุณได้ลองฟัง


    Night Thoughts (2016)


    อัลบั้มล่าสุดในปี 2016 ที่เป็นการกลับมาอย่างน่าภาคภูมิใจ แค่ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยมาอย่าง Outsiders ก็ทำให้เรามั่นใจทันทีว่าอัลบั้มนี้จะต้องดี แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยซาวด์และโทนของอัลบั้มที่เป็นการรวมกันของความป๊อบแบบ Coming Up และโทนหม่นๆ เหงาๆ แบบ Dog Man Star ได้อย่างลงตัว และภาคดนตรีที่ epic มากขึ้น Night Thoughts เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ควรฟังทั้งหมดรวดเดียวจบ เพราะคุมโทนและเรียงแทร็คแบบต่อกันได้สมูธมาก Night Thoughts เป็นการพูดถึงความคิดส่วนใหญ่ที่ผุดขึ้นมาในหัวในตอนกลางคืน การเข้าสู่ช่วงเป็นพ่อคนของเบร็ทท์ทำให้เนื้อเพลงในอัลบั้มนี้เกี่ยวกับความกังวลในการเป็นผู้ปกครอง ความสัมพันธ์ที่พังลงไปในระหว่างการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และการย้อนไปสำรวจชีวิตในวัยเด็กเสียส่วนใหญ่

    • Outsiders ซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยมาออกมาถือว่าเป็นหมัดฮุคเลยทีเดียว ริชาร์ดได้พิสูจน์ตั้งแต่อัลบั้ม Coming Up แล้วว่าฝีมือกีต้าร์ของเขานั้นดีไม่แพ้เบอร์นาด บัทเลอร์ ในอัลบั้มนี้ยิ่งตอกย้ำความเก่งกาจของเขาขึ้นไปอีก ด้วยอินโทรกีต้าร์ของ Outsiders ที่ดีสุดยอดแบบทำให้เราหลงรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง เราชอบเนื้อเพลงของเพลงนี้มากแม้จะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วสื่อถึงอะไรก็ตาม (แหะๆ) แต่เรารู้สึกว่ามันมีความเป็นบทกวีที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนดี และแน่นอน เพลงนี้ติดลิสต์หนึ่งในเพลงโปรดตลอดกาลของเราอย่างรวดเร็ว

    • No Tomorrow เป็นเพลงที่เบร็ทแต่งเกี่ยวกับพ่อของตัวเองที่เผชิญกับโรคซึมเศร้าที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตพวกเขาพอสมควร แต่เบร็ท แอนเดอร์สันดูเหมือนจะก้าวผ่านการจมอยู่กับความมืดมนในชีวิตแล้ว No Tomorrow จึงออกมาเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ และซาวด์กีต้าร์ที่สดใสติดหูน่าฟังเพลงหนึ่งในอัลบั้ม

    • I Don’t Know How to Reach You เพลงที่เนื้อเพลงดูเหมือนจะเป็นรักแบบเศร้าๆ ของหนุ่มสาว แต่จริงๆ แล้วเพลงนี้เกี่ยวกับความรู้สึกของพ่อแม่ที่รู้สึกว่าพอลูกโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น พ่อแม่ก็ไม่สามารถเข้าถึงลูกได้เหมือนตอนเด็กๆ อีกต่อไป โดยเบร็ทท์แต่งจากมุมมองพ่อของเขาที่มีกับเขานั่นเอง

    • What I’m Trying to Tell You อินโทรกีต้าร์นี่เป็นจุดแข็งของ Suede จริงๆ เพลงนี้ก็เช่นกัน ทั้งอินโทรและโซโล่เรียกได้ว่าเพอร์เฟ็ค เบร็ทตั้งใจให้เพลงนี้เป็นข้อความถึงลูกชายเขาในตอนโต เป็นการสารภาพล่วงหน้ากลายๆ ว่าเขาไม่รู้วิธีจะเป็นพ่อคนที่ดีนักหรอก แต่ที่มีให้ก็คือดีที่สุดแล้ว

    • Like Kids อีกหนึ่งเพลงรัก(?) จังหวะสนุกๆ เนื้อเพลงแบบ Just you and me together, f*ck the rest ตามสไลต์ Suede ดนตรีเพลงนี้ทำให้นึกถึง Suede ในยุค 90 อย่างอัลบั้ม Coming Up มากเลยทีเดียว


    ทุกอัลบั้มสามารถฟังได้ใน Music Streaming ทุกช่องทาง ใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณมาก และขอฝาก Suede ไว้ในใจชาวบริทป๊อบและทุกคนที่รักในการฟังเพลงด้วย เท่าที่สังเกตุดูแฟนคลับวงนี้น้อยมากถ้าเทียบกับบริทป๊อบวงอื่นๆ (ร้องไห้) ใครรักใครชอบเจ๊เบร็ทกับท่าส่ายเอวของเขาก็มาบอกกันได้ที่ทวิตเตอร์ @ofdustspace นะ ยินดีกรี๊ดเป็นเพื่อน


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in